องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 269 ออกจากวังหลวง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 269 ออกจากวังหลวง
หลังจากออกจากวังหลวง ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงป้าซี และเธอต้องการเข้าพบจักรพรรดิอวี้ตี้อย่างมาก
และฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปถึงพระที่นั่งบำรุงฤทัยโดยไม่รู้ตัว
มีคนยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าพระที่นั่งบำรุงฤทัย แต่เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นเข้าจึงรีบเข้าไปรายงานต่อสวีกงกง และในขณะนี้สวีกงกงกำลังรู้สึกไม่สบายใจเพราะจักรพรรดิไม่เสวยอะไรเลยมาเป็นเวลาหกเจ็ดวันแล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะไหวได้อย่างไรกัน
เมื่อสวีกงกงได้ยินว่าฉีเฟยอวิ๋นมาหา จึงรีบกราบรายงานฝ่าบาท
จักรพรรดิอวี้ตี้ค่อยๆ เงยพระพักตร์ขึ้น ดูเหมือนจะมีพลังเรี่ยวแรงเล็กน้อย
“ให้นางเข้ามา”
สวีกงกงรีบไปเชิญฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นสะพายกล่องยาไว้ราวกับแบกถือกล่องสมบัติเดินไปมาในวังหลวง
หนึ่งคือกล่องยาของฉีเฟยอวิ๋นนั้นมีความพิเศษ โดยมีสีเงิน มีสายสะพายและมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่มีความหนักหนาอย่างมาก ทำให้ใครๆ ต่างก็สงสัย สองคือมือของฉีเฟยอวิ๋นกดกล่องยาไว้ตลอดเวลา ทำให้ให้ความรู้สึกว่าข้างในนั้นต้องมีของดีอย่างแน่นอน
ฉีเฟยอวิ๋นสะพายกล่องยาไปพบจักรพรรดิ ก็คือการไปแสดงสมบัติของมีค่า
และขณะนี้ท่านอ๋องเย่ก็เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว พระชายาเย่ก็ได้รับการโปรดปราน ทำให้คนในวังหลวงหลายคนต่างพากันอิจฉา แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรแม้แต่น้อย
ต่างรู้สึกว่าหากไม่ระมัดระวังตัวให้ดี คนที่ตายคนต่อไปอาจเป็นพวกเขาเอง
จึงทำได้เพียงทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์ไม่คิดให้ร้ายคนอื่น จึงจะมีชีวิตอยู่ในวังหลวงต่อไปได้
การกระทำวิธีการของท่านอ๋องเย่นั้น ขนาดป้าซีที่เคยเลี้ยงดูมาก็ยังทำกันได้ลงคอ ยังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในพระที่นั่งบำรุงฤทัยและวางกล่องยาลงหลังจากนั้นจึงคารวะจักรพรรดิอวี้ตี้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจักรพรรดิอวี้ตี้จึงบอกให้ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเหลือบไปมองเบื้องบนและมองไปที่จักรพรรดิอวี้ตี้ที่กำลังเดินลงมา สวีกงกงย้ายเก้าอี้มาข้างหน้าสองตัวโดยโต๊ะได้ถูกวางอยู่ก่อนแล้ว เป็นโต๊ะกระดานหมากรุก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัส “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พระชายาเย่เล่นหมากรุกกับข้าหน่อยสิ”
“เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและมองไปที่กระดานหมากรุก หลังจากนั้นจึงเริ่มเดินหมากรุก
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่กระดานหมากรุกและรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นเล่นด้วยความตั้งใจ หลังจากนั้นจึงโบกมือส่งสัญญาณให้สวีกงกงออกไป จากนั้นเขาจึงลงหมากรุก
ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไร และการเดินหมากรุกของทั้งสองต่างก็มีท่าทีของตัวเอง ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองจักรพรรดิอวี้ตี้และคิดว่าเขาคงรู้เรื่องทั้งหมดมานานแล้ว เพียงแต่ในใจยังรู้สึกสับสน
“ฝ่าบาท หากหม่อมฉันชนะ ฝ่าบาทสามารถบอกเรื่องทั้งหมดกับหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ?”
“เช่นนั้นต้องดูกันว่าเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่!”
