องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 235 ใช้พลังจนหมด
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 235 ใช้พลังจนหมด
หนานกงเย่ถีบหมอโจวออกไปและเดินเข้าไปจับมือที่เย็นชาของฉีเฟยอวิ๋น “อวิ๋นอวิ๋น ข้ากลับมาช้าไปหรือ?”
“ไม่เพคะ ท่านอ๋องกลับมาทันเวลาพอดีเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นฝืนยิ้ม “ท่านอ๋อง…”
“ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
“เจ็บเหลือเกินเพคะ!”
ดวงตาของหนานกงเย่แดงก่ำ “ข้ารู้”
หนานกงเย่มีสีหน้าซีดเซียว “ส่งคนมานี่!”
“ข้าน้อยมาแล้วขอรับ” คุกเข่าอยู่ที่ประตูทันที
“จับตัวขอทานทุกคนในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวงมาให้หมด หากพระชายาเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ปล่อยไว้สักคน”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของหนานกงเย่ไว้ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว หม่อมฉันต้องการนอน ท่านห้ามฆ่าใครโดยพลการ หม่อมฉันต้องการให้ท่านอยู่กับหม่อมฉันเพคะ”
หนานกงเย่เหลือบมองไปที่ประตู “ถอยไปก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปที่หมอโจว “หมอโจว เจ้าไม่ต้องกังวล ออกไปก่อนเถอะ”
หมอโจวไม่กล้าขยับ หนานกงเย่กล่าว “ไปเถอะ”
หมอโจวเช็ดเหงื่อก่อนที่จะออกจากประตูไป
เมื่อประตูถูกปิดลง ริมฝีปากของฉีเฟยอวิ๋นขาวซีด “ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้สึกหนาว ท่านขึ้นมากอดหน่อยได้ไหมเพคะ”
หนานกงเย่รีบขึ้นเตียงไปกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ หนานกงเย่เห็นคราบเลือดที่อยู่บนเตียงราวกับถูกมีดทิ่มแทงร่างกาย
“อวิ๋น อวิ๋น” หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ด้วยสองแขนและห่มผ้าห่มไว้
ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจเข้า “ท่านอ๋อง เป็นเฉินอวิ๋นเอ๋อร์เพคะ”
หนานกงเย่กระชับแขนและหายใจเข้าลึกๆ
เสียงของฉีเฟยอวิ๋นเริ่มอ่อนลง และไม่มีเสียงในที่สุด
หนานกงเย่เหลือบมองไปที่ประตูและกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้จนเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
หนานกงเย่ทดสอบดูลมหายใจของเธอ ถึงแม้ลมหายใจจะอ่อนลง แต่อย่างน้อยก็ยังหายใจ
หนานกงเย่ปล่อยมือออกและอยู่เฝ้าฉีเฟยอวิ๋นตลอดเวลา
ระบบร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นนั้นมีความพิเศษ จากเริ่มต้นค่อยๆ เย็น จนสุดท้ายก็กลับมาอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง หนานกงเย่เหมือนกับประสบกับหายนะโดยมีคนมาแล่เนื้อของเขาทีละชิ้นๆ
ฉีเฟยอวิ๋นหลับไปสามชั่วยามจึงตื่นขึ้นมา กลิ่นคาวเลือดในห้องยังคงคละคลุ้งไม่จางหาย และความโกรธที่ครอบงำหนานกงเย่อยู่ก็เพิ่มขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นขยับตัว หนานกงเย่รีบเข้าไปดูเธอ
เมื่อลืมตาขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบๆ ห้องและยื่นมือออกไปกุมหน้าท้อง เด็กหายไปแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของเธอกลับและถูกจับมือโดยหนานกงเย่
เสียงของเขาแหบแห้งจนน่าตกใจ “เรายังอายุน้อย อนาคตจะมีอีกก็ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ที่กำลังพูดอยู่และอดไม่ได้ที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมา
เธอต้องการพูดว่า แต่นั่งก็ไม่ใช่คนเดิมคนนี้
หลังจากสูดจมูก ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่ไว้ “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่รู้สึกเจ็บปวดเช่นเดียวกัน เขากอดฉีเฟยอวิ๋นไว้และลูบหลังเธอ “ข้าให้คำสัญญากับอวิ๋นอวิ๋น รอให้อวิ๋นอวิ๋นร่างกายดีขึ้น จะต้องให้ลูกกับอวิ๋นอวิ๋นหนึ่งคน”
“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นอารมณ์ไม่ดี
ระมัดระวังมาตั้งนาน ไม่คิดเลยว่าเด็กจะมาจากไปแบบนี้
หลังจากกอดไม่นาน หนานกงเย่ก็ลงมาจากเตียงและอุ้มฉีเฟยอวิ๋นออกจากประตูไป ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเขาและฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มออกไปโดยที่กระโปรงเต็มไปด้วยคราบเลือด
ผู้คนภายในเรือนต่างตกใจ และหลังจากนั้นจึงเข้าใจได้ว่าพระชายาแท้งบุตร
หงเถอและลี่ว์หลิ่วรีบคุกเข่าลง
อาอวี่เดินเข้าประตูมาจากข้างนอกและเห็นร่างกายช่วงล่างของฉีเฟยอวิ๋นเต็มไปด้วยเลือด และถูกอุ้มกลับมา
เมื่อเข้าประตูมา หนานกงเย่ทำการถอดชุดเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นออกและอุ้มเธอไปอาบน้ำหินกำมะถันกันสองคน
ฉีเฟยอวิ๋นพิงอยู่ในนั้นและไม่ต้องการพูดอะไร
หนานกงเย่เช็ดเหงื่อให้เธอ “เหงื่อออกหรือ?”
