องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 318 ฮูหยินใหญ่ของกั๋วกงท่านหนึ่ง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 318 ฮูหยินใหญ่ของกั๋วกงท่านหนึ่ง
ฮูหยินชราอายุประมาณเจ็ดแปดสิบ หน้าตาดูสะอาดสะอ้าน นัยน์ตาล้ำลึก ดูจากรูปร่างของนางแล้ว นางเป็นคนผอมบาง ดังนั้นนางน่าจะเป็นสตรีที่มาจากตระกูลศักดิ์
เมื่อเห็นว่าคนแปลกหน้า นางก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ฉีเฟยอวิ๋นสามารถดูออกได้ไม่ยากว่าฮูหยินชราคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือออกไปจับข้อมือของฮูหยินชรา ข้อมือของฮูหยินชรานั้นผอมแห้ง แต่ผิวหนังกลับละเอียดเกลี้ยงเกลา นางเพียงแค่มองมาที่ฉีเฟยอวิ๋นแล้วกะพริบตา
จากนั้นก็ถามฉีเฟยอวิ๋นว่า:“เจ้าเป็นหมอที่แม่นมสวีเชิญมาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ข้าเป็นหมอ แต่แม่นมของท่านไม่ได้เชิญข้ามา ข้าเพียงแค่ผ่านมาและตามมาดู”
ในขณะที่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็ปล่อยมือ นางลุกขึ้นและเปิดผ้าห่มออก และถกขากางเกงของฮูหยินชรา จากนั้นก็เห็นขาที่ขาวผ่องและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อายุขนาดนี้แล้ว แต่ขาทั้งสองข้างยังคงดีมากขนาดนี้ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ !
ฉีเฟยอวิ๋นบีบและปล่อยขากางเกงลง จากนั้นก็ห่มผ้าไว้
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“จู่ ๆ ข้าของท่านก็เป็นเช่นนี้ หรือพูดได้ว่าขาของท่านเป็นเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว?”
ฮูหยินชรายิ้มอย่างเฉยเมย:“ก็ไม่นับว่านานเกินไป สามปีแล้วล่ะ”
“อ้อ แล้วเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างราบเรียบ แล้วห่มผ้าห่มให้ฮูหยินชรา
ฮูหยินชราเป็นห่วงแม่นมสวี และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่แม่นมสวี
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่านางกังวลเรื่องอะไร จึงกล่าวว่า:“นางไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นางกำลังจะฆ่าตัวตายที่หน้าประตู แต่ข้าช่วยนางไว้”
“เฮ้อ……เป็นข้าที่ทำให้แม่นมสวีต้องลำบาก!”
ฮูหยินชราพูดอย่างอ่อนโยน ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกชื่นชม ไม่ง่ายเลยที่จะมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในสถานภาพเช่นนี้
“ไม่ใช่ว่าขาของท่านไม่ดี และไม่ใช่เพราะท่านล้ม จากที่ข้าดูเป็นเพราะมีคนทำให้ขาของท่านต้องเป็นเช่นนี้”
ฉีเฟยองิ๋นใช้สมาธิตรวจดูร่างกายของฮูหยินชรา และพบว่าร่างของฮูหยินชรานั้นเป็นปกติดี เพียงแต่มีเข็มเงินสองเล่มปักอยู่ที่หมอนรองข้อเข่าของนาง
หมอนรองข้อเข่าเป็นกระดูกที่อยู่ตรงกลางข้อต่อของกระดูกสะบ้า
มีการปักเข็มเงินเข้าไปที่จุดนี้ จึงทำให้ไม่สามารถเดินได้และร่างกายท่อนล่างเป็นอัมพาต
แต่ที่เจ็บปวดกว่านั้นคือปวดหมอนรองข้อเข่าจนยากที่จะทนไหว นอกจากเสียว่าจะไม่ขยับมัน มิเช่นนั้นมันจะเจ็บมากจนเจียดจะขาดใจ
ฮูหยินชรานอนอยู่อย่างนี้ และคงจะไม่อยากเจ็บปวดอีกต่อไป
ตอนที่ปักเข็มเงินเข้าไปที่หมอนรองข้อเข่า นางก็คงจะเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
ตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นให้สมาธิ นางก็ตกใจมาก ฮูหยินชราดูสงบนิ่งราวกับว่านางกำลังนอนอยู่อย่างเสวยสุข และดูเหมือนว่าขาของนางจะไม่ได้เจ็บปวดใด ๆ
ฮูหยินชรายังคงยิ้มให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่างใจเย็น:“พวกเรานายบ่าวมาจากต่างเมือง พวกเรามาหาคน แต่หาไม่พบ และในตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่รอความตายอยู่ที่นี่
ตอนที่มาพวกเรานำเครื่องประดับมาด้วย แต่ในตอนนี้มาสุดทางแล้ว และเหลือเพียงแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
หมดหนทางแล้วจริง ๆ !
เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ พวกเราได้พบผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เป็นสวรรค์ที่ทรงเมตตา!”
“ท่านพูดถูก หากท่านต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ข้าคงต้องทำอะไรสักอย่าง”
“ไม่รีบร้อน”
ฮูหยินชรามั่นคงมาก ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปดูแม่นมสวี และเมื่อไปถึงตรงหน้าแม่นมสวีก็ฝังเข็มให้นาง
แม่นมสวีกระแอมและลืมตาขึ้น
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น แม่นมสวีก็ร้องไห้ไม่หยุด และได้ยินเสียงของฮูหยินชราดังมาจากในห้อง:“หยุดร้องไห้ได้แล้ว ยังไม่รีบขอบคุณผู้มีพระคุณอีก?”
ฮูหยินชราไม่ได้ตะโกน แต่กล่าวด้วยนำเสียงที่ไม่ได้ดังมากนัก
แต่เมื่อแม่นมสวีได้ยินฮูหยินชรากล่าวเช่นนั้น นางก็รีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าไป นางวิ่งไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินตามเข้าไป นับเป็นความโชคดีของฮูหยินชราที่ได้พบกับคนรับใช้เช่นนี้
มิเช่นนั้นหากเป็นไปตามที่ฮูหยินชรากล่าว นางก็คงตายไปนานแล้ว!
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าแม่นมสวีอายุมากแล้ว แต่นางก็ยังคุกเข่าและโขกศีรษะคำนับฮูหยินชรา ฮูหยินชรากล่าวว่า:“ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ชอบที่เจ้าคุกเข่าให้ข้า เจ้านอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง หากไม่มีเจ้า ข้าก็คงตายไปนานแล้ว เคราะห์ดีที่ได้เจ้า”
แม่นมสวีอดไม่ได้ที่จะร้องไห้:“เป็นบ่าวที่ไม่ดี บ่าวทำใบผ่านทางและตราประทับของท่านกั๋วกงหายไป มิเช่นนั้นพวกเราคงจะไม่อบจนหนทางเช่นนี้”
ตราประทับของท่านกั๋วกง?
ท่านกั๋วกงคนไหนกัน ทำไมต้าเหลียงถึงมีกั๋วกงมากมายเช่นนี้?
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาฮูหยินชราและมองไปที่แม่นมสวี:“นี่เป็นของของข้า ท่านไปที่จวนอ๋องเย่ บอกว่าข้าประสบปัญหาและต้องการให้พวกเขามาช่วยข้าโดยเร็วที่สุด”
แม่นมสวีไม่รู้จักป้ายหยกของฉีเฟยอวิ๋น และยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง
แต่ฮูหยินชรารู้จักและถาม:“เจ้าเป็นอะไรกับองค์จักรพรรดิ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองด้วยรอยยิ้ม:“ฮูหยินใหญ่ ท่านรู้ นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงพระราชทานให้ข้า แม่นมสวี ท่านรับไว้แล้วรีบไปรีบกลับ อย่ามั่วชักช้า เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเพิ่มเข้ามา”
แม่นมสวีคุกเข่าลงในทันที ติดตามเจ้านายมาหลายปี นี่เป็นของของฝ่าบาท จึงจำเป็นต้องคุกเข่าลง
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ลุกขึ้นเถิด ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ที่นี่ ท่านรับไว้แล้วรีบไปที่จวนอ๋องเย่ เคาะประตูก่อนแล้วบอกว่าเป็นคนของจวนแม่ทัพ หลังจากที่ได้พบพ่อบ้าน อาอวี่ หรือคุณชายทัง นำคำพูดของข้าไปบอกกับพวกเขา และนำป้ายหยกนี้มอบให้พวกเขา จากนั้นพวกเขาจะมาที่นี่อย่างแน่นอน จำไว้ว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก”
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
แม่นมสวีเหลือบไปมองเจ้านาย จากนั้นก็ลุกขึ้นมาหยิบป้ายหยกและรีบออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งนั่งลง นางมองไปที่ฮูหยินชราและถามว่า:“ท่านเป็นคนของกั๋วกงคนไหนหรือ?”
“ตระกูลเฉิน”
เมื่อฮูหยินชรากล่าวเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มค้นหาความทรงจำของนาง แต่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมไม่มีเฉินกั๋วกงคนนี้อยู่เลย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จริง ๆ ว่าเป็นใคร แต่นางก็ไม่ได้ถามอะไรมาก จึงพูดถึงเรื่องอื่น
“เหตุใดท่านถึงมาที่นี่?ในวัยเช่นนี้ บุตรของท่านล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จัก ดังนั้นนางจึงชวนคุย
ฮูหยินชรามองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกประหลาดใจ:“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว”
“เจ้าเป็นคนในเมืองหลวง”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“……”
ฮูหยินชราเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน และกล่าวว่า:“ดูเหมือนว่าเราจะห่างหายกันนานเกินไป”
“……ข้าจะพูดอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าข้าจะเกิดในเมืองหลวง แต่เมื่อข้าแต่งงานแล้วก็ถูกสามีเฆี่ยนตี เขาเฆี่ยนตีข้าจนหมดสติ หลังจากที่ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าก็จำอะไรไม่ได้เลย มีบางคราวที่พอจะจำได้บ้าง และมีบางคราวที่จำไม่ได้”
“ช่างน่าแปลกเสียจริง”
ฮูหยินชรากล่าวว่า:“นายท่านของบ้านข้าสกุลเฉิน ข้าเป็นภรรยาของเขา หลังจากที่แต่งงานกับเขาแล้ว ข้าไม่สามารถมีบุตรได้ แม่สามีไม่พอใจ จึงให้ลูกพี่ลูกน้องของนายท่านเข้ามา เป็นภรรยารอง เมื่อภรรยารองเข้ามาแล้วก็ให้กำเนิดบุตรหลายคน แต่ก็เคารพข้ามาก ครอบครัวมีความรักใคร่ปรองดองเสมอมา
เมื่อสามปีก่อนนายท่านของบ้านข้าป่วยหนักและลาโลกไป ครอบครัวของเราถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ภรรยารองต้องการกลับไปค้าขายที่บ้านเกิด ข้าแก่แล้วและครอบครัวไม่สนใจมานานแล้ว และเด็กบางคนต้องการกลับไปค้าขายที่บ้านเกิด และบางคนก็ต้องการเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนัก
ข้าโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของนายท่าน ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจพวกเขา
ครอบครัวของเราจึงออกจากไปจากเมืองหลวงและกลับไปที่บ้านเกิด
แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นอัมพาตในทันทีที่ไป!”