องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 304 การตายของไป๋ซู่ซู่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 304 การตายของไป๋ซู่ซู่
เพียงแต่ว่าอ๋องตวนนั้นไม่ได้โมโหมากมายนักเพียงแค่วุ่นวายใจเท่านั้น
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะถูกสตรีเช่นนี้ลดคุณค่าลง ดูเหมือนว่าในสายตาของอวิ๋นหลัวฉวนเขาไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
“ข้าไม่ถือสาเจ้าแต่เจ้าต้องการให้ข้าหย่าร้างกับเจ้า ข้าก็ยังคงกล่าวคำนั้นว่าไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน เจ้าเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์จะหย่าก็หย่าได้เช่นไรกัน?”
“แต่ท่านกับหม่อมฉันไร้ซึ่งความรู้สึกต่อกัน จะอยู่กันต่อไปเช่นนี้จนตายหรือ?”
อวิ๋นหลัวฉวนโกรธเคืองเล็กน้อย ไม่เคยพบเห็นผู้คนเช่นนี้มาก่อน ไม่หย่าและก็ไม่เลิกรากันด้วย อยู่กันต่อไปเช่นนี้อยู่รอวันตายหรือ?
อวิ๋นหลัวฉวนคิดว่าเด็กไม่สามารถมีบิดาเช่นนี้ได้ ท้ายที่สุดจึงได้ต้องการหย่า
อ๋องตวนก็รู้สึกหดหู่มากเช่นกัน ถูกว่าไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างกลับไม่สามารถหักล้างออกไปได้
เขายืดตัวตรงขึ้นแล้วกล่าวตามมาว่า: “ไม่ว่าเช่นไร ข้าจะไม่มีทางเลิกราและก็ไม่มีทางหย่าร้างกับเจ้า ส่วนลูกก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นที่เจ้ากล่าว
ข้าไม่ค่อยชอบสำเร็จราชการแทนแต่ก็มิได้ม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
หากเจ้ารู้สึกว่าขายหน้าก็ออกไปให้น้อยลงเป็นพอ”
อวิ๋นหลัวฉวนเบิกตากว้างทว่ายังไม่ถลนออกมา คำเหล่านี้หมายความว่าเช่นไร สิ่งใดคือห้ามออกไป มีแต่เขาที่กล่าวออกมาได้ เช่นไรก็เป็นท่านอ๋องจะทำให้โมโหจนตายเลยใช่หรือไม่?
อวิ๋นหลัวฉวนนั่งลงอย่างเศร้าสร้อย นี่ก็ไม่ได้นั่นก็ไม่ได้แล้วจะทำเช่นใด?
ในเวลานี้อ๋องตวนนึกถึงจงชินอ๋องขึ้นมาจึงฮึ่มเสียงหนึ่งออกมาอย่างเย็นชา: “หรือว่าเจ้าจะนำข้าไปเปรียบเทียบกับเจ้าสารเลวนั่น?”
อวิ๋นหลัวฉวนรู้โดยธรรมชาติอยู่แล้วว่าผู้ที่อ๋องตวนกล่าวถึงนั้นคือใคร
แต่นี่เวลาใดแล้วเขายังคิดที่จะกล่าวเรื่องเหล่านี้อีก
อวิ๋นหลัวฉวนก็ไม่อยากคุยกับอ๋องตวนมากนัก เรื่องในวันนี้ถือว่าพ่ายแพ้ซะแล้ว มีปากแต่ไม่สามารถพูดให้ชัดเจนได้
อ๋องตวนมองดูอวิ๋นหลัวฉวนโดยไม่กล่าวสิ่งใดและเขาก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกว่าไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากันแล้วจะมีความหมายใดได้อีกจึงได้ลุกยืนขึ้นมา
“หม่อมฉันไปก่อนนะเพคะ”
เมื่อผลักประตูออกอวิ๋นหลัวฉวนก็คิดจะจากไป อ๋องตวนมองดูนางจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ บางทีอาจจะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานเลยจิดชืดไม่มีความหมายใด แต่เมื่อมองดูอวิ๋นหลัวฉวนกำลังจะจากไปจึงอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง อ๋องตวนจึงลุกขึ้นเดินตามออกไป
ทั้งสองคนมาถึงยังลานจวนก็เพื่อที่จะออกไป แต่อวิ๋นหลัวฉวนเดินไปถึงตรงหน้าประตูกลับเปิดประตูไม่ออก
เคาะแล้วเคาะอีก: “มีผู้ใดอยู่หรือไม่?”
แม่นมเว่ยยืนอยู่ตรงหน้าประตูผู้ใดจะกล้าพูด ผู้คนมากมายมองอยู่ตรงหน้าประตูแต่ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดเลย
อ๋องตวนก็แปลกใจ ผลักประตูแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดออกมาจริงๆ
ในเวลานี้อ๋องตวนจึงได้แปลกใจแล้วเช่นกัน
“ให้ข้าดู”
อ๋องตวนเดินไปยังหน้าประตูเตรียมตัวเปิดประตู คิดหาวิธีก็ได้แต่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
ท้ายที่สุดประตูถูกลงกลอนเอาไว้ ออกไป? พูดง่ายแต่ทำยาก!
“ดูแล้วถูกขังไว้ซะแล้ว รอก่อนเถอะ”
อ๋องตวนนั้นสงบนิ่ง อวิ๋นหลัวฉวนชื่นชมในความสงบนิ่งเช่นนี้ของเขา ถูกขังเอาไว้ออกไปไม่ได้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว?
“หม่อมฉันควรต้องกลับไปแล้วไม่เช่นนั้นท่านย่าจะเป็นห่วงหม่อมฉันแล้ว”
อวิ๋นหลัวฉวนยังคงเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ บางครั้งก็เร่งรีบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อ๋องตวนกลับสงบสติอารมณ์ไว้นิ่ง: “หากถูกขังแล้วก็คือไม่ยอมปล่อยให้ออกไป ออกไปได้ก็ไม่ใช่ถูกขังแล้ว กลับมาเถอะ”
นั่งลงแล้วอ๋องตวนก็กล่าวขึ้นอีกว่า: “แต่ก็ไม่มีวันถูกขังไว้ชั่วชีวิต”
อวิ๋นหลัวฉวนมองย้อนกลับไปและทำได้เพียงนั่งลงเท่านั้น
ทั้งสองคนกล่าวสิ่งใดไม่ออกทว่าอ๋องตวนกลับรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับความทะเยอทะยานของจวินฉูฉู่ การอยู่กับอวิ๋นหลัวฉวนนั้นสบายใจมากกว่า
แม้ว่านางจะเป็นคนพูดตรงแต่ก็ยังดีกว่าจวินฉูฉู่ที่ข้างนอกแสนดีข้างในโหดเหี้ยม
นั่งอยู่ครู่หนึ่งอ๋องตวนก็ถามว่า: “ช่วงนี้ทานอาหารได้แล้วหรือไม่?”
อวิ๋นหลัวฉวนนั้นไม่เคยยื่นมือออกไปตบผู้ที่ยิ้มมาให้ อ๋องตวนพูดดีนางก็ตอบดีๆ
“ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณพระชายาอ๋องตวนของท่าน” คำพูดนี้ช่างทิ่มแทงใจ
อ๋องตวนรู้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนมีอคติต่อจวินฉูฉู่ เขาจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพียงแค่ฟังนางวิจารณ์
“ข้าคิดว่านางเปลี่ยนวิญญาณชั่วร้ายของนางแล้ว เห็นแก่ที่นางส่งยาแก้แพ้การตั้งครรภ์มาให้หม่อมฉัน หม่อมฉันก็รู้สึกขอบคุณเช่นกัน หม่อมฉันยังอ้อนวอนแทนนางโดยขอให้ท่านพี่เสียนเฟยช่วยรักษาอาการป่วยของนาง คิดไม่ถึงว่านางจะชั่วช้าเช่นนั้นจนเกือบจะฆ่าคนซะแล้ว
ท่านก็ยิ่งกว่า ยังจะช่วยนางอีก”
อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวอย่างไม่รู้จบ อ๋องตวนนั้นฟังอยู่ด้านหนึ่งและรอจนมืดแม่นมเว่ยจึงกลับมา
อวิ๋นหลัวฉวนนั้นผล็อยหลับไปด้วยความง่วง
เดิมทีแม่นมเว่ยเข้าประตูมาต้องการกล่าวสิ่งใด อ๋องตวนนั้นโบกมือและส่งสัญญาณให้ถอยไป
แม่นมเว่ยจึงได้พยักหน้าและหันหลังเดินกลับไป
ประตูปิดลงแล้วอ๋องตวนก็มองดูอวิ๋นหลัวฉวนที่กำลังนอนหลับอยู่และไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ก็หวังว่าเด็กจะเกิดออกมาด้วยความราบรื่น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นในจวนจึงอดไม่ได้ที่จะถามพ่อบ้านว่า: “อ๋องตวนอุ้มเข้ามาหรือ?”
“ใช่แล้ว ทุกคนในจวนก็เห็นจากนั้นก็ไม่ได้ออกมาจากจู๋อวิ๋นไจ” พ่อบ้านบอกฉีเฟยอวิ๋นตามจริง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่: “ท่านอ๋อง ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ข้ามิใช่พวกเขาไม่ได้รู้สึกสิ่งใด” หนานกงเย่ไม่รู้เรื่องนี้เขาไปหาอ๋องตวนเพื่อหาสืบหาเรื่องของจวินฉูฉู่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้สิ่งใดแต่ท้ายที่สุดก็ต้องถาม
เมื่อถึงจู๋อวิ๋นไจไม่มีผู้ใดอยู่เขาก็ออกไปดูยังด้านนอก ฟ้ามืดแล้วเขาถึงจะกลับมาและก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“อันที่จริงอ๋องตวนเป็นผู้ที่ไม่เลว แม้ว่าเขาจะอารมณ์เฉยๆและทำอะไรโง่ๆ แต่เขาเป็นบุรุษที่ไม่ทอดทิ้งหญิงที่เขารัก แม้จะรู้ว่านางชั่วช้าแต่ก็ไม่สามารถทนทำร้ายได้ แล้วยังคุ้มครองห่วงใยด้วยชีวิต โง่เขลาก็โง่เขลาไปสักหน่อยแต่ข้าว่าเขาเป็นบุรุษที่แท้จริงผู้หนึ่ง
และมีบุรุษอย่างอ๋องตวนไม่มากนัก เช่นไรก็ดีกว่าอ๋องเซี่ยวจวิ้นมากมายนัก “ฉีเฟยอวิ๋นพิจารณาด้วยใจยุติธรรม แต่กลับรู้สึกว่าอ๋องตวนนั้นมีดี
สตรีจะมีใครที่ไม่ต้องการใครสักคนที่รักในตัวนางหมดทั้งใจ
มีคำกล่าวเอาไว้ว่า ข้ายินดีที่จะยืนอยู่ข้างหลังเจ้าละทิ้งโลกทั้งโลกเพียงเพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้า
มิใช่กล่าวถึงอ๋องตวนหรอกหรือ?
หนานกงเย่ประหลาดใจ: “เช่นนั้นก็จะไม่ถามถูกผิดแล้วใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “อย่างไรก็ตามอ๋องตวนมีนิสัยอันจริงใจเพียงแค่พบคนไม่ดี แต่พบคนไม่ดีกับการที่เขาใช้ความรู้สึกที่จริงใจนั้นกลับไม่เกี่ยวข้องกัน
ความรักของเขาก็บริสุทธิ์เช่นกัน แต่แค่โชคไม่ดีที่ได้พบกับจวินฉูฉู่”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” หนานกงเย่ไร้ซึ่งความสุข จนถึงวันนี้เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมากับจวินฉูฉู่แล้วยังรู้สึกเหนื่อยหน่าย
เขาไม่เคยใช้ความจริงใจมาก่อน แต่ในเวลานั้นเขามีใจเช่นกัน
จวินฉูฉู่เป็นผู้ที่ทำลายเขา เหตุใดเขาจะไม่หดหูใจ
หากสามารถพบเจอสตรีที่จริงใจกับเขาก็คงจะดีไม่น้อยแต่กลับไม่ใช่
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นสีหน้าของเขายิ่งแย่ลง ดังนั้นจึงไม่กล่าวสิ่งใดอีก
วลาสายมากแล้วฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่กลับไปพักผ่อน ขณะที่พวกเขานอนลงยังกล่าวว่าตำราแพทย์ของไป๋ซู่ซู่เป็นสมบัติที่หาได้ยาก นางต้องศึกษาค้นคว้าให้ดี
จากนั้นก็ถอนพิษให้ไป๋ซู่ซู่ ใครจะคิดว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวร้ายแจ้งมา
ขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกปลุกให้ตื่นนั้นด้านนอกก็กำลังกล่าวถึงเรื่องนี้กันแล้ว
ตื่นนอนแล้วฉีเฟยอวิ๋นงงงวยเล็กน้อย: “ท่านกล่าวว่าอะไรนะ?”
หนานกงเย่ก็ไม่ต้องการบอกกับนางแต่ไม่บอกก็ไม่ได้
“เมื่อครู่ได้ข่าวมาว่าไป๋ซู่ซู่ผูกคอตายอยู่ในจวน”
ฉีเฟยอวิ๋นเบิกตาทั้งคู่กว้าง เกือบจะหมดสติไป หนานกงเย่เกรงว่านางจะเกิดเรื่องจึงโอบกอดนางเอาไว้เลย
ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลง: “ข้าจะไปดูนาง”
หนานกงเย่ไม่อนุญาตได้เช่นไร แต่ก็รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ก้มลงไปอุ้มขึ้นมาแล้วออกไปยังจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น
บนรถม้านั้นฉีเฟยอวิ๋นพิงอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่อยู่ตลอดและไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ลงรถม้าแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นที่หน้าประตูจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นได้แขวนผ้าไว้ทุกข์สีขาวเอาไว้ คนในจวนก็สวมชุดไว้ทุกข์และร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประตูไปเห็นไป๋ซู่ซู่นอนเป็นศพอยู่บนพื้น นางเปิดผ้าขาวออกเห็นรอยรัดที่คอของไป๋ซู่ซู่ แต่งกายด้วยชุดสีขาวและหลับตาอยู่พร้อมทั้งปากอันซีดเซียว คนทั้งคนราวกับงานแกะสลักชิ้นหนึ่ง
ท่านอ๋องเซี่ยวจวิ้นร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกหนักหนา ต่อมาก็เป็นอนุของเขาไป๋ชิงชิง
เนื่องจากเป็นคนของจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นจึงนับได้ว่าเก็บกลับมาได้หนึ่งชีวิต ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสแค่เป็นอนุในจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นก็หลบภัยเอาไว้ได้
เวลานี้ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ร้องไห้รวดเร็วเช่นนั้น นางกุมมือไป๋ซู่ซู่มาดูก่อน นางไม่เชื่อว่าไป๋ซู่ซูจะผูกคอตายแม้ว่านางจะอยากตายก็ตาม!