องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 326 ครั้งแรกที่มาถึงตระกูลเฉิน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 326 ครั้งแรกที่มาถึงตระกูลเฉิน
ฉีเฟยอวิ๋นและคนอื่น ๆ เดินขึ้นไปดูบนเรือน และเห็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งถูกเจ้าอีกาน้อยขวางไว้ แม้ว่าเจ้าอีกาน้อยตัวนี้จะตัวเล็กมาก แต่พลังการโจมตีกลับแข็งแกร่งมาก นางรู้สึกไม่ดี และกำลังจะลงมือโจมตี แต่เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือสิ่งใดอย่างชัดเจน จึงได้ตะโกนออกไป : “อย่าทำร้ายนาง”
เจ้าอีกาน้อยจึงได้เปลี่ยนทิศทาง และโผบินขึ้นไปเกาะบนหลังคา
“เจ้าจิ้งจอกน้อย!”
จิ้งจอกหางสั้นไม่ส่งเสียงใด ๆ ในปากของนางคาบถุงใบหนึ่ง ซึ่งถุงใบนั้นไม่ได้เล็กมากนัก แต่ดูแล้วค่อนข้างหนักเอาเรื่อง นางไม่อยากสู้กับเจ้าอีกาน้อย นางพุ่งเข้ามาหาฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงข้างเท้าของฉีเฟยอวิ๋น ก็กระโดดขึ้นไปหานาง
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบถุงใบนั้น เจ้าจิ้งจอกน้อยได้ปีนป่ายขึ้นไปบนคอของนาง และนอนอยู่ตรงนั้น เจ้าอีกาน้อยบินกลับมาไม่มีที่เกาะ นางจึงเกาะอยู่บนตัวของเจ้าจิ้งจอกน้อย ผลสุดท้ายเจ้าสองตัวนี้จึงทะเลาะเบาะแว้งกัน
ฉีเฟยอวิ๋นนำตัวเจ้าจิ้งจอกน้อยลงมากอดอยู่ในอ้อมแขน : “เจ้ามาได้อย่างไร? ทั้งยังรู้จักนำสมุนไพรแก้พิษที่ดีเพียงนี้มาให้ข้า ไปได้ยินอาอวี่บอกสิ่งใดมาใช่หรือไม่?”
เจ้าจิ้งจอกน้อยส่งเสียงขานรับ อาวู๊ อาวู๊ ออกมา ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “ขอบใจ!”
นางไม่รู้ว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยกล่าวอะไร รู้แค่ว่านางมาเพื่อฉีเฟยอวิ๋น
เจ้าจิ้งจอกน้อยเหนื่อยมาก จึงหมุนตัวและกระโดดออกจากตัวของฉีเฟยอวิ๋น วิ่งเข้าไปในห้อง การเคลื่อนไหวนางว่องไวมาก ไม่นานก็มาถึงภายในห้อง หลังจากเข้ามาแล้วก็เห็นหนานกงเย่ จึงได้กระโดดขึ้นไปและแทรกตัวอยู่ในผ้าห่มข้างกายของหนานกงเย่ กรงเล็บคู่นั้นได้ยื่นเข้าไปใต้ผ้าห่ม ขดตัวอยู่ข้างกายของหนานกงเย่
ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็หยิบยาลูกกลอนในถุงนั้นออกมา ภายในเป็นยาลูกกลอนที่มีฤทธิ์ทำให้เลือดเข้มข้นที่นางต้องเก็บไว้ทุกวันเผื่อเอาไว้ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากสู้เลือดของนางไม่ได้ แต่การกำจัดพิษกลับมีประสิทธิภาพมากทีเดียว ในนี้ยังมีเลือดของไป๋ซู่ซู่อีกด้วย
เจ้าจิ้งจอกน้อยคาบมาให้ นางซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
นางหยิบยาลูกกลอนให้คนละสองเม็ดพลางกล่าวว่า : “กินก่อนนอน และหลังตื่นนอน คู่กับน้ำ จะไม่เป็นไร ส่วนสมุนไพรเหล่านั้นก็ไม่ต้องกินแล้ว ประเดี๋ยวเตรียมอาหารและกินไปก่อนนะ อย่าอิ่มเกินไปล่ะ ฝากเตรียมให้ข้า เจ้าจิ้งจอกน้อย และเจ้าอีกาน้อยด้วย เจ้าจิ้งจอกน้อยและเจ้าอีกาน้อยกินเนื้อนะ สิบชั่ง และเป็นเนื้อสดด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นชี้แจงอย่างชัดเจน และหันกลับไปมองหนานกงเย่ เจ้าอีกาน้อยเองก็บินตามนางเข้าไป
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นหนานกงเย่ ก็เดินเข้าไปบีบปากของเขาและป้อนยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้เขา จากนั้นก็หยิบน้ำกรอกตามเข้าไป
หลังจากกินยาแล้วหนานกงเย่ก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว จากนั้นก็ลืมตามองฉีเฟยอวิ๋น เป็นอย่างนั้นเนิ่นนานก่อนจะกล่าวว่า : “ข้าตื่นแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออก ถึงแม้นางจะรู้ว่าหนานกงเย่ไม่เป็นอะไรแล้ว แต่เมื่อเขาตื่นนางก็อดตื่นเต้นมากไม่ได้
“ตื่นแล้วเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดน้ำตา ร้อนใจจะแย่ให้ตายสิ!