“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไรต่อ
หนานกงเย่อาบน้ำให้เธอ จากนั้นจึงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นออกไป
อากาศอบอุ่นแต่ภายในห้องกลับร้อนระอุ อย่าพูดว่าใส่เสื้อผ้า ต่อให้เปลือยเปล่าก็ไม่รู้สึกเย็น
ฉีเฟยอวิ๋นนอนลงและห่มผ้าห่มอย่างดี
หนานกงเย่นั่งลง “เป็นอย่างไรบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “ตอนนี้รู้สึกไม่สบายทั้งร่างเลยเพคะ”
“ข้าจะให้หมอโจวเข้ามาตรวจดู แท้งบุตรทำให้ต้องระมัดระวังมากหน่อย ได้ยินมาว่าหากรักษาไม่ดี ต่อไปร่างกายจะอ่อนแอ”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตอบตกลงทุกอย่าง หนานกงเย่เรียกหมอโจวเข้ามา
หมอโจวเตรียมพร้อมก่อนหน้านี้แล้วและถือกล่องยาเข้าไปคุกเข่าลง
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือให้เขาไปตรวจสอบชีพจร
ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง
หนานกงเย่ถาม “ทำไมหรือ?”
หมอโจวมองไปที่หนานกงเย่ “ท่านอ๋อง ข้อน้อยยังต้องขอตรวจสอบอีกหน่อยขอรับ”
หนานกงเย่ไม่ได้ตอบกลับ หมอโจวทำการตรวจสอบให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียด ตรวจสอบอยู่สักพักหมอโจวยังคงไม่กล้าให้คำตอบ
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่กล้าให้คำตอบ ไม่ทราบว่าพระชายาสามารถทำการตรวจสอบด้วยตัวเองได้หรือไม่ขอรับ?” หมอโจวรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก
หนานกงเย่ไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “หมอโจว เจ้ามีอะไรก็พูดมาตามตรง”
“พระชายา ข้าน้อยตรวจสอบดูแล้วเด็กยังมีชีวิตอยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
หมอโจวถอยหลังออกไปคุกเข่าลง “ข้าน้อยรู้ว่าพูดออกมาจะเป็นการให้ความหวังกับท่านอ๋องและพระชายา แต่ครั้งก่อนที่ข้าน้อยมาตรวจสอบ เลือดเยอะเช่นนั้น และชีพจรอ่อนแรงเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่รอด
แต่ตอนนี้ชีพจรเต้นแรงและคงที่ เหมือนกับเป็นเด็กผู้ชายขอรับ!”
หนานกงเย่ตกตะลึงเป็นเวลานานและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “อวิ๋น อวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นและกดลงไปที่ชีพจร ผ่านไปไม่นานก็ตกตะลึง “ยังอยู่!”
หนานกงเย่ราวกับถูกฟ้าผ่าและกลายเป็นหิน
แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้ารับรองและกล่าวว่า “หมอโจว เจ้ามีคนที่ไว้ใจได้หรือไม่?”