หลังจากจักรพรรดิอวี้ตี้พูดจบก็เล่นหมากรุกต่อไป ฉีเฟยอวิ๋นพยายามต่อสู้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะได้อย่างเฉียดฉิว
จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง “ก่อนหน้านี้ป้าซีได้เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ อันที่จริงเป็นแผนการของฮองเฮาทั้งหมด นางต้องการให้ข้าเชื่อใจป้าซี นับตั้งแต่นั้นก็จัดการจัดวางคนมาอยู่ข้างกายของข้า
ข้ารู้เรื่องเหล่านี้ แต่ก็เลือกที่จะเชื่อใจ ในตอนเริ่มต้นข้าต้องการให้ฮองเฮาวางใจ แต่หลังจากนั้นข้ารู้สึกว่าแท้จริงแล้วป้าซีเป็นคนดี
จึงให้นางเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ส่วนตัว ข้าเรียกให้นางกลับมา มีหลายเรื่องของข้าที่นางเลือกที่จะไม่พูดออกไป
นางยอมตายเพื่อฮองเฮา แต่ก็ยอมปกป้องชีวิตของข้า
เรื่องในครั้งนี้ข้าก็คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกล้าทำเช่นนี้”
“ฝ่าบาทรู้ว่าเป็นแผนการของฮองเฮาทั้งหมดหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกประหลาดใจ ในเมื่อรู้แต่กลับไม่ห้ามปรามหรือหยุดยั้ง
“ข้ารู้ เหมือนกับที่ป้าซีกล่าวไว้ มีช่วงหนึ่งที่ข้าเอาแต่ไปหาพระสนมเซียว นางเป็นฮองเฮา ข้าเคยพูดไว้ว่าจะไม่เมินเฉยต่อนางไม่ว่าจะมีผู้หญิงคนไหนเข้ามาในชีวิต แต่ข้าได้ผิดคำพูด และการสูญเสียเด็กในครรภ์ไปก็เป็นความผิดของข้าด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นมองจักรพรรดิอวี้ตี้ด้วยความประหลาดใจ เขาเป็นถึงจักรพรรดิแห่งอาณาจักร แต่กลับยอมรับว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดไป
เห็นได้ว่าเขาไม่มีความสุขในตำแหน่งฐานะนี้ และเขาต้องไตร่ตรองตัวเองอยู่เป็นระยะ ไม่เช่นนั้นเรื่องแบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้น
เพียงแต่ เขารู้ว่าป้าซีทำเพื่อปกป้องเขา แต่กลับไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยชีวิตป้าซีไว้ หรือเขาอาจจะมีวิธีช่วยชีวิตป้าซี แต่เขากลับไม่ได้ช่วยป้าซี
เป็นเพราะเขาไร้ความรู้สึกเกินไป หรือว่าเดิมทีนางก็มีความผิดอยู่แล้ว
จักรพรรดิเป็นผู้ไร้ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร นางยกย่องเทิดทูนเขาไว้สูงเกินไป
“ฝ่าบาทยังมีพระชันษาไม่มากนัก ยังสามารถมีได้อีกเพคะ เพียงแต่……การปกป้องก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างชัดเจนและคงไม่ต้องพูดอะไรอีก เพียงแค่เตือนไปหนึ่งคำ
แต่เธอก็ยังรู้สึกยกย่องชื่นชมจักรพรรดิอวี้ตี้ เขาได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อคนอย่างเฉินอวิ๋นชู
ลองถามดูจะมีผู้ชายคนไหนยอมทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงเพียงคนเดียว
“จริงหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงลุกขึ้นและเตรียมตัวกล่าวลา จักรพรรดิอวี้ตี้จึงตรัสถามว่า “เจ้ามาหาข้า ไม่ใช่เพราะมาเพื่อความอยุติธรรมเรื่องของท่านอ๋องเย่หรือ?”
“แม้ว่าจะมีความสับสน แต่หม่อมฉันก็ไม่ได้มาเพื่อเรื่องของท่านอ๋องเย่ ก็แค่สับสนในเรื่องของป้าซีเท่านั้นเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า “ไปเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงออกจากพระที่นั่งบำรุงฤทัย
สวีกงกงออกมาส่งฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไปพลางร้องไห้เช็ดน้ำตา ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า “สวีกงกง ข้าเสียใจด้วยนะ”
สวีกงกงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหยุดชะงักมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบถุงผ้าขึ้นมาหนึ่งถุงยื่นให้กับสวีกงกง “ข้าเห็นสิ่งนี้ตกอยู่หลังจากที่ป้าซีจากไป ใช้น้ำล้างให้แล้ว
บนนี้มีการปักดอกบัวและปลาเอาไว้ ข้าคิดว่าปลาและสวีเหมือนกัน และเชื่อว่าต้องมีการอุปมาเปรียบเทียบอะไรสักอย่าง เมื่อเห็นสวีกงกงข้าก็เลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้”
สวีกงกงมือสั่นและรับถุงผ้าไปและน้ำตาไหล
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปรอบๆ “อย่าให้คนอื่นเห็น เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ใช่ไหม?”
