องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 270 เขารู้ทุกอย่าง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 270 เขารู้ทุกอย่าง
ไห่กงกงส่งพวกเขาตามหลัง ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดออกมาว่า : “ป้าซีถูกโยนไปในหลุมฝังศพจริงหรือเพคะ?”
“ในวังจะมีหลุมฝังศพได้อย่างไรกัน?” หนานกงเย่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้โกรธเคืองขนาดนั้นแล้ว และอารมณ์ของนางก็ดีขึ้น ดังนั้นจึงตอบคำถามอย่างสุขุมใจเย็น
“แล้วท่านบอกว่าถูกส่งไปที่หลุมฝังศพแล้ว แถมยังให้อาหารสุนัขแล้วอีกด้วย”
“จริงอยู่ที่ข้าพูดเช่นนั้น ทำหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ทว่ามีขันทีสองสามนายโยนศพของป้าซีออกไปจริงๆ เพียงแต่ว่าข้าให้อาอวี่ตามไปดู อาอวี่บอกว่ามิได้โยนไปไกลนัก เพราะถูกโยนลงเขาไม่ไกลนัก อาอวี่จึงได้นำกลับมาด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดฝีเท้าลง ถามต่อไปว่า : “แล้วหลังจากนั้นล่ะเพคะ?”
“หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เชื่อ : “ถ้าเช่นนั้นศพล่ะเพคะ?”
หนานกงเย่นำพาฉีเฟยอวิ๋นเดินจากไป ทั้งสองนั่งรถม้าออกเมืองไปไกลสิบลี้ได้ จากนั้นหนานกงเย่จึงลงจากรถม้าแล้วอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้น
“อาอวี่ เจ้าคอยอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวนะ”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเพียงร่างกายของนางกำลังลอยอยู่ ไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างไร กลิ่นหอมจากดอกไม้ต้นไม้รอบๆยังคงลอยนวลอยู่ แต่ทว่านางมิกล้ามองเท่าไรนัก ท้องฟ้าตรงหน้าที่กำลังหมุนเวียนอยู่ หากมองต่อไปเช่นนี้ คงได้อาเจียนออกมาเป็นแน่
นางรีบเอาหน้ามุดเข้าไปในอ้อมกอดของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นไปถึงครึ่งหุบเขาพร้อมกับหนานกงเย่
รอจนหนานกงเย่หยุดฝีเท้าลง ฉีเฟยอวิ๋นแน่ใจแล้วว่าเขาหยุดนิ่งและยืนมั่นคงดีแล้ว ถึงได้หันไปมองรอบๆ หนานกงเย่รู้ดีว่านางจะรู้สึกไม่สบายเท่าไรนัก เพราะความเร็วเช่นนี้เร็วเกินไปนัก
อุ้มไปครู่หนึ่ง เห็นว่าสีหน้าของนางยังคงดีอยู่ จึงได้ปล่อยนางลง
ฉีเฟยอวิ๋นถูกกอดไว้ในอ้อมกอดของหนานกงเย่ ในที่สุดก็ได้เห็นบรรยากาศโดยรอบอย่างชัดเจน ที่นี่เป็นมุมหนึ่งของหุบเขา ซึ่งอยู่บริเวณครึ่งหุบเขานี้
ตรงข้ามเป็นหลุมศพเดียวดาย หน้าหลุมมีก้อนหินก้อนหนึ่งวางอยู่ บนก้อนหินไม่มีตัวอักษรสลักอยู่ ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
ฉีเฟยอวิ๋นออกจากอ้อมกอดของหนานกงเย่ เดินไปดูหินก้อนนั้น และถามว่า : “เป็นหลุมศพของป้าซีหรือเพคะ?”
“อืม” หนานกงเย่รู้ว่านางอยากเห็น จึงได้เสี่ยงขึ้นมาหุบเขาเช่นนี้
หากมิใช่ว่าที่ผ่านมาพลังของเขาเพิ่มพูนมากขึ้น มิเช่นนั้นอุ้มนางขึ้นหุบเขาที่ระยะทางไกลเช่นนี้คงลำบากมิน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ จากนั้นก็ไปดูป้ายศิลาหน้าหลุมศพ
“ไม่มีอักษรสลักไว้เช่นกันเพคะ ทำให้หม่อมฉันนึกถึงป้ายไร้อักษรขององค์จักรพรรดิอู๋เพคะ หรือป้ายไร้อักษรนั้นมิได้เก็บไว้ให้ลูกหลานไปสลัก แต่เพราะว่ามีเรื่องราวที่มิอาจพูดถึงได้ จึงมิสามารถสลักลงไปได้ เพราะเช่นนี้จึงมิถูกสลักอักษรไว้”
“องค์จักรพรรดิอู๋งั้นรึ? ป้ายไร้อักษรงั้นรึ?”