“พระชายา อันที่จริงไม่รีบร้อนตอนนี้ พระชายาสามารถรอไปหนึ่งเดือน หากไม่มีประจำเดือน เราก็สามารถให้คำตอบได้ว่าใช่แล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นนอนกลับลงไป อันที่จริงเธอได้ตรวจวัดชีพจรด้วยตัวเองแล้ว เด็กยังมีชีวิตอยู่
“เขายังอยู่ หม่อมฉันรู้สึกได้” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่ ดูเหมือนหนานกงเย่จะรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากเช่นกัน
หมอโจวก้มศีรษะลงกับพื้นติดต่อกันหลายครั้ง “ยินดีกับพระชายาและท่านอ๋องขอรับ”
“หมอโจว โชคดีมากที่เข้าให้ข้ากินยาเป่าไทหวันเป็นจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นคงแย่” ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะบอก หมอโจวรีบเช็ดเหงื่อ
“เป็นความโชคดีของท่านอ๋องและพระชายาขอรับ” หมอโจวรู้สึกถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้ปิดเป็นความลับต่อไป”
“ขอรับ”
หมอโจวทักขึ้นมา “ท่านอ๋อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นให้พระชายาพักรักษาตัวอยู่ในห้องดีไหมขอรับ”
“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น เจ้าจัดการเถอะ เรื่องอาหารการกินจะต้องระมัดระวังอย่างมาก”
“ขอรับ”
เมื่อหมอโจวออกไป หนานกงเย่จึงกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้ “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าแน่ใจหรือ?”
แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ในห้องนั้น ลองสัมผัสดูแล้วก็แน่ชัดว่าหยุดไปแล้ว แต่ตอนนี้สัมผัสกลับรู้สึกขึ้นได้ ท่านอ๋องลองดูสิเพคะ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวและหนานกงเย่จึงรีบยื่นมือออกไปสัมผัสแนบแน่นที่ท้องของฉีเฟยอวิ๋น มือของหนานกงเย่ขยับเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่แรงมาก แต่ก็รู้สึกได้
หนานกงเย่ดึงมือออกและวางกลับไปอีกครั้ง “ข้าจำได้ว่าไม่มีแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว “ก่อนหน้านี้ไม่มี ยี่สิบกว่าวันก็เริ่มมีแล้ว อันที่จริงเขามีอายุสองเดือนกว่าแล้ว แต่เป็นเพราะช่วงนี้ท่านอ๋องยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องเขื่อนตู้ฟางจุน รวมไปถึงท่านอ๋องจัดการเรื่องของท่านอ๋องแปด จึงทำให้เพิกเฉยไป”
“ไม่น่าแปลกใจ”
หนานกงเย่อารมณ์ดี อย่างน้อยก็ไม่ร้ายแรงเช่นนั้นแล้ว
ดูเหมือนว่าเลือดของเธอจะทำปฏิกิริยาที่สำคัญขึ้น ถึงขนาดเด็กก็ยังได้รับการสืบทอดไป
ฉีเฟยอวิ๋นลูบท้องไปมา ก็ไม่รู้ว่านี่คือเรื่องดีหรือว่าไม่ดี
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังอยากพักผ่อน ดูเหมือนกับไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเลยเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ได้ว่าครั้งนี้เธอบาดเจ็บอย่างสาหัส ถึงแม้ว่าจะรักษาชีวิตเด็กไว้ได้ แต่ร่างกายของเธอกลับอ่อนแอ เหมือนกับเพราะรักษาชีวิตเด็กไว้ด้วยพลังแรงกายทั้งหมดจึงทำให้เป็นเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหมดเรี่ยวแรงไร้สติเล็กน้อย หนานกงเย่จึงรู้สึกเป็นกังวล
“อวิ๋นอวิ๋นพักผ่อนก่อน ข้าจะเฝ้าอวิ๋นอวิ๋น”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลงและไม่นานก็หลับสนิท
หนานกงเย่ถอนหายใจ อันที่จริงเขาก็รู้สึกเหนื่อย
หลังจากถอดรองเท้าก็ขึ้นไปบนเตียง หนานกงเย่นอนลงข้างนอกและห่มผ้าห่มให้ฉีเฟยอวิ๋น ทั้งสองคนนอนด้วยกันโดยมีเสื้อผ้ากั้นกลาง ฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับแต่เริ่มมีเหงื่อออก
เขาลุกดูฉีเฟยอวิ๋นและสัมผัสเธอ เหงื่อบนร่างกายของเธอเปียกปอนไปหมด
และอดไม่ได้ที่จะเรียกฉีเฟยอวิ๋นให้ตื่นขึ้น หนานกงเย่เริ่มทำการเช็ดเหงื่อให้เธอ
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มพูดละเมอ