สวีกงกงพยักหน้าพลางร้องไห้ “ขอรับ”
“กงกง ส่งข้ากลับไปเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปทางตำหนักเฉาเฟิ่ง โดยมีสวีกงกงเดินตามไปส่งเธอ
เมื่อเดินไปถึงบริเวณที่ไม่มีผู้คน สวีกงกงก็คุกเข่าลงกับพื้นและร้องห่มร้องออกมาด้วยความอดกลั้นไว้ไม่อยู่
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นแล้วรู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรเกินเลย เธอจึงดูลาดเลาให้กับสวีกงกง
สวีกงกงกุมถุงผ้าไว้และร้องไห้หยุด ฉีเฟยอวิ๋นทนดูต่อไปไม่ได้จึงถามขึ้นว่า “ตอนนั้นที่บอกว่าให้ป้าซีกับจักรพรรดิ หรือว่าทำเพื่อกงกงหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าบางคำพูดที่เก็บไว้ในใจ มักจะทำให้รู้สึกไม่มีความสุข แต่หากพูดออกมากลับรู้สึกดีกว่ามาก
สวีกงกงกล่าวพร้อมกับร้องไห้ “อาซีเข้ามาวังหลวงเพื่อข้าน้อยเองขอรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่กับสวีกงกงพักหนึ่ง แม้ว่าเธอจะตกใจ แต่เรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในวังหลวงนี้มีให้เห็นมากมาย
“กงกง คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นกลับคืนมาได้ ถุงผ้าอันนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี เรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก็ให้มันผ่านไป คนไม่อยู่แล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าทำลายความรักของป้าซี หากกลับไปช้ากว่านี้ฝ่าบาทจะหาเจ้า นี่คือยาสีผึ้ง เจ้าทาบริเวณรอบดวงตาประเดี๋ยวก็หาย ดูไม่ออกหรอก”
สวีกงกงลุกขึ้นและทาบริเวณรอบดวงตา หลังจากนั้นจึงเดินไปส่งฉีเฟยอวิ๋นที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง
เมื่อมาถึงตำหนักเฉาเฟิ่ง สวีกงกงจึงกลับไป เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าสวีกงกงเดินจากไปไกลแล้วจึงหันหลังกลับเข้าไปพบพระพันปี
เมื่อเดินเข้าประตูมาก็ได้พบหนานกงเย่ที่สวมใส่ในชุดสีเลือดนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ และเมื่อเห็นเธอกลับมาจึงลุกขึ้นยืน
พระพันปีไม่อยู่ แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับพบไห่กงกง
“คารวะพระชายาเย่ขอรับ” ไห่กงกงมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและกล่าว
“กงกงลุกขึ้นเถอะ”
เธอวางกล่องยาลง ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “ท่านอ๋องยอมมาแล้วหรือเพคะ?”
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินยอมมา ข้าก็แค่กลัวและไม่กล้ามา ข้าโหดเหี้ยมเช่นนั้นเกรงว่าอวิ๋นอวิ๋นจะโกรธและไม่สนใจข้า วันนี้ข้ามาที่นี่แต่เช้า และรอมาแล้วสองชั่วยาม” หนานกงเย่อธิบาย ฉีเฟยอวิ๋นมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมท่านถึงพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเลยหรือเพคะ?”
“กับอวิ๋นอวิ๋นยังมีเรื่องอะไรให้ต้องอับอายขายหน้าอีกหรือ?” เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ขมวดคิ้วและไม่เศร้าโศกแล้ว หนานกงเย่จึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “เสด็จแม่ล่ะเพคะ?”
“เสด็จแม่ไปพักผ่อนไป เมื่อสักครู่ได้ดุว่าท่านอ๋องแปดไป ข้าได้บอกนางไปว่าเรื่องราวที่จวนอ๋องเย่นั้นมีมากมาย ต้องการให้อวิ๋นอวิ๋นกลับไป และเสด็จแม่ได้ตอบตกลงแล้ว” หนานกงเย่ถือกล่องยาของฉีเฟยอวิ๋นและสะพายไว้ที่หลังของเขา จากนั้นจึงจูงมือของฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปนอกตำหนักเฉาเฟิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเขาไปด้วยความไม่ยินยอมนัก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