องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 323 จะฟื้นหรือจะตาย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 323 จะฟื้นหรือจะตาย
จวินเซียวเซียวเดินไปยังเบื้องหน้าขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ แล้วยืนอยู่ตรงนั้นรอให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พระราชทานอนุญาตให้นางนั่งลง นางถึงได้นั่งลง
“เสด็จแม่ให้หม่อมฉันมาดูเพคะ”
จวินเซียวเซียวนั่งลงแล้วกราบทูล นางรู้ถึงจุดประสงค์ที่นางมาก็เพื่อมาเป็นพยาน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามว่า: “ร่างกายของเจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท ดีขึ้นแล้วเพคะ!”
จวินเซียวเซียวไม่ได้พบองค์จักรพรรดิอวี้ตี้มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เหตุผลที่มาในวันนี้เป็นพระประสงค์ของพระพันปีซึ่งนางเข้าใจดี
นางไม่ไขว่คว้าสิ่งใด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา
ช่วงนี้นางสวมชุดเจ้าจอมสีดอกท้อพร้อมทั้งปักปิ่นสีชาดประดับไข่มุกสีขาวบนศีรษะของนาง นางทรงดูแลรักษาร่างกายได้ดี ใบหน้าของนางราวดอกท้อพร้อมทั้งแต่งกายตามแต่ใจหมายราวกับดอกชบาซึ่งโผล่พ้นน้ำ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงมองตั้งแต่หัวจรดเท้าตั้งแต่นางเข้ามาแล้ว
อย่างไรก็เป็นผู้หญิงของเขาเอง และในบางครั้งพระองค์ก็คิดอะไรบางอย่างอยู่
โดยเฉพาะเรื่องที่ฮองเฮาทรงไม่อยู่แล้ว
แม้ว่าพระองค์จะทรงคิดถึงฮองเฮาแต่ก็มีช่วงเวลาที่ทรงฟุ้งซ่าน
“พระชายาเย่สืบเรื่องราวกระจ่างชัดแล้วหรือไม่? อ๋องเย่ส่งคนเข้าวังมากราบทูลว่าเป็นภรรยาม่ายของกั๋วกงอาวุโสตระกูลเฉินที่ถูกรังแก มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปยังฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า: “มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ และหม่อมฉันก็ได้ตรวจสอบแล้ว หม่อมฉันจะเขียนออกมาแล้วถวายให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรทันทีเพคะ”
“ไปเถอะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้สั่งการไป สวีกงกงก็รีบถวายขึ้นทันที มีคนจัดโต๊ะไว้เรียบร้อยจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เขียนการสืบคดีที่ผ่านมา
“ฝ่าบาท มีพยานอยู่ที่นี่ นางเป็นแม่นมของฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกง สามารถเบิกตัวนางเข้ามาเพื่อสอบถามได้พะย่ะค่ะ” หนานกงเย่กล่าว
จักรพรรดิอวี้พยักหน้า: “เบิกตัว”
แม่นมสวีเข้าประตูไปแล้วรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วแล้วก้มศีรษะคำนับ เริ่มกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น สีพระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ยิ่งอยู่ยิ่งดูไม่ได้ จากนั้นก็จับศีรษะมังกรบนบัลลังก์มังกรแน่น
“ช่างกล้าหาญชาญชัยซะจริง โจวฉางเหวินคงเบื่อหน่ายกับชีวิตแล้ว ในเมื่อเสี่ยวกั๋วจิ้วได้เห็นเรื่องนี้ด้วยแล้ว เรียกเขาเข้าวังมาเฝ้า”
สวีกงกงกำลังยุ่งอยู่กับการเรียกตัวมาเข้าเฝ้า
รอจนกระทั่งฉีเฟยอวิ๋นเขียนเรื่องราวที่ผ่านมาถวายให้กับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ หวังฮวายอันก็ได้เข้าวังมาแล้ว
คิดว่าเขาก็ไม่เต็มใจ ขณะที่เข้าประตูมาเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความโมโหแล้วเข้าไปกราบทูล
หลังจากผ่านการสอบสวนอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วจึงรับสั่งให้กุมขังโจวฉางเหวินและคนอื่นๆเข้าคุกหลวงและมอบหมายเรื่องของตระกูลเฉินให้หนานกงเย่จัดการ รอการสอบสวนกระจ่างแล้วก็ให้ประหารชีวิต
