องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 315 รักษาโรคช่วยเหลือชีวิตคน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 315 รักษาโรคช่วยเหลือชีวิตคน
“เป็นสารต้นกำเนิดไม่เพียงพอ ตอนที่เกิดอยู่ในครรภ์มารดา ก็พบว่าได้แข่งกันกับคนอื่นแล้ว มีปมด้อยอย่างแน่นอน แขนขาไม่ค่อยจะดี และสติปัญญาไม่ดี ประมาณการคล้ายกับว่าโง่ทึ่ม หัวใจมีปัญหา และยังมีเมื่อมองไปแล้วจะรู้สึกว่าสบายดีปกติ ทุกอย่างดีแต่ความจริงอ่อนแอโรครุมเร้า ป่วยตั้งแต่เด็ก
ทั้งนี้จะเป็นเพราะตอนที่อยู่ในครรภ์แม่หรือยังเป็นทารกอยู่ในครรภ์นั้น มันมีโอกาสเกิดได้หลายทาง ทางที่หนึ่งขาดสารอาหารบำรุงกินและดื่มไม่ดีพอ เด็กน้อยไม่สามารถที่จะดูดซับสารอาหารที่ควรดูดซับไปหล่อเลี้ยง อีกอย่างคือตอนที่แม่ตั้งครรภ์แล้วมีการสูญเสียสมดุลทางอารมณ์ และร่างกายทั้งหมดนี้มีความเป็นไปได้ อาจจะได้รับการสัมผัสกับยาที่ไม่ดี เคยมีอาการตื่นตระหนก ทั้งหมดนี้ล้วนก่อให้เกิดได้
มีความเป็นไปได้เล็กน้อย เป็นไปได้มาก หรือครึ่งหนึ่งของความเป็นไปได้ และความเป็นไปได้สูงอย่างที่สุด
ฮูหยินกั๋วจิ้วมีแฝดเป็นชาย ช่วงเวลาที่เกิดมีพี่น้องออกมาพร้อมกัน และมากกว่าครึ่งเรื่องสุขภาพของฮูหยินมาเป็นตัวตัดสินเพศของเด็กด้วย
หากว่าฮูหยินมีอาการปวดศีรษะสุขภาพจะดีกว่าเด็กผู้นั้นหน่อย และเด็กผู้นั้นมีโอกาสที่จะเป็นหญิงสาวด้วย หากว่าฮูหยินมีอาการย่ำย่ำกว่าเด็กผู้นั้น เด็กผู้นั้นก็คือผู้ชาย”
“เป็นการคาดเดาที่เลอะเทอะมาก ด้านนอกลือว่าพระชายาเย่เป็นหมอวิเศษอัจฉริยะที่กลับชาติมาเกิด รักษาคนหายแล้วจำนวนไม่น้อย แต่ข้าว่าก็เป็นเพียงความเคราะห์ดีเท่านั้นเอง
แม้ว่าพระพันปีจะเคยกล่าวถึงเรื่องความรู้ความสามารถทางการแพทย์ของพระชายาเย่ แต่วันนี้ดูแล้วก็เฉยๆไม่ได้อะไร
ฮูหยินเป็นบุตรสาวคนโตของเรือน นี่เป็นเรื่องที่คนต่างรู้กัน โดยแท้จริงแล้วไม่มีพี่น้องออกมาด้วยกัน
อีกอย่าง ตั้งแต่เล็กฮูหยินเป็นดั่งเจ้าหญิง ท่านแม่ยายจะกินดื่มบำรุงไม่ดีได้อย่างไรกัน
และยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าท่านแม่ยายได้รับความกระทบกระเทือนหรือตกใจ ท่านแม่ยายเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมอันดีงาม แม้ว่านางจะเดินยังมีคนประคอง”
ต้ากั๋วจิ้วกล่าวพูดออกมาอย่างไม่มีความเกรงใจ ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากพูดสิ่งใดมากมายแล้ว ในเมื่อเขาได้มั่นอกมั่นใจไปแล้ว เธอพูดอะไรไปมันก็ไม่ได้มีความหมาย
แต่เวลานี้ ฮูหยินของกั๋วจิ้วได้กล่าวขึ้นว่า “ท่านต้ากั๋วจิ้ว พูดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ท่านเพียงแค่ไม่รู้เรื่องราวภายในครอบครัวของข้า แท้จริงแล้วข้ามีพี่ชายฝาแฝด!”
