องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 267 ลงทัณฑ์สถานหนัก
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 267 ลงทัณฑ์สถานหนัก
ระหว่างทาง ผู้ที่ร่วมเดินทางพร้อมกันกับนางนั้นเป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ย
ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดกล่าวสิ่งใดเลย ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะทั้งสองคนมีความจริงที่อยู่ในใจเฉกเช่นเดียวกัน
มาถึงยังหน้าประตูตำหนักที่ป้าซีถูกไต่สวน ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่มองเข้าไปด้านในแต่นางมิได้เข้าไป
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านในคือหนานกงเย่ ในลานนี้คือตำหนักเย็นเป็นที่ไต่สวนชั่วคราวที่หนานกงเย่สร้างขึ้น ตรงพื้นนั้นมีผู้คนจำนวนหนึ่งคุกเข้าอยู่ซึ่งถูกโบยจนช้ำไปทั้งตัว ยังมีกองเลือดเต็มอยู่บนพื้น ภาพนั้นช่างนองเลือดยิ่งนัก
ซู่จิ่นในเวลานี้ยืนโง่ซะแล้ว เด็กคนนั้นก็ตกใจจนเป็นบ้ายืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น อาจเพราะขณะที่โบยผู้คนนั้นได้ทำให้เด็กตกใจกลัว
ฉีเฟยอวิ๋นบางครั้งก็รู้สึกว่าหนานกงเย่ไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจ แต่ขณะที่ปกป้องครอบครัวนั้นผู้ใดบ้างที่จะไม่เป็นดังปีศาจ?
สำหรับหนานกงเย่แล้ว เด็กสองคนที่อยู่ในท้องของทั้งสองตำหนักเป็นหลานชายของเขาซึ่งก็ไม่อยู่ซะแล้ว เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้
เขาไม่ได้บ้าเพียงแค่โมโห นี่ถือว่าสงบนิ่งมากแล้ว
ป้าซีถูกนำตัวไปคุกเข่ายังเบื้องหน้า ใบหน้าอันเคร่งขรึมของหนานกงเย่ซึ่งมีแต่ความเย็นชาถามขึ้นว่า: “ป้าซี เจ้าได้พบซู่จิ่นก่อนที่ทั้งสองตำหนักจะเกิดเรื่องเจ้าได้ฝากฝังสิ่งใดกับซู่จิ่นไว้หรือไม่?”
ป้าซีเหลือบมองไปยังซู่จิ่นแล้วกล่าวว่า: “เคยได้พบจริง”
ซู่จิ่นนั่งลงกับพื้น นางไม่ได้รับสารภาพเพียงแค่มีคนบอกว่านางได้ไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋
นางคลานไปพร้อมกับร้องไห้แล้วคว้าแขนของป้าซีจากนั้นก็ส่ายหน้า: “ป้าซี ข้าน้อยไม่ได้พูดสิ่งใดเลย ข้าน้อยไม่ได้พูดสิ่งใดเลยนะ?”
ใบหน้าป้าซีไร้ความรู้สึก ปัดมือของซู่จิ่นออกแล้วถอนหายใจครั้งหนึ่ง: “ไม่ว่าจะพูดหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ข้าพูดก็คือความจริง”
ซู่จิ่นล้มนั่งลงอย่างโง่เขลาแล้วมองไปยังเด็กที่ตกใจจนเป็นบ้านั้น
นางตายไปก็ไม่เป็นไรแต่คนในครอบครัวของนางจะทำเช่นไร?
ป้าซียอมรับผิดเรื่องทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว คบไฟอันสว่างไสวทำให้ใบหน้าของหนานกงเย่ดูหล่อเหลาเป็นพิเศษ แต่ก็ยิ่งทำให้ดูโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น
“ป้าซีเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้?” น้ำเสียงอันเย็นชาของหนานกงเย่ไม่มีความเวทนาเลยแม้แต่น้อย
ป้าซีกล่าวว่า: “ตั้งแต่วันที่พระสนมเซียวเข้าวังมา ข้าก็สังเกตในตัวพระนางแล้ว พระนางอ่อนเยาว์งดงามและเยาว์วัยกว่าฮองเฮา
เมื่อก่อนนั้นไม่เคยได้สังเกต แต่หลังจากนั้นฝ่าบาทได้ประทานความโปรดปรานให้แก่พระนางแล้วพระนางก็ทรงตั้งครรภ์ ถึงแม้ว่าฮองเฮาก็ทรงตั้งพระครรภ์ แต่ฝ่าบาทเพื่อพระนางแล้วมักจะเพิกเฉยต่อฮองเฮา ข้าปรนนิบัติอยู่ข้างพระวรกายของฮองเฮามานานหลายปี มองเห็นอยู่ในตาทว่าเจ็บปวดอยู่ในใจ
ไม่พึงพอใจเป็นแน่ จึงคิดหาโอกาสที่จะทำร้ายพระนางอยู่แล้ว
”คิดไม่ถึงว่าอ๋องตวนและพระชายาตวนจะเข้าวังมา จึงสบโอกาสนี้แล้วเข้าหาข่มขู่ซู่จิ่น”
ซู่จิ่นค่อยๆมองไปพร้อมด้วยน้ำตาอย่างพร่ามัว นางไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นมองลงเบื้องล่าง ข่มขู่?
ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?
หนานกงเย่สอบถาม: “เช่นนั้นเจ้าข่มขู่ซู่จิ่นอย่างไร?”
“ก่อนที่ซู่จินจะเข้าวังน้้นนางเป็นสาวใช้ของตระกูลจวิน ส่วนพระสนมเซียวเคยทรงถูกลักพาตัวไปตอนอายุสิบขวบ เป็นน้องชายของฮองเฮาแม่ทัพน้อยที่ได้ช่วยชีวิตพวกนางนายบ่าวเอาไว้
ข้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่มีครั้งหนึ่งได้เห็นแม่ทัพน้อยในวังแล้วเห็นซู่จิ่นมองแม่ทัพน้อยอย่างหลงใหลข้าถึงได้รู้เรื่องรู้ราวแล้ว
คิดจะจัดการเรื่องให้กับฮองเฮา จึงต้องซื้อตัวซู่จิ่นไว้ซะก่อน
ข้าบอกกับซู่จิ่นว่าขอแค่นางเชื่อฟัง ข้าก็จะหาวิธีให้นางได้อยู่กับแม่ทัพน้อย ถึงเป็นแค่นางสนมก็ดีนางก็เต็มใจ นับประสาอะไรกับสามารถเป็นอนุภรรยาได้
แต่หากนางไม่เห็นด้วย ข้าจะจับคนในครอบครัวของนาง แล้วกระจายคำพูดออกไป เช่นนั้นนางก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เช่นนี้ซู่จิ่นจึงได้เห็นด้วย”
“……” หนานกงเย่มองซู่จิ่นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกใดๆ: “ซู่จิ่น แต่ว่า?”
“ป้าซีท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ นี่เป็นความผิดร้ายแรงโทษประหารเก้าชั่วโคตรเชียวนะ ท่านกับข้าเคยพบกันจริง แต่ว่า……แต่ว่า……”
ซู่จิ่นพูดได้ไม่ชัดเจน นางไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร
ป้าซีนำหลักฐานที่มีประโยชน์กว่านั้นออกมา: “ช่วงเวลาสองสามวันก่อน ข้าเป็นผู้ที่นำฉางหงฮัวมาให้ซู่จิ่น แต่นางทำไม่สำเร็จแล้วข้าก็ยังเฆี่ยนตีนางด้วย ที่แขนของนางยังมีบาดแผลอยู่รอยหนึ่ง”
ป้าซีกล่าวเช่นนั้นซู่จิ่นก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน มีคนเดินมาหาซู่จิ่นในทันทีแล้วดึงตัวนางไว้จากนั้นเปิดแขนเสื้อออก มีรอยแผลที่ถูกเฆี่ยนตีซึ่งบาดแผลยังไม่สมานกันดี
เช่นนี้ซู่จิ่นถึงมีปากก็ไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้ซะแล้ว
ป้าซีกล่าวต่อ: “ซู่จิ่น ทั้งหมดนี่เจ้าทำตัวเองทั้งนั้น หากครั้งนั้นเจ้านำน้ำของฉางหงฮัวให้พระสนมเซียวดื่มลงไปก็คงไม่มีเรื่องราวในวันนี้ และก็จะไม่เป็นการทำร้ายฮองเฮา ตอนนี้เป็นไปตามชะตากรรมซึ่งทำร้ายฮองเฮาซะแล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป หากพระนางรู้ว่าข้าเป็นผู้ที่สังหารบุตรของพระนางมีหรือที่พระนางจะยกโทษให้ข้า?
“ป้าซี ท่านทำเช่นนี้ได้เช่นไร? ท่านจะฆ่าซู่จิ่นทั้งครอบครัว!”
ซู่จิ่นร้องห่มร้องไห้จนฟังไม่ออก
ป้าซีกล่าวว่า: “หากไม่อยากให้มีผู้คนรู้นอกเสียจากว่าจะไม่ได้กระทำ ในเมื่อเจ้าทำไปแล้วก็ควรจะรู้จุดจบ วันนี้ก็คือจุดจบของเจ้ากับข้า เหตุใดเจ้าถึงต้องร้องห่มร้องไห้หล่ะ?”