“เรื่องนี้สำหรับในวันนี้พอแค่นี้ ในเมื่อแม่นมสวีบอกว่าการตายของกั๋วกงอาวุโสนั้นถูกปรักปรำ ก็รอให้ฮูหยินกั๋วกงฟื้นขึ้นมาแล้วค่อยพูดคุยเรื่องนี้กัน
ท่านทั้งหลายออกไปก่อนเถอะ
ข้าก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ให้พระสนมเอกอยู่ต่อ”
“เพคะ”
พระมเหสีหวาทรงลุกขึ้นแล้วทอดพระเนตรไปยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “ฝ่าบาท คนของตระกูลเฉินรังแกกันเกินไปแล้ว ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาต้องลงโทษสถานหนักนะเพคะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลูบพระเศียรของพระองค์: “ข้ารู้แล้ว”
พระมเหสีหวาถึงได้ทรงหันหลังเสด็จออกไป ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่นๆก็ถอยหลังออกไป ออกจากประตูไปฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นพระมเหสีหวาทรงรออยู่ตรงนั้น เมื่อแม่นมสวีออกมาพระนางก็พาแม่นมสวีไป ตลอดทางนั้นยังคุยกับแม่นมสวีอย่างสนิทสนมเสมือนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพระมเหสีหวากับหญิงชราเป็นเช่นไรกันแน่
เดิมทีนางต้องการถามหนานกงเย่แต่หนานกงเย่ไม่ยอมบอก นางก็ไม่ยอมให้โอกาสนี้กับหนานกงเย่ อาศัยช่วงจังหวะที่แม่ทัพฉียังไปได้ไม่ไกลจึงเดินไปหาแม่ทัพฉี
หนานกงเย่กำลังคุยกับราชครูจวิน คนข้างกายก็จากไปราวกับลมพัดแรง เขารู้สึกว่าผิดปกติจึงได้ตามไปทว่าคนผู้นั้นได้ติดหนึบไปซะแล้ว เขายังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก?
เหลือบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นกับแม่ทัพฉี เขาจึงต้องยอมรับชะตากรรมรอกลับไปเผชิญกับปัญหาใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นถามแม่ทัพฉีว่า: “ท่านพ่อ พระมเหสีหวากับฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกงคุ้นเคยกันมากเลยหรือ?”
“ก็ต้องคุ้นเคยกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หลายปีก่อนฮูหยินเฉินกั๋วกงได้เคยช่วยชีวิตพระมเหสีหว่า ขณะที่พระมเหสีหวาทรงประสูติพระโอรสเป็นนางที่ได้ให้การคุ้มครองอ๋องตวน ตอนนั้นในวังมีคนทำร้ายพระมเหสีหวาโดยกล่าวหาว่าพระมเหสีหวามีความสัมพันธ์ส่วนพระองค์กับองครักษ์ พระโอรสนั้นมิใช่ของฝ่าบาท
ในตอนนั้นฝ่าบาทและพระพันปีไม่ได้ทรงประทับอยู่ในวัง มีนางสนมหลายพระนางต้องการร่วมมือกันกำจัดพระมเหสีหวา ในช่วงเวลานั้นพระมเหสีหวาทรงอยู่ในอันตราย ข้าและคนอื่นๆไม่ได้ข่าว โชคดีที่ฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกงมีคนอยู่ในวัง คนผู้นั้นก็คือแม่นมสวี แม่นมสวีวิ่งหนีออกไปทั้งคืนเพื่อไปหาฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกง ฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกงในขณะนั้นอยู่ในวัยหกสิบเศษและได้นำกำลังคนบุกเข้าไปในวังช่วยพระมเหสีหวาแม่ลูกเอาไว้
ว่ากันว่าด้วยเหตุนี้ถึงได้รับบาดเจ็บ นางปกป้องคุ้มครองพระมเหสีหวาแต่ว่าคนของนางก็ตายไปไม่น้อย
นางไม่มีบุตรและได้ยินมาว่าลูกชายผู้หนึ่งที่รับเลี้ยงไว้ได้เสียชีวิตไปแล้ว
มิเช่นนั้นนางก็ใช่ว่าจะไม่มีที่พึ่งพิง
ในสายพระเนตรของพระมเหสีหวา ฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกงก็เป็นเสมือนมารดาอาวุโสของพระนาง”
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งตระหนักว่าเรื่องราวเป็นมาเช่นนี้เอง
แต่ว่านางก็ไม่เข้าใจ: “ท่านพ่อ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดนางถึงไม่ไปหาพระมเหสีหวาหล่ะ?”
แม่ทัพฉีกล่าวว่า: “เจ้าหนูนี่ เหตุใดถึงโง่ไปซะแล้วหล่ะ แม้แต่รองเสนาบดีผู้น้อยยังไม่ให้นางเข้าพบแล้วต้องการเข้าเฝ้าพระมเหสีหวา จะเป็นไปได้เช่นไร?”
“ออ!”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ตระหนักขึ้นมาในที่นี้ว่า ในสถานที่แห่งนี้หากว่าไม่มีบรรดาศักดิ์ก็ไม่มีสิ่งใดเลยและตัวตนนั้นกจำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์
ฉีเฟยอวิ๋นคิดที่จะออกจากวังพร้อมกับแม่ทัพฉีและคนอื่นๆไปก่อน อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็เกือบจะคลี่คลายลงแล้ว
แต่ครึ่งทางนางก็ถูกหนานกงเย่จูงตัวไปซะแล้ว
“ท่านพ่อตา ข้าจะไปที่ศาลบรรพชน เชิญท่านพ่อตาทีหลัง”
ฉีเฟยอวิ๋นจึงถูกจูงตัวไปเช่นนี้ แม่ทัพฉีคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้หันหลังกลับไปหาฉีกั๋วกง
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงยังด้านนอกของศาลบรรพชน หนานกงเย่จูงนางไปยังหน้าประตู ขันทีผลักประตูออกแล้วทั้งสองคนก็เข้าประตูไปด้วยกัน ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าด้านในไม่มีผู้ใดอยู่นางจึงไม่ได้คุกเข่าลง นางเพียงแค่ยืนอยู่ด้านในเท่านั้น
หนานกงเย่จูงนางเข้าไปคุกเข่า
“วันนี้ข้าพาพระชายามาอธิษฐานขอพรที่นี่ ขอให้อวิ๋นอวิ๋นแม่ลูกปลอดภัย”
หนานกงเย่ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกัน คุกเข่าอยู่ที่นั่นราวกับไหว้บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่านางคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแล้วนางจะไม่ทำสิ่งใดเลยก็ไม่ดีนัก
นางจึงได้ทำตามลักษณะท่าทางของหนานกงเย่: “ข้าพระชายามาที่นี่เพื่ออธิษฐานขอให้ราษฎรเมืองต้าเหลียงร่มเย็นเป็นสุข ฝ่าบาททรงมีพระชนม์ชีพยืนนานเป็นร้อยปี ท่านพ่อมีชีวิตยืนยาวไม่แก่เฒ่า
ไม่กล้าหวังให้ท่านอ๋องได้ตามใจหมายทุกเรื่อง หวังเพียงท่านอ๋องปลอดภัยและอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว”
หนานกงเย่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นข้างๆ นางหลับตาพร้อมกับคิ้วอันงดงาม ทว่านางก็ช่างสวยงามยิ่งนัก
หนานกงเย่หันหน้ากลับ: “ขอให้บรรพบุรุษเป็นใจด้วย”
“ขอให้บรรพบุรุษเป็นใจด้วย”
กล่าวจบหนานกงเย่ก็ลุกขึ้นมา ส่วนฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นก็ถูกดึงขึ้นมาแล้ว
หันหลังกลับแล้วถูกนำตัวออกไปจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“เช่นนี้ก็สำเร็จแล้วหรือ?”
หนานกงเย่ยิ้ม: “บรรพบุรุษจะต้องยินดีจนตายแน่ ไม่ ยินดีจนฟื้นคืนชีพ”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าสร้อย เพียงเพราะนางกล่าวเช่นนั้นหรือ?
เช่นนั้นคือบรรพบุรุษยินดีจนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาหรือว่าเขายินดีจนจะตาย?
ตลอดทางที่เดินมาทั้งสองคนดูเหมือนไม่เห็นผู้ใดเลย หนานกงเย่ระมัดระวังปกป้องคุ้มครองฉีเฟยอวิ๋นอยู่ตลอด
ทั้งสองคนออกมาจากในวังอาอวี่ก็รออยู่ตรงด้านนอก หลังจากขึ้นรถม้าแล้วอาอวี่จึงได้กล่าวว่า:“ท่านอ๋อง เมื่อครู่ได้รับรายงานจากม้าเร็วว่ามีตระกูลเฉินนั้นมีคนหนีไปแล้ว”
“ใช่หรือ ข้าจะไปดู ส่งพระชายากลับไป”
“ท่านอ๋องข้าอยากไป” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากกลับไปเพียงผู้เดียวรู้สึกว่าไร้ความหมายและก็เป็นห่วงหนานกงเย่ด้วย
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ตระหนักว่าเวลาที่ชอบใครสักคน เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยก็กลัวว่าเขาจะเกิดเรื่อง
หนานกงเย่ไม่ถือสาจึงได้พยักหน้า
รถม้าของอาอวี่ไล่ตามคนไป แต่ไม่ได้ไปเร็วเนื่องจากกลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะไม่สบาย
แต่ข้างหน้าของพวกเขานั้นมีคนเริ่มไล่ตามไปแล้ว พวกเขาเพียงแค่ออกไปดูเท่านั้น