องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 300 การทดสอบหยั่งเชิงของไป๋ซู่ซู่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 300 การทดสอบหยั่งเชิงของไป๋ซู่ซู่
เฉินอวิ๋นเจี๋ยเข้ามาก็เจอยาที่หกอยู่บนพื้นแล้ว กลิ่นยายังคละคลุ้งอยู่ตลบอบอวลเข้ามาถึงด้านในห้อง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยมองเฉินอวิ๋นชูอยู่ตรงหน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ นางยังเป็นท่านพี่ที่อ่อนโยนที่สุดของเขาหรือไม่?
หรือพอโตก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว?
เฉินอวิ๋นเจี๋ยยืนอย่างเงียบๆอยู่หน้าประตู เฉินอวิ๋นชูมองเห็นเขาแล้วไม่เพียงแต่ไม่ตกตะลึง กลับเดินไปอีกด้านด้วย
พอนั่งลงแล้วเฉินอวิ๋นชูเลยลูบคลำบริเวณหน้าอก เริ่มมีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกมองไปสถานที่ที่หนึ่ง
เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวถามว่า “เหตุใดถึงทำเช่นนี้? อวิ๋นอวิ๋นไม่ได้ทำร้ายท่าน นางพยายามที่จะช่วยท่านมาโดยตลอด ยาเหล่านี้เชื่อเลยว่านางเป็นคนจัดเตรียมด้วยตนเอง นางทำเพื่อท่านตั้งมากมายหลายเรื่อง กี่ครั้งที่ท่านทุกข์ใจ ล้วนเป็นนางที่ช่วยเหลือท่าน ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ ท่านยังต้องเนรคุณหรือ?
ภายในห้องบรรทมของพระตำหนักเฟิ่งอี๋มีเหล่านางกำนัลจำนวนหนึ่ง แต่เวลานี้เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะได้ยินแล้ว
นางกำนัลทยอยออกไป เฉินอวิ๋นชูหันมามองเฉินอวิ๋นเจี๋ย ด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่อย่างมาก
ใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง วันนี้บวกกับความเยือกเย็นบนใบหน้าของนางที่นั่งอยู่ด้านนั้นคล้ายดั่งคนตายแล้ว มันน่ากลัวเป็นอย่างที่สุด
แต่เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่ได้สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านี้ เขารู้เพียงว่า ท่านพี่ที่แสนดีของเขาหายไปแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจนปัญญาเหลือเกิน
“เก็บฉีเฟยอวิ๋นไว้ไม่ได้ สำหรับสกุลเฉินของข้า นางเป็นเคราะห์หามยามร้าย “เฉินอวิ๋นชูไม่อยากพูดอะไรมาก วันนี้นางเป็นเช่นนี้แล้ว นางไม่มีอะไรที่จะรักษาดูแลได้แล้ว
หากนางต้องตาย นางก็จะนำฉีเฟยอวิ๋นไปด้วยกัน
เฉินอวิ๋นเจี๋ยส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่…ผู้ใดก็ห้ามแตะต้องนาง มีข้าอยู่ทั้งคน นางจะต้องไม่ป่วยหรือเป็นอะไรอย่างแน่นอน”
“อวิ๋นเจี๋ย เพื่อคนนอกผู้นี้แล้ว จะต้องไม่ใส่ใจข้าที่เป็นพี่สาวของเจ้าหรือ?”เฉินอวิ๋นเจี๋ยหลั่งน้ำตา สิ่งเดียวที่นางไม่วางใจนั่นก็คือเฉินอวิ๋นเจี๋ย ทุกอย่างที่นางกระทำ นั่นไม่ใช่เพราะเขาหรือ?