หนานกงเย่มีความสนใจในเรื่องราวของโลกอนาคตนัก ไม่มีอันใดที่เขาไม่อยากรู้เลย
หนังสือประวัติศาสตร์เขาก็อ่านม่ไม่น้อย แต่ทว่าสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกมาทุกครั้ง เขามักจะอยากรู้ไปหมดทุกเรื่อง
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ : “ท่านคงไม่ได้คิดเรื่องไม่ควรคิดใช่หรือไม่เพคะ?”
“ข้าคิดอันใดอยู่ อวิ๋นอวิ๋นเองต้องรู้อยู่แล้ว ยากนักที่จะได้มีเวลาพักผ่อนในโลกที่วุ่นวายเช่นนี้ เรากลับไปคุยกันดีกว่า”
หนานกงเย่คิดจะพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นผลักเขาออกและกล่าวว่า : “หม่อมฉันยังไม่อภัยให้ท่านเพคะ มิต้องมาหลอกลวงหม่อมฉันเลยเพคะ ต้องดูพฤติกรรมของท่านก่อน”
“เช่นนั้นข้าจะทำตัวดีเป็นแน่”
หนานกงเย่พูดอะไรออกไปตอนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นล้วนรู้สึกไร้ประโยชน์ เพราะความคิดของนางอยู่บนป้าซีทั้งหมด
หรือป้าซีจะรู้สึกว่ามีเพียงภักดีเท่านั้นถึงจะอยู่ในวังต่อไปได้ เช่นนั้นถึงจะคอยเฝ้ามองสวีกงกงได้
แต่ทว่าสิบปีมานี้ ป้าซีไม่คิดผิดหวังเลยงั้นหรือ?
หรือว่าเมื่อตอนที่ท่านรู้สึกผิดหวังกลับเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว จึงมิสามารถหลุดจากห้วงนี้ได้กัน?
มองดูหินก้อนนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ย้อนถามตนเอง แล้วตนเองจะเป็นอย่างป้าซีหรือไม่กัน?”
หรือความตายสำหรับป้าซีจะเป็นวิธีหลุดพ้นแล้วจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นถามหนานกงเย่ขณะที่กลับลงจากหุบเขา : “ท่านฆ่าป้าซี ไม่ว่าป้าซีจะเป็นคนของใคร แล้วท่านมิคิดหรือว่าพวกเขาจะไม่ปล่อยท่านไว้แน่?”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือการจัดการพวกมัน พวกมันทำตัวไม่ดีเอง ข้าจึงต้องทำเช่นนี้ เรื่องนี้ข้ายังต้องพูดอีกหรือ?”
คำพูดไม่ถูกกันแม้แต่ครึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเองก็มิอยากจะสนใจอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ก็เป็นคนเลือกเอง ความเย่อหยิ่งเช่นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้อื่นเป็นกังวล ผู้คนที่มีความคิดบางอย่างในใจจะปฏิบัติต่อเขาราวกับหนามในตัว และเป็นไปได้ที่สุดท้ายคนเหล่านั้นจะรวมตัวกันเพื่อโจมตีเขา เพราะเช่นนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงคอยดูว่าเขาจะรับมือกับความวุ่นวายเช่นนั้นได้อย่างไร
แต่ทว่าขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้บนรถม้า ก็อดไม่ได้ที่จะนึกกลัวภายหลัง
“ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าที่เด็กในวังมักจะเก็บไว้ไม่อยู่เช่นนี้ จะเป็นฝีมือของอ๋องแปดหรือไม่เพคะ?”
หนานกงเย่ลืมตาขึ้นเล็กน้อย และกอดฉีเฟยอวิ๋นที่เหนื่อยล้าจากการขึ้นลงหุบเขา และมิได้พักผ่อนเท่าไรนักในช่วงนี้
“อ๋องแปดนั้นมีความเกี่ยวข้องอยู่เป็นแน่ เพียงแต่ข้ามิสามารถพึงสังเกตได้ พวกเขาประชากรมาก และยังอยู่กันเป็นกลุ่ม ถึงแม้ข้าจะมีใจสงสัยแต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลา แต่อวิ๋นอวิ๋นเองสามารถช่วยข้าคิดหาวิธีจับพวกมันทีละคนได้นะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสับสน : “ให้หม่อมฉันช่วยท่านฆ่าคนหรือเพคะ?”