จากนั้นฮูหยินของกั๋วจิ้วจึงร่ำไห้ออกมาทันที
ต้ากั๋วจิ้วชะงักงัน หมุนตัวเดินไปนั่งลง แล้วปลอบประโลมใจ
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ที่นั่งหน้าบึ้งอยู่อีกด้าน ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ต้อนรับขับสูครอบครัวนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร
มองดูแล้วคล้ายดั่งครอบครัวเดียวกัน แต่ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรกลับไม่ชอบ
ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกว่า กั๋วจิ้วไม่ยินยอมที่จะใช้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตนเองไปแนบกับก้นที่เย็นเฉียบของหนานกงเย่เลย
ฮูหยินกั๋วจิ้วร้องไห้อยู่สักพักหนึ่งถึงได้ผละตัวออกจากต้ากั๋วจิ้ว
แต่ร่างกายของนางพร่องอ่อนแอมาก ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ ครั้งนี้คล้ายดั่งกับว่าเป็นอัมพาตเลย
ฮูหยินต้ากั๋วจิ้วมองฉีเฟยอวิ๋นสักพักหนึ่งจากนั้นกล่าวว่า “เรื่องที่ข้ามีพี่ชายนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย มีเพียงท่านย่าของข้าที่รู้
จำได้เมื่อครั้นยังเด็ก ข้าเล่นด้วยกันกับน้องชายสองคน น้องชายนิสัยไม่ดี และนิสัยแตกต่างจากคนทั่วไป เขาอายุยังน้อยก็ชอบตีคนรับใช้ คนรับใช้ไม่สามารถทนได้ร้องโหยหวน เขายังไม่ยินยอมปล่อยไป ข้าเห็นว่าคนรับใช้ผู้นั้นไร้ความสุข ข้าเลยใช้แส้ตีน้องชาย
คิดไม่ถึงว่าน้องชายจะไปรายงานท่านย่า จากนั้นข้าเลยถูกเรียกตัวไป
ท่านย่ารักน้องชายเป็นอย่างมาก ข้าก็เลยโต้เถียงกันกับนาง คิดไม่ถึงเลยว่าท่านย่าจะกล่าวกับข้าว่า ข้าทำให้ท่านพี่ต้องตาย วันนี้หากไม่รักน้องชาย ก็เป็นบาปหนา
ข้าเพิ่งจะรู้ ตอนที่ท่านแม่ให้กำเนิดข้า ยังคลอดท่านพี่ด้วย แต่ท่านพี่ของข้าพอเกิดมาก็ตายจากไปแล้ว
สาเหตุอย่างไรไม่แน่ชัด แต่ทว่าข้ากลับได้มีชีวิตอยู่ต่อ
และตอนวัยเด็กข้าร้องไห้โวยวายอย่างแปลกประหลาด มักจะตีทุบที่ศีรษะของตนเอง
ท่านย่าของข้าก็เลยรู้สึกว่าเป็นเพราะวิญญาณของท่านพี่ข้าไม่เลือนหายไป ถึงได้ทำให้ข้าเป็นเยี่ยงนี้
เวลาต่อมาท่านแม่ให้กำเนิดน้องชาย ศีรษะของข้าจึงค่อยๆดีขึ้น นี่ถึงได้รู้ว่าเป็นการกลับมาของท่านพี่
เพราะฉะนั้นข้าเลยต้องทำดีกับน้องชายมากๆ
เรื่องนี้แน่นอนว่าท่านย่าของข้าไม่มีทางกล่าวพูดกับผู้อื่น คิดว่าท่านพ่อของเจ้าก็ไม่รู้เรื่องนี้
แต่เมื่อเจอความรู้ความสามารถทางการแพทย์ของพระชายาเย่ช่างดีเหลือเกิน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวอะไร เธอเพียงแค่เอาความรู้ทางการแพทย์มาวินิจฉัยเท่านั้นเอง
ต้ากั๋วจิ้วได้สติกลับมาเลยหันไปมองใบหน้าเย็นชาของหนานกงเย่ จึงได้กล่าวกับเขาและฉีเฟยอวิ๋นว่า “เมื่อครู่ข้าเสียมารยาทแล้ว”
นิสัยของต้ากั๋วจิ้วนั้นฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างชื่นชอบ เป็นคนที่คิดอะไรก็พูดเช่นนั้น ไม่เหมือนกับคนเวลาปกติที่เธอรู้จัก
ดูเหมือนว่านิสัยของต้ากั๋วจิ้วกับท่านพ่อของเธอน่าจะพอกัน รอมีโอกาสกลับไปแล้วจะลองถามท่านพ่อดู
“ต้ากั๋วจิ้วเกรงใจเกินไปแล้ว การรักษาช่วยเหลือชีวิตคนเป็นเรื่องที่สมควรแก่การกระทำ ต้ากั๋วจิ้วเป็นพี่น้องกับเสด็จแม่ ข้าก็ควรพยายามอย่างสุดความสามารถ เพียงแต่อาการโรคของฮูหยินข้านั้นไม่รู้เลย หากว่ารู้เร็ว ข้าก็จะรีบมาดู”
