องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 281 เพื่อนของมู่เหมียน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 281 เพื่อนของมู่เหมียน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า:“เป็นเพราะเรื่องที่จวิ้นจู่ได้รับเลือกให้เป็นพระชายารอง ท่านป่วยมาหนึ่งเดือนแล้ว เหตุใดถึงได้หายดีอย่างรวดเร็ว”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“ข้าไม่ได้ป่วยเพราะเรื่องที่จวิ้นจู่ได้รับเลือกให้เป็นพระชายารอง และคุณหนูเฉินก็ได้รับเลือกให้เป็นพระชายารอง เช่นเดียวกันกับจวิ้นจู่ หรือว่าคุณหนูเฉินไม่รู้?”
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มู่เหมียนหันกลับมา:“ท่านว่าอย่างไรนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์และไม่พูดอะไร มู่เหมียนจวิ้นจู่เหลือบมองเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ แม้ว่านางจะไม่ได้ถามต่อ แต่แววตาของนางก็เฉียบคม ราวกับว่านางไม่พอใจเรื่องที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์จะแต่งงานกับคนคนเดียวกัน
และหันหลังเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กำลังจะตามไป แต่ก็ถูกมู่เหมียนดุเสียงดังว่า:“ไม่ต้องตามข้ามา”
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์หยุดชะงัก ในตอนนี้ตระกูลเฉินกำลังตกอยู่ในอันตราย และอาจจะไม่สามารถรักษาจวนเสนาบดีไว้ได้ นางจึงไม่กล้าที่จะตามไป
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่ามู่เหมียนจวิ้นจู่ไปที่ด้านหน้า นางก็เดินตามหลังไป
มู่เหมียนจวิ้นจู่เดินไปยังที่ที่มีคนน้อย และหยุดมองดูคนเหล่านั้นเพียงลำพัง
เมื่อเห็นว่าเข้ากับคนเหล่านั้นไม่ได้ มีคนผู้หนึ่งเดินมาหามู่เหมียนจวิ้นจู่และพูดคุยกับนาง เพียงแต่พูดคุยกันไปมาแล้วคนผู้นั้นก็ร้องไห้!
ไม่รู้ว่ามู่เหมียนจวิ้นจู่ได้ยินอะไร นางถูกผู้หญิงคนนั้นรั้งไว้และบอกว่าไม่ให้ไป จากนั้นก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม
จะว่าไปแล้วมู่เหมียนจวิ้นจู่ก็ไม่ใช่คนที่อารมณ์ดี นางโกรธจนสีหน้าเปลี่ยน ละบอกว่าอยากจะไปหาอะไรสักอย่าง แต่ก็ยังถูกรั้งไว้
ในที่สุดก็เห็นผู้หญิงคนนั้นรีบจากไป
หลังจากที่เห็นว่าคนไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้าไป ในเวลานี่มู่เหมียนตาแดงก่ำและจ้องไปยังที่ที่อยู่ตรงหน้า
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงด้านข้างของมู่เหมียนและมองตามสายตาของนางไป ผู้หญิงคนเมื่อครู่เดินผู้ชายคนหนึ่งไปอย่างเชื่อฟัง ผู้ชายคนนั้นแต่งกายเหมือนคนราชนิกุล
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“เพื่อนของเจ้าหรือ?”
มู่เหมียนจวิ้นจู่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและพูดอย่างเย็นชาว่า:“ท่านไม่ต้องมายุ่ง”
“เจ้าไม่ต้องการให้ข้ายุ่งก็ไม่เป็นไร แต่ข้าเห็นสีหน้าเพื่อนของเจ้าและมือที่เขียวช้ำของนาง มันต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน?”
“……ท่านรู้อะไร?” มู่เหมียนจวิ้นจู่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองอาอวี่:“เจ้ารู้จักหรือไม่?”