“ข้ารู้ว่าอวิ๋นอวิ๋นเป็นหมอ และหน้าที่ของหมอคือช่วยชีวิตผู้คน แต่ทว่าอวิ๋นอวิ๋นจะรู้ได้อย่างไรว่าการฆ่าคนหนึ่งคนจะเป็นการช่วยชีวิตคนนับพันนับหมื่นคนกันล่ะ?
กล่าวไปกล่าวมา แผ่นดินเป็นขององค์จักรพรรดิ มิสามารถแบ่งให้ใครได้
ขนาดตัดลูกตัดหลานเรื่องปานนั้นพวกเขายังทำได้ แล้วยังมีเรื่องอันใดที่พวกเขามิสามารถทำได้อีก?”
สายตาของหนานกงเย่มองไปยังท้องของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นสงบสติอารมณ์แล้วสัมผัสท้องของตนเอง
“หรือว่าพวกเขาจะต่อกรกับหม่อมฉันงั้นหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นนึกขึ้นได้
หนานกงเย่ไม่เกรงใจเช่นกัน : “หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของพระชายาตวน ข้าก็ควรดีใจ อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าผู้ร้ายคือใคร แต่ทว่าเรื่องนี้กลับมิใช่ฝีมือของพระชายาตวน คนที่ตายไปก็เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อนายตนเอง แล้วคนที่เหลือล่ะ? ใครกันที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?
ฮองเฮาเข้าวังนานหลายปีกลับไม่ยอมตั้งครรภ์ องค์จักรพรรดิเองก็มิยอมรับพระสนม เรื่องนี้ทุกคนก็มิกล้ากล่าวถึงไปทั่ว เกรงว่าจะมีหลายคนที่กล่าวว่าองค์จักรพรรดิไร้ความสามารถ หากเป็นเช่นนี้ ก็มิใช่ความผิดของฮองเฮา แต่ทว่าพระสนมเซียวเข้าวังไก้ไม่นานก็ท้องลูกขององค์จักรพรรดิ นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ อวิ๋นอวิ๋นเองก็รู้ดีใช่หรือไม่?“
ฉีเฟยอวิ๋นหน้าซีด : “เหตุใดท่านจึงดูเหมือนรู้ไปหมดทุกเรื่องเลยเพระ?”
หนานกงเย่ยิ้มเบาๆ : “สิ่งที่ข้าไม่รู้นั้นมากมายนัก อย่างเช่นอวิ๋นอวิ๋น ข้าก็ไม่รู้แล้ว”
“ ยังไม่รู้อีกหรือเพคะ ท่านจะมองหม่อมฉันอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นข้าเองก็อยากถามเช่นกันว่าเหตุใดเขามักจะพบอวิ๋นอวิ๋นโดยลำพัง และยังทำตัวลับๆล่อเกรงว่าข้าจะรู้เข้าอีกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าโศก รู้ดีว่าหนานกงเย่นั้นต่อกรด้วยยากนัก คาดไม่ถึงว่าระวังถึงเพียงนี้แล้ว เขายังรู้ได้
“หม่อมฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้พบหม่อมฉันอย่างลับๆล่อๆ ในเมื่อท่านรู้แล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันจะเล่าให้ฟัง จะได้คลายความอึดอัดภายในใจของหม่อมฉันด้วยเพคะ“
ที่ผ่านมาฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดออกมาก็เพราะว่ายังไม่แน่ใจในความคิดต่อหนานกงเย่ ในเมื่อแน่ใจแล้วก็มิจำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป
นางเล่าตั้งแต่เข้าวังพบกับกับจักรพรรดิอวี้ตี้จนถึงเรื่องที่ตรวจสอบฮองเฮาโดยลับ หรือแม้กระทั่งเส้นทางลับที่มีอยู่ในวังนางก็บอกหนานกงเย่จนหมด
หลังจากเล่าจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางเองก็มิใช่คนที่ยอมเก็บทุกอย่างไว้ไม่ยอมพูดเช่นกัน