ซู่จิ่นนั่งลงและไม่พูดสิ่งใดอีก หนานกงเย่ถามขึ้นว่า: “ป้าซี เจ้าไม่ยอมบอกว่าผู้ใดเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เจ้าบังคับให้ข้าลงมือหรือ?”
“การลงโทษข้ารับใช้ของอ๋องเย่นั้นเคยได้ยินมาตั้งนานแล้ว อ๋องเย่ลงมือจัดการพวกข้ารับใช้นั้นไม่สามารถทนกันได้ ทว่าอ๋องเย่ลองจัดการดูได้ ข้าน้อยมิสามารถยอมรับผู้ใดออกมาได้เป็นแน่
ฮองเฮาทรงพระเมตตาต่อข้าน้อย ข้าน้อยโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เด็ก โชคดีที่ฮองเฮาพบเข้าและทรงเมตตา จึงได้เป็นที่เคารพนับถือในวัง แม้ว่าข้าน้อยจะต้องตายก็ขอจงรักภักดีต่อฮองเฮา”
“แต่ว่าเรื่องนี้เจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำเช่นนั้นก็เป็นฮองเฮาหล่ะสิ?” หนานกงเย่กล่าวตรงประเด็น
ป้าซีก็มิได้หวาดกลัวเพียงแค่กล่าวว่า: “ท่านอ๋องเย่ไม่จำเป็นต้องทดสอบเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย ข้าน้อยสารภาพก็เพียงแค่หวังว่าท่านอ๋องเย่จะทรงเห็นแก่พระเมตตาที่ฮองเฮานั้นได้เลี้ยงดูท่านอ๋องเย่มาอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ รอให้จัดการกับข้าน้อยเรียบร้อยแล้วทรงทูลฮองเฮาว่าข้าน้อยได้หายไปก็พอแล้ว เพื่อจะได้มิให้พระนางทรงเศร้าโศกเพียงนั้น”
“นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าจะฟังเพียงแค่คำพูดของเจ้าได้เช่นไรกัน”
ป้าซีหยุดกล่าวสิ่งใดขึ้นอีก หนานกงเย่ให้คนลงทัณฑ์บังคับให้ป้าซีกล่าว แต่ป้าซีไม่กล่าวแม้แต่น้อยเลยจนกระทั่งเสียชีวิตไป
นางถูกโบยจนเป็นรอยแผลไปทั่วทั้งร่างกาย ทุกหนทุกแห่งนั้นเต็มไปด้วยเลือดทั้งนั้น
เดิมทีร่างกายก็ผอมบางเมื่อถูกโบยก็เป็นดังเช่นน้ำเต้าเลือดยังไงยังงั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก
แต่ป้าซีหลับตาลงไม่กล่าวสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย นางไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา ราวกับว่าร่างกายนั้นมิใช่ของนาง
ฉีเฟยอวิ๋นกลับหวังให้นางรีบๆตายไปซะ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความผิดบาปนี้
เฉินอวิ๋นเจี๋ยดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงจากไป ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาจากไปแล้วถึงได้ออกไปจากหน้าประตูตำหนักเย็น
มาแล้วถึงสองครั้งก็รู้จักทางแล้ว
แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการมายังสถานที่แห่งนี้อีก มาครั้งหนึ่งก็กลัวครั้งหนึ่ง มาครั้งหนึ่งก็ทําร้ายความรู้สึกครั้งหนึ่ง
เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของซู่จิ่นดังมาจากตำหนักเย็น: “ป้าซี……”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงแล้วขณะที่หันหลังกลับ ป้าซีก็สิ้นลมหายใจซะแล้ว
คนก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีไม้งัดอยู่ทั้งสองข้างพร้อมทั้งโซ่เหล็กสองเส้นล่ามอยู่ตรงกระดูกสะบัก การทงทัณฑ์เช่นนั้นถือได้ว่าโหดร้ายทารุณเป็นอย่างยิ่ง ป้าซีเป็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งจะทนได้เช่นไร?
ร่างกายซึ่งท่วมไปด้วยเลือด เลือดไหลอยู่ทั่วทั้งร่าง
มีเพียงใบหน้าซีดเซียวอันน่ากลัวนั้น ใบหน้าฉีเฟยอวิ๋นซีดเผือดแล้ว
หนานกงเย่ทรมานคนจนตายซะแล้ว?
ป้าซีก้มศีรษะลงหลับตาเอาไว้แน่น เลือดบนร่างกายไหลย้อยลงมาตามโซ่เหล็กนั้น