นางเป็นหมอมานานหลายปี นางเห็นคนตายมานักต่อนัก แต่ไม่ใช่คนของนางเอง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจึงไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนถึงเพียงนั้น
กระทั่งความโชคร้ายมาถึงตัวนางเอง นางจึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง
หนานกงเย่ยื่นมือออกไปเช็ดดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังจะร้องไห้ : “ร้องไห้ทำไม ข้าไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือ?”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ไม่ต้องฝืนขนาดนั้นก็ได้ ท่านรู้ว่าร่างกายของท่านโดนพิษ เส้นเอ็นได้รับความเสียหาย ท่านก็ยังออกไปตาม?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้โกรธถึงเพียงนั้น แต่นางเป็นห่วงต่างหาก!
หนานกงเย่เหม่อลอยเล็กน้อย และรีบกล่าวออกไป : “ข้าสู้รบมาตั้งแต่วัยเยาว์นับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งก็มักจะเป็นเช่นนี้ แต่ในตอนนั้นด้านหลังของข้าคือบ้านเมือง ด้านหลังของข้าคือองค์จักรพรรดิ และด้านหลังของข้าก็คือฮองเฮา ข้าจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด แพ้คราหนึ่งก็ต้องพ่ายแพ้ไปอีกหลายครา
ข้ายอมตายอยู่ในสนามรบ ดีกว่ายอมทนเห็นศัตรูหนีรอดไปได้กับตาตนเอง หากข้าต้องตาย ข้าก็จะต้องทำลายโอกาสรอดของพวกเขา ข้าจะไม่มีวันยอมปล่อยพวกเขาออกไปเสพสุขได้โดยเด็ดขาด
ฆ่าพวกเขา หยุดพวกเขา ก็จะต้องทำลายล้างคนชั่วให้สิ้นซาก ข้าจึงจะทำได้แค่ต้องสู้เพื่อความผาสุกในภายภาคหน้า ต้องปกป้องประชาชนใต้หล้าที่อยู่ด้านหลังของข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองไปทางหนานกงเย่ โดยที่นางไม่กล่าวสิ่งใด
เดิมทีนางก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกกับท่าทางของเขาในตอนนี้
นางแค่รู้สึกว่าแค่ไม่ตายก็ดีมากแล้ว
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะคิดถึงพวกเจ้าสองแม่ลูกให้มากขึ้น” หนานกงเย่กลัวผลที่ตามมา ในตอนนั้นเขาพุ่งออกไป แล้วยกนางให้ปู้เหวินและคนอื่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ปู้เหวินและคนอื่น ๆ ก็ตกที่นั่งลำบากยากจะปกป้องตนเองได้ เขามีสิทธิ์อะไรไปเชื่อว่าปู้เหวินและคนอื่น
หากนางตายไป เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
เมื่อหนานกงเย่ตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ จิตใจของเขาก็สั่นไหวฉับพลัน
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอก : “ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ได้ หม่อมฉันก็ดีใจ หวังว่าท่านอ๋องจะจำได้เมื่อถึงครานั้น”
“อวิ๋นอวิ๋นไม่เชื่อใจข้ารึ?”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อใจเพคะ มนุษย์เราไม่คิดมากมายถึงเพียงนั้นโดยสัญชาตญาณ ความเคยชินคือสิ่งสำคัญกว่า” ฉีเฟยอวิ๋นประคองหนานกงเย่ลุกขึ้น คนที่