“เรื่องนี้เป็นข้าที่ประมาทเอง ข้าได้ยินว่าความสามารถของพระชายาเย่ดีมากนานมาแล้ว แต่ข้ามีความกังวลใจ ถึงไม่ได้ไปเชื้อเชิญพระชายาเย่มา”
อันหลิงไม่ใช่คนโง่ ความเกรงใจเช่นนี้แน่นอนทำเพื่อที่อยากจะรักษา ส่วนเธอเองไม่คิดที่จะไม่ช่วยหรอก
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีกหรอก ข้าขอไปดูอาการของฮูหยินก่อนนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวแล้วเดินไปด้านหน้า ต้ากั๋วจิ้วเลยรีบลุกขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นจับที่ข้อมือของฮูหยินกั๋วจิ้วแล้วดูอีกครั้ง ครั้งนี้เธอกล่าวขึ้นว่า”ภายในกะโหลกศีรษะของฮูหยินมีเลือดบีบตัวอยู่ การเคลื่อนไหวของเลือดช้าเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ นางมีบางแห่งที่แตกต่างจากคนอื่น”
พูดอย่างพิธีรีตองพวกเขาก็ฟังไม่ออกกัน ความจริงมันคือเส้นโลหิตมีการบีบตัว แล้วเส้นโลหิตบีบตัวอยู่ตำแหน่งที่เป็นเฉพาะ ทุกครั้งที่ไหลเวียนไม่สะดวกจะมีอาการเจ็บปวด หากธาตุไฟกำเริบยิ่งไม่ดี
ฉีเฟยอวิ๋นคาดเดาว่าครั้งนี้ที่ปวดศีรษะน่าจะพบเจอเรื่องที่น่าโมโหมา เวลาที่ปวดถึงราวกับตายเสียดีกว่าจะมีชีวิตรอด ผลสรุปตอนที่พบเจอการอุดกลั้น ถึงได้หายใจไม่ออกเกิดอาการตกใจหมดสติ
ตอนที่เธอมาฮูหยินเพิ่งจะมีอาการตกใจหมดสติ กลายเป็นความตายที่เป็นอาการหลอก
เพราะฉะนั้นถึงได้ช่วยฟื้นฟูคืนชีพมาได้ หากว่าช้าสักก้าวเดียว ก็พูดยากแล้ว
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี?”ต้ากั๋วจิ้วกล่าวถาม
“ที่จริงก็ไม่ได้มีวิธีการอะไรที่โดดเด่น ก็เป็นเพียงแค่การหยุดความเจ็บปวด ปัจจัยอุปกรณ์ที่จะใช้ในการทำผ่าตัดนั้นไม่มี เปิดกะโหลกศีรษะ….ยังไม่ควรที่จะทำ ตอนนี้เบื้องต้นข้าทำมันไม่ได้เลย
แต่หากสามารถทำตามที่ข้าพูดทั้งหมดแล้วเอาไปปรับสมดุล อาการปวดจะดีขึ้น”
สิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นทำได้มีเพียงสิ่งเหล่านี้แล้ว
ใบหน้าของฮูหยินกั๋วจิ้วเต็มไปด้วยความตื้นตัน กล่าวว่า”ขอบน้ำใจพระชายาเย่เป็นอย่างมาก”
”ในนี้มียาแก้ปวดเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกินได้ในทันที ท่านจำไว้เพียงว่าเมื่อมีอาการปวดท่านกินสองเม็ดก็พอแล้ว
เวลาปกติท่านต้องกินอาหารรสจืด ควบคุมความเค็ม อายุของท่านตอนนี้ สิ่งที่กลัวที่สุดคือโรคทางสมอง
หากว่าท่านอายุหกสิบปี เส้นเลือดจะมีการขยายตัวหย่อนยาน ผิวหนังกับระบบสมองของท่านจะมีการเปลี่ยนแปลง ท่านก็จะไม่เป็นอะไร”
“จริงหรือ?”
ไม่มีใครอยากจะตายหรอก รวมถึงฮูหยินกั๋วจิ้วด้วย ได้ยินฉีเฟยอวิ๋นพูดว่าอายุหกสิบปีแล้วจะไม่เป็นไร
ตอนนี้นางก็อายุห้าสิบเก้าปีแล้ว แน่นอนว่านางนั้นมีความสุขเป็นอย่างมาก
“เป็นความจริง!”
“กั๋วจิ้ว….”ฮูหยินกั๋วจิ้วตื้นตันเป็นอย่างมาก ต้ากั๋วจิ้วก็รีบพูดขอบคุณ
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้จดตำรับยาให้กับต้ากั๋วจิ้ว
“ยาแก้ปวดเอามาใช้เฉพาะแก้ปวด ด้านบนที่เขียนไว้นี้สามารถชำละล้างคราบสกปรกของเลือดได้ อีกอย่างช่วยเรื่องลดน้ำหนักของท่านด้วย สิ่งนี้ไม่ต้องกลัวกังวล เป็นการทำให้ชีวิตยืนยาว
มันเป็นการช่วยลดน้ำหนักแล้วจะรู้สึกโล่งสบาย”
“ขอบน้ำใจพระชายาเย่เป็นอย่างมาก”ฮูหยินกั๋วจิ้วกล่าวขอบคุณ ฉีเฟยอวิ๋นจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วถึงได้ชำเลืองมองมู่เหมียนที่นั่งคุกเข่ามึนงงอยู่บนพื้น
พอดูเสร็จเธอก็พาหนานกงเย่ออกมาก่อน