อาอวี่ไตร่ตรองอย่างละเอียด:“รู้จักพ่ะย่ะค่ะ เขาคือท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นของจวนอ๋องหก เขาเป็นลูกภรรยาเอก จัดเรียงตามความอาวุโสแล้วอยู่ลำดับที่สี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองมู่เหมียนจวิ้นจู่:“อะไรที่ควรรู้ก็ต้องรู้ ตามหลักแล้วเจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่สะใภ้ แม้ว่าเจ้ากับข้าจะเคยประลองฝีมือกัน แต่เมื่อเทียบกับที่นี่ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงการประจบประแจงผู้คน พวกเราดีกว่าพวกนางและราคาก็สมจริง
มีบางเรื่องที่ผู้อื่นรู้แล้วจะต้องหัวเราะเยาะเจ้า ข้ารู้และจะช่วยเจ้า”
มู่เหมียนจวิ้นจู่ยิ้มเยาะและไม่พูดอะไร
แต่ในเวลานี้ผู้หญิงคนที่พบกับนางยืนไม่อยู่และล้มลงไปที่พื้น คนรอบ ๆ ต่างก็หลบหลีก ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นบวมแดง และปีนขึ้นมาจากพื้น แต่ผู้ชายคนนั้นที่นางเดินตามไป หลับมองอย่างไม่แยแสและหันหลังเดินตามผู้หญิงอีกคนไป
ดูเหมือนผู้หญิงคนก่อนจะถูกทำร้าย แต่คิดอยู่นานก็คิดไม่ออก
มู่เหมียนจวิ้นจู่อยากจะไปที่นั่น และในที่สุดก็ทนไม่ไหว
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“พ่อของท่านบอกท่านใช่หรือไม่?อย่ามายุ่งเรื่องของตระกูลจงชิน ”
มู่เหมียนจวิ้นจู่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปช่วยพยุงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา และก้มลงไปปัดฝุ่นออกจากร่างกายของนาง
ผู้หญิงคนนั้นขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นและเห็นท่าทางที่เจ็บปวดของนาง จากนั้นก็คุกเข่าลงและมองไปที่เท้าของนาง เท้าของนางเคล็ดจริง ๆ ด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืนและพยุงนางไปนั่งลง และบีบเท้าของนางด้วยตนเอง และบอกให้อาอวี่นำยามา จากนั้นก็พันแผลให้นางแล้วลุกขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นรีบขอบคุณ:“ขอบคุณท่านที่ช่วยข้า ข้าเป็นพระชายาของท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้น ท่านเรียกข้าว่าพระชายาเซี่ยวก็ได้ ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณคือ?”
“ไม่เป็นไร ข้าชื่อฉีเฟยอวิ๋น เป็นพระชายาของท่านอ๋องเย่ และเป็นพี่สะใภ้ของเพื่อนเจ้า เป็นเพื่อนของเจ้าที่บอกให้ข้ามา”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่มู่เหมียนจวิ้นจู่ เมื่อมู่เหมียนจวิ้นจู่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นมองนาง นางจึงพยักหน้า
เมื่อพระชายาเซี่ยวเห็นมู่เหมียนจวิ้นจู่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ข้าเป็นหมอ แต่ข้าชอบยุ่งเรื่องผู้อื่น ในเมื่อสามีของเจ้าเห็นนางสนมดีกว่าภรรยาเอก หากเจ้าอยากได้รับความยุติธรรมกลับคืนมา บางทีข้าอาจจะทำได้”
พระชายาเซี่ยวส่ายหัว:“มันสายเกินไปแล้ว นางมีลูกแล้ว แต่ข้าไม่สามารถทำได้ อีกอย่างร่างกายของข้าก็ไม่แข็งแรงและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ แล้วจะเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างไร?
ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจที่พระชายาเย่เป็นผู้มีคุณธรรมเช่นนี้ แต่เราพบกันช้าเกินไป และทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว”
ฟังจากที่พระชายาเซี่ยวกล่าวแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ แต่นางไม่อยากคิดมากเกินไป พระชายาเซี่ยวยื่นมือออกมาจับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นไม่ถือสาและยื่นมือออกไปให้พระชายาเซี่ยว
มือของนางเย็นมากจนทำให้ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะจับมือของพระชายาเซี่ยว แววตาของนางอ่อนโยน ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร
นางคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นชาวใต้ เพราะผู้หญิงชาวใต้ที่นั่นเป็นเช่นนี้
ไม่เหมือนกับชาวเหนืออย่างนางที่แข็งแกร่งกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“เจ้าสุขภาพไม่ดีหรือ?”
“มือของเจ้าเย็นมาก”
พระชายาเซี่ยวยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า:“มู่เหมียนกับข้าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่หลังจากที่ข้าแต่งงาน นางก็แตกหักกับข้า นางบอกข้าว่าท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นไม่มีทางที่จะปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี แต่ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อนาง และบอกว่าต่อให้ต้องตายก็ยอม
ใครจะไปรู้ว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง ไม่นานท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็หลงของใหม่และเบื่อของเก่า
เดิมทีข้าอยากจะรอให้นางกลับมา แต่นางกลับมาช้าเกินไป และนางสนมก็ตั้งครรภ์แล้ว”
หลังจากที่พระชายาเซี่ยวพูดจบก็หลั่งน้ำตา
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่พระชายาเซี่ยวอย่างใจลอย นางไม่เคยรู้สึกสงสารและอยากจะปกป้องผู้หญิงคนนั้นเลย
“ตั้งครรภ์แล้วก็เป็นเรื่องของนาง เจ้าก็ยังเป็นเจ้า เจ้าอย่าทรมานใจเช่นนี้เลย ร่างกายของเจ้าสำคัญที่สุด” เมื่อฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเรื่องของเฉาเหม่ยเหริน นางก็รู้สึกกังวล
ผู้หญิงที่นี่เปรียบเสมือนต้นหญ้า ไม่มีใครสงสาร ต่อให้แข็งแกร่งก็ไม่มีจุดจบที่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าการหาผู้ชายดี ๆ ไม่ได้นั้น ยากที่จะมีจุดจบที่ดี
“ข้าไม่สำคัญ ข้าโตมากับแม่เลี้ยง หากไม่ใช่เพราะได้เจอกับมู่เหมียน ก็ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ครั้งแล้ว ข้าจึงรู้สึกว่าติดค้างมู่เหมียนอย่างมาก ข้าไม่เชื่อนางและแต่งงานกับท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้น
พระชายาเย่ มู่เหมียนไม่ควรมาสนิทสนมกับข้า ท่านพ่อของนางไม่ชอบให้นางสนิทสนมกับคนในตระกูลจงชิน ข้ามีเรื่องจะพูดกับมู่เหมียน ท่านได้โปรดช่วยข้าสักครั้ง วันหน้าหากมีโอกาส ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า:“เจ้าว่ามาเถอะ”
“ข้ากับมู่เหมียนเป็นดังเช่นพี่น้องกัน แต่สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถแต่งงานกับคนที่รัก พร้อมกันกับนางได้ นางบอกกับข้าว่าหากแก่เฒ่าไปด้วยกันก็คงจะดี แต่หากไม่ได้……
ท่านช่วยบอกกับนางว่าชาติหน้าข้าขอให้ได้พบกับนาง และจะแก่เฒ่าไปพร้อมกับนางอย่างแน่นอน”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องไปที่พระชายาเซี่ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า:“ข้าจะช่วยบอกให้ เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะไปที่ไหน?”
“ข้าต้องกลับไป แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า รอให้คนที่นี่กลับไปหมดแล้ว ท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็จะมาหาข้า” พระชายาเซี่ยวกล่าวอย่างราบเรียบ นางดูเฉยเมยและยอมรับชะตากรรม
ฉีเฟยอวิ๋นทนไม่ไหวที่จะทิ้งพระชายาเซี่ยวไว้ และเมื่อเห็นว่ามู่เหมียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างร้อนใจ ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า:“อาอวี่ เจ้าไปหารถม้ามา ข้าจะไปส่งพระชายาเซี่ยว”
อาอวี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไปจัดการ
คนที่มาชุมนุมมากขึ้นเรื่อย ๆ พระชายาเซี่ยวไม่ได้พูดอะไร แต่นางกลับจ้องมองไปที่ที่หนึ่ง และมองไปที่มู่เหมียนเป็นครั้งคราว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่านางเจ็บเท้ามาก แต่นางก็ยังคงสงบนิ่งและยิ้มให้มู่เหมียน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่านี่เป็นความรู้สึกรักระหว่างพวกนาง และเป็นความหวังเดียวในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ความคิดของฉีเฟยอวิ๋นลื่นไหลเล็กน้อย เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจขึ้นมาในทันที สิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลก็คือนางเห็นประกาศการตายของพระชายาเซี่ยว