แต่เรื่องราวถึงวันนี้ กลับได้ยินเขาพูดเยี่ยงนี้
เฉินอวิ๋นเจี๋ยส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่สนใจไม่ใส่ใจดูแล แต่ข้านั้นทำอะไรไม่ได้ ท่านไม่ใช่ท่านพี่คนเดิมของข้า ท่านเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจนข้าไม่รู้จักแล้ว
ข้าจะไปละ จะไปจากที่นี่”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหมุนตัวจะเดินไป เฉินอวิ๋นชูเรียกเขาไว้ว่า”หยุดเดี๋ยวนี้”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหยุดเดิน เฉินอวิ๋นชูเลยกล่าวขึ้นอีกว่า “หากเจ้าไป ก็ไปให้ไกล อย่ากลับมาอีก”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยหันมามองใบหน้าซีดเผือดของเฉินอวิ๋นชู เขาไม่ได้กล่าวพูดอะไรออกมา จากนั้นได้หมุนตัวแล้วเดินออกไป
เฉินอวิ๋นชูหัวเราะร่ากล่าวว่า “ฉีเฟยอวิ๋น เจ้าขวางทางข้า อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความรู้สึกก็แล้วกัน”
ค่ำคืนนี้ฝนตกโปรยปราย หนานกงเย่กำกับดูแลไป๋จิ่งหยวนด้วยตนเอง ฉีเฟยอวิ๋นมองสายฝนโปรยปรายในห้อง คนที่อยู่เป็นเพื่อนเธออยู่ข้างๆคือไป๋ซู่ซู่
ถ้าพูดว่าไป๋ซู่ซู่อยู่เป็นเพื่อนฉีเฟยอวิ๋น พูดว่าฉีเฟยอวิ๋นอยู่เป็นเพื่อนไป๋ซู่ซู่จะดีกว่า
“หากท่านจะไปดู ข้าไปเป็นเพื่อนไหม?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทุกข์ละอายใจ แม้ว่าไป๋จิ่งหยวนจะรับผิดแล้ว แต่คดีนี้เธอไม่ได้ทำอะไร คนอย่างไป๋จิ่งหยวน ไม่ใช้แผนการอะไร เลยทำให้ตกใจอยู่บ้างที่เขาก็ยอมรับเรื่องสังหารคนแล้ว
เรื่องของท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้น เขายอมถูกตีตายดีกว่าที่จะมายอมรับว่ากำจัดลูกของไป๋ซู่ซู่ นั่นก็หมายความว่า ไม่สามารถแยกกันหรืออยู่ร่วมกันได้และก็ไม่สามารถหย่ากันกับฝ่ายตรงข้ามด้วย กลับไปที่จวนท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ระทมได้
เวลานี้ไป๋ซู่ซู่ทอดถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา คล้ายกับรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่ นางมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า”เจ้าช่วยข้ามามากมาย ข้าหวังเพียงแค่มู่เหมียนจะมีความสุข ไม่เป็นอย่างข้า ที่หดหู่ไร้ความสุข”
“ท่านคิดถึงแต่ผู้อื่น”ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงมาก เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
ไป๋ซู่ซู่มองหนานกงเย่ที่นอนอ่านตำราอยู่บนเตียงไม้ด้านหลัง คนผู้นี้แปลกจริง กลัวว่าพระชายาจะหนีหรือถึงได้เฝ้าเช่นนี้
ไป๋ซู่ซู่กล่าวว่า”ข้าอยากไปดู ฝนตกหนักเช่นนี้ ขอยืมคนของเจ้าหน่อยนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ กล่าวว่า “ข้าไปไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้”
ไป๋ซู่ซู่ส่ายหัว รู้สึกได้ว่านางส่ายหัวยังไร้เรี่ยวแรงเลย
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า”อาอวี่ล่ะ?”
“ท่านอ๋องเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ นานถึงได้สติมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา กำลังจะตอบคนด้านหลังผู้นั้นได้กล่าวว่า “อาอวี่ ปู้ทิง ปู้เหวิน”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
คนด้านนอกรีบนั่งคุกเข่าลง
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ หันกลับไปมองใบหน้าอึมครึมของหนานกงเย่ แต่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา และกำลังตั้งใจอ่านตำราของเขาอยู่
ตำรานั้นฉีเฟยอวิ๋นเป็นผู้คัดลอกไว้ เขาก็เพิ่งจะรู้ ด้านในตำราเป็นเรื่องราวของยุคหลัง อีกทั้งล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ด้วย
เพราะฉะนั้นเขาเลยย้ายกล่องเหล่านั้นเข้ามาไว้ในห้อง และอ่านอย่างเงียบเชียบไม่เปล่งเสียงออกมา
เมื่อก่อนตรวจสอบดูแล้วบางส่วนน้ำหมึกเปลี่ยนสี ด้านในมีคำอื่นปรากฏออกมา ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำเดิมเลย เขาชอบเป็นอย่างมาก
เดิมทีอ่านอย่างสบายๆ โดยเฉพาะช่วงแม่ทัพสู้รบในสนาม ตอนที่รู้ว่าคนตีฝ่าวงล้อม คิดไม่ถึงเลยว่าเสียงปืนใหญ่ราวกับดังอยู่ข้างหูของเขา
แต่เวลานี้เขาสนใจทางด้านของฉีเฟยอวิ๋น ได้ยินไป๋ซู่ซู่พูดขึ้นแล้วหงุดหงิด โดยเฉพาะเธอ รู้อยู่แล้วว่าไป๋ซู่ซู่กำลังลองทดสอบหยั่งเชิง ยังจะตอบอีก
เขาก็ยิ่งไม่อยู่ไม่สุขแล้ว
อารมณ์ร้ายของเขาเดือดปะทุปุดๆ ขึ้นมาจนอยากจะไปตีที่ก้นงามงอนของเธอ
ไป๋ซู่ซู่แน่วแน่เป็นอย่างมากกล่าวว่า”พวกอาอวี่นั้นข้าไม่ต้องการ เอาท่านอ๋องเถอะ”
ไม่ใช่ว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ใส่ใจหนานกงเย่ และก็ไม่ใช่ว่าดูความหมายของไป๋ซู่ซู่ไม่ออกแต่ถ้าหากเธอไม่ตอบตกลง ชัดเจนว่าเธอไม่มีความมั่นใจ
เวลานี้เข้าสู่ห่วงแห่งการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอไม่มีเวลาสนใจหนานกงเย่แล้ว
เธอเลยตอบตกลง หากว่าเขาปฏิเสธ มันน่าอับอายเสียเหลือเกิน
“ข้าไม่ไป”หนานกงเย่กล่าวอย่างเย็นชา ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ไป๋ซู่ซู่มองฉีเฟยอวิ๋นที่ไม่พูดไม่จา เพราะได้รับคำตอบแบบแข็งทื่อ
แรงภายในกระทบผ่านจากทางด้านหลัง ประตูส่งเสียงเปิดออก มีคนคุกเข่าอยู่หน้าประตูสามคน ฝนกระหน่ำสาดซัดที่ร่างกายของทั้งสาม แต่พวกเขาก็เงียบ
ฉีเฟยอวิ๋นถูกลมพัดผ่านจนอยากจะหลบหลีก
ไป๋ซู่ซู่มองไปทางด้านนอกอย่างเรียบเฉยเหมือนเดิม หนานกงเย่สั่งการว่า “ปู้เหวิน ส่งพระชายาเซี่ยวจวิ้นไปสถานที่ประหารชีวิต”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ปู้เหวินลุกขึ้น หยิบร่มออกมาจากทางด้านหลังเอว แล้วเดินไปที่ประตู จากนั้นกล่าวว่า “เชิญพระชายาเซี่ยวจวิ้นเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ซู่ซู่สีหน้าเรียบเฉย กล่าวถามว่า “เจ้าอยากแก้ขจัดพิษแก่ข้า หากข้าบอกว่าเจ้าสามารถแก้พิษให้แก่ข้าได้ แต่ต้องแต่งเป็นพระชายารองของท่านอ๋องเย่ เจ้ายินยอมหรือไม่?”
คำพูดของไป๋ซู่ซู่ที่กล่าวออกมาเป็นที่น่าตกใจมาก ไม่ใช่เพียงหนานกงเย่ที่นอนไม่กล่าวคนเดียว รวมทั้งอาอวี่ปู้เหวินปู้ทิงทั้งสามคนต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
ฝนตกหนักไม่หยุด พวกเขามองสามคนด้านในห้องผ่านสายฝน
หนานกงเย่กัดฟันกรอด ใบหน้าปรากฏความเหี้ยมโหดออกมา เขาคล้ายดั่งหมาป่ายามค่ำคืนที่อยู่บนทุ่งหญ้า ในวันธรรมดาเงียบสงบนั่นคือการปลอมแปลง พบเจอการถูกรุกราน ใบหน้าของเขาก็จะเหี้ยมโหด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สีหน้ามู่ทู่บึ้ง แต่ฉีเฟยอวิ๋นมองไป กลับดูออกได้ไม่ยากว่า ความคิดของเขาตอนนี้คือต้องการสังหารคน
ไป๋ซู่ซู่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างมีความหวัง ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยคิดเลยว่าไป๋ซู่ซู่จะพูดเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ หมุนตัวมองไปอย่างเรียบเฉย
”ตอนนี้ท่านยังไม่แยกทาง ยังเป็นหญิงที่มีสามี แม้ว่าเป็นท่านไม่เป็นฝั่งเป็นฝา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือตอบตกลง ท่านดีมากก็จริง ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านไม่เลวก็จริง
แต่เขายอมไม่ได้ที่จะทำให้ข้าทุกข์ใจ ข้าจะให้เขาทุกข์ใจได้อย่างไร?
นี่คือกรณีที่หนึ่ง กรณีที่สอง…..
ตั้งแต่ไหนแต่ไรข้านั้นสามารถอดทนอดกลั้นได้ ชาติที่แล้วข้าอยู่ลำพังคนเดียว ไม่เคยใจสั่นหวั่นไหว หลังจากที่ตายแล้วได้มาที่นี่ และได้พบกับเขา
แม้ว่าทุกอย่างราบรื่นปกติเป็นไปด้วยดีมาตลอด แต่พอข้ากับเขาอยู่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานก็ค่อยๆมีความรู้สึกต่อกัน
ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก ปกติที่ไม่ได้แสดงปรากฏออกมา พอมันแสดงออกมาก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้แล้ว
ข้ากับเขา จะรับบุคคลที่สามเข้ามาได้อย่างไรกันเล่า?”