องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 308 อ๋องเซี่ยวจวิ้นแทงคอตัวเอง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 308 อ๋องเซี่ยวจวิ้นแทงคอตัวเอง
ฉีเฟยอวิ๋นอยากรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และอยากไปดูที่จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้น ทว่าด้วยฐานะและเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็ไม่สะดวกไป
วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นเห็นมู่เหมียนอารมณ์เป็นพิเศษ นางเห็นใครในลานบ้านก็จะส่งยิ้มให้อย่างเบิกบานใจ ถึงแม้เห็นหนานกงเย่นางก็ไม่ได้ทำหน้าบูดเบี้ยวแต่อย่างใด
ตอนฉีเฟยอวิ๋นเห็นนางก็เวลาพลบค่ำแล้ว
บัดนี้จวนอ๋องเย่มีคนว่างงานมาพักอาศัยกันเยอะ บางครั้งบางทีฉีเฟยอวิ๋นก็จำใจต้องดูแลเสียบ้าง ต้องถามว่าจะไปเมื่อใด
เพราะจวนอ๋องไม่ได้มีอาหารเหลือเฟือ
“วันนี้เจ้าอารมณ์ดีมากหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม มู่เหมียนหันมาเห็นหน้าฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไม่ได้ส่งเสียงอีก
ฉีเฟยอวิ๋นมองอาอวี่กับหงเถาที่อยู่ด้านหลังตน พลางโบกมือให้พวกเขาถอยออกไป
ในลานบ้านไม่มีผู้คนแล้ว มู่เหมียนรู้สึกทำตัวสบายขึ้น จึงพูดขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อว่าตอนนี้ซู่ซู่ยังมีชีวิต นางต้องถูกสามีอาจารย์กับบุตรชายของอาจารย์ลุงพาตัวไปแน่
ซึ่งพวกเขาทำไปเพราะแก้แค้น คนยุทธภพนั้นโอ่อ่าทรงพลัง ไม่ปล่อยอ๋องเซี่ยวจวิ้นแน่
เขาวิปลาสจนทุบตีอนุภรรยาตาย ที่เขาหั่นของตัวเองทิ้ง แสดงว่าคนของซู่ซู่มา แสดงว่าซู่ซู่ยังมีชีวิตอยู่ หาไม่แล้ว พวกเขาจะรู้เรื่องซู่ซู่โดนกลั่นแกล้งได้เยี่ยงใด?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามู่เหมียนพูดมีเหตุผล
มองมู่เหมียนนานขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าก็เป็นคนฉลาด เห็นจุดจบของซู่ซู่แล้ว หรือเจ้ายังไม่เข้าใจ สตรีต้องหาบุรุษที่แสนดี หาบุรุษที่ดีกับตัวเอง เช่นนี้ถึงจะมีชีวิตที่ดีได้”
“ตอนแรกเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าซู่ซู่เลย ซู่ซู่โดนอ๋องเซี่ยวจวิ้นหลอกแต่งงาน ส่วนเจ้าคือหน้าด้านหน้าทนจะแต่งงานกับหนานกงเย่ให้ได้
ตอนนี้เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าอีก เจ้าไม่รู้สึกระดากปากหน่อยหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเกือบสบถกลับไป มู่เหมียนพูดจาตรงเกินไปแล้ว
เมื่อตรึกตรองดูแล้ว พวกเธอมีบุญคุณความแค้นต่อกัน จึงไม่ถือสานาง
ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะเดินจากไป หนานกงเย่ที่ตามหาฉีเฟยอวิ๋นมาเจอพอดี เมื่อหนานกงเย่เห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ดึงตัวเข้ามาสวมกอดทันที
“พูดกับนางก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ รอให้กั๋วจิ้วให้นางเป็นพระชายารองกับคนประเภทเดียวกันอย่างอ๋องเซี่ยวจวิ้น นางก็จะรู้เอง”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าหงึกๆ เดินตามเขาไป
มู่เหมียนเห็นพวกเขาจากไป กล่าวเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่อยากได้หรอก”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับเข้าห้องแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่ามู่เหมียนพูดถูก ต้องเป็นคนของหุบเขายามาหาอ๋องเซี่ยวจวิ้นแน่ ดังนั้นท่านอ๋องต้องระวังด้วยนะเพคะ ท่านอย่าพึ่งรีบไปทำคดีนี้
จวนอ๋องหกมีขันทีเพิ่มขึ้นหนึ่งคน แพร่ออกไปก็ขายหน้ากันแย่ ท่านว่าจริงไหมเพคะ?”
“ความหมายของอวิ๋นอวิ๋นก็คือกลัวพวกหุบเขายาจะทำร้ายข้า?” หนางกงเย่นั่งลง เริ่มรู้สึกให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ไม่ใช่ท่านอ๋องไม่ได้รับงานราชการแล้วหรือเพคะ เหตุใดพอเกิดเรื่องในเมืองหลวงจึงมาหาท่านได้?”
“ทังเหอมาหาข้าไม่ใช่เพราะจะให้ข้ารับคดีมาทำ
จวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ทังเหอรู้แล้วมาบอกข้า ข้าไม่ไปดูก็ไม่งาม”
“เช่นนี้ท่านอ๋องไปเพื่อดูความครื้นเครงเฉยๆ ไม่มีอย่างอื่นแล้วหรือเพคะ?”
“อืม”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็วางใจแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กังวลใจแล้วก็ไม่สนใจเรื่องจวนอ๋องเซี่ยวจวิ้นอีก
พักผ่อนมาหนึ่งคืน วันถัดไป ทั้งสองก็ไปเดินเล่นตามท้องถนน และเห็นหน้าประตูจวนอ๋องหกเงียบงันมาก
ตอนนี้เรื่องของอ๋องเซี่ยวจวิ้นลือกระฉ่อนจนครึกโครมทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ต่างรู้กันดีว่าอ๋องเซี่ยวจวิ้นตัดน้องชายตัวเองทิ้ง คนในจวนเซี่ยวจวิ้นอ๋องจึงไม่กล้าออกไปไหนสักคน
เวลานี้จึงไม่เหมาะแก่การเข้าเยี่ยมเยียน
ด้านนอกมีคนลือกันว่าเป็นฝีมือภูตผีปีศาจ ทั้งยังมีคนบอกว่าไป๋ซู่ซู่กลับมาแล้ว
ไป๋ซู่ซู่ตายตาไม่หลับ การที่อนุภรรยาโดนตีจนสิ้นชีพก็เป็นฝีมือของภูตผี
ฉีเฟยอวิ๋นยืนที่ถนนสักพักก็กลับจวนพร้อมกับหนานกงเย่
เรื่องของอ๋องเซี่ยวจวิ้นต้องกระจ่างในไม่ช้าแน่ ฉีเฟยอวิ๋นจะรอดูผลลัพธ์
เธอรู้สึกว่าอันนี้แค่เริ่มต้น สุดท้ายอ๋องเซี่ยวจวิ้นต้องสิ้นชื่ออย่างอเนจอนาถแน่
ในเมื่อสามารถให้อ๋องเซี่ยวจวิ้นประสบเภทภัยมหันต์เช่นนี้ได้ ขนาดอนุภรรยายังตายอย่างน่าเวทนาเช่นนี้ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร?
สามวันให้หลังก็มีพระราชโองการมาหา
โดยมีพระบัญชาให้หนานกงเย่เข้าพระราชวัง
ฉีเฟยอวิ๋นยืนรอหน้าประตูจวนตั้งแต่เช้า รอจนถึงช่วงบ่ายก็เห็นหนานกงเย่กลับมาเสียที
“ท่านอ๋อง”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปดึงแขนเสื้อหนานกงเย่ อีกฝ่ายกล่าวว่า “ท่านอ๋องหกไปร้องเรียก บอกว่ามีคนใช้เวทมนตร์ทำร้าย จึงอยากให้สืบเรื่องนี้”
“หมายความว่าตอนนี้พวกเขาจะกู้หน้าตัวเองกลับมางั้นหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นพอจะนึกได้บ้างแล้ว เธอไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด
“ก็ไม่เชิงว่ากู้หน้ากลับหรอก อ๋องเซี่ยวจวิ้นเป็นหัวแก้วหัวแหวนของท่านอ๋องหก เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขารู้สึกเคียดแค้นถึงจะถูก
วันนี้ตอนข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาก็อยู่ ดูเหมือนเขาเสียใจมาก
บุตรชายประสบภัยเยี่ยงนี้ เท่ากับขาดทายาทสืบทอดแล้ว วันหน้าไม่เพียงแต่ไม่กล้าสู้หน้าผู้คนเท่านั้น เกรงว่าในใจเขาคงวางความโกรธแค้นนี้ไม่ลง
ได้ยินเขาเล่าว่า พออ๋องเซี่ยวจวิ้นผวาตื่นขึ้นมาก็ตกใจมาก เขาไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความน่าสงสัย
เขาบอกว่าจะหาตัวผู้ร้ายให้ได้ เขาร้องไห้ฟูมฟายกับฝ่าบาท ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าเฝ้าก็เพื่อคลี่คลายปัญหานี้”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดูหมิ่นยิ่งนัก “หน้าไม่อายจริงๆ พวกเขาคิดก่อการกบฏ ยังมีหน้าไปขอร้องฝ่าบาทให้ช่วยจัดการเรื่องนี้อีก ฝ่าบาทก็โง่เง่านัก ทำไมไปช่วยพวกเขาก็ไม่รู้”
“อวิ๋นอวิ๋น……”
“ได้ หม่อมฉันไม่พูดแล้วเพคะ”
สองสามีภรรยาเข้าห้องปิดประตูแล้วคุยเรื่องนี้ต่อ
“ต้องไปแน่นอน แค่ลองไปถามดูก็ถือว่าไต่สวนแล้ว แต่ข้านึกไม่ถึงว่าเพราะเรื่องพวกเขา ทำให้ข้าต้องกลับไปรับตำแหน่งราชการอีก”
“เช่นนั้นยังไม่ดีหรือเพคะ ท่านอ๋องมีงานทำแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงจวนอ๋องหกด้วย ถือโอกาสนี้ตรวจสอบพวกเขาเลย ท่านบอกไปว่าเป็นฝีมือของคนภายใน ท่านถือโอการตรวจสอบพวกเขาสักรอบ พอถึงเวลาปิดคดีก็แจ้งไปว่าสืบไม่ได้ความสิเพคะ”
“ได้อย่างไร ข้าจะสืบ”
“ท่านอ๋องเพคะ ไม่ใช่จะปิดคดีได้ทุกครั้งเสมอไปนะเพคะ คดีที่ไม่มีเบาะแสมีถมเถ ท่านอ๋องทำตัวให้คุ้นชินก็สิ้นเรื่องเพคะ”
“มีแต่เจ้าแหละที่เก่ง พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบคดีแล้ว”
“หม่อมฉันจะไปด้วยเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นอยากดูว่าบุรุษที่ตัดน้องชายทิ้งจะเป็นเช่นไร
วันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ๋นตามไปที่จวนเซี่ยวจวิ้นอ๋องแต่เช้า ยังไม่ทันเข้าไปถึงก็เห็นมีคนวิ่งตะลีตะลานออกมา ในปากโห้ร้องว่า ไม่ดีแล้ว เกิดการเข่นฆ่า มีคนตายแล้ว
เมื่อผู้นั้นวิ่งหนีไป หนานกงเย่พาฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปดู เมื่อเข้าไปถึงก็เห็นอ๋องเซี่ยวจวิ้นถือดาบเล่มใหญ่ไว้ในมือ เห็นใครก็จะฟันผู้นั้น คนในจวนล้มตายไปประมาณห้าหกคนแล้ว เขาจับดาบมัจจุราชแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ ดวงตาเขานั้นแดงมาก ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกกังวลใจ หากเธอได้รับบาดเจ็บ เด็กในท้องที่เป็นโขยงจะทำอย่างไร?
หนานกงเย่ก็คอยปกป้องเธอ ถ้าเกิดอ๋องเซี่ยวจวิ้นที่อยู่ตรงข้ามพุ่งทะยานเข้าใส่ เขารับรองว่าจะกระทืบอ๋องเซี่ยวจวิ้นให้ตายคาที่แน่ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าจุดจบของการกำแหงมันเป็นยังไง
ทว่าวินาทีต่อมา อ๋องเซี่ยวจวิ้นกลับแทงคอตัวเอง
การกระทำเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ตามไม่ทัน ทั้งสองเห็นเพียงอ๋องเซี่ยวจวิ้นที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร เอาดาบฟันคนตายไปหลายชีวิต จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย
ชั่วพริบตาเลือดสดก็พุ่งกระฉูดไปทั่วพื้น ดาบในมือของอ๋องเซี่ยวจวิ้นเสียบเข้าคอลึกมาก ดวงตาเขาเบิกกว้างคล้ายกับไม่เต็มใจ ส่วนบนของเขาสวมเสื้อด้านในสีขาว ทว่าส่วนล่างล่อนจ้อน เนื่องจากไม่ได้สวมกางเกง ตอนเขาล้มลงไป ฉีเฟยอวิ๋นก็ชำเลืองมอง แต่โดนหนานกงเย่ปิดตาในวินาทีต่อมา พร้อมกับดุเสียงดังว่า ” เจ้ากล้าเหรอ”
ฉีเฟยอวิ๋นใจคอเหี่ยวแห้ง ได้แต่หลับตาลงอย่างเชื่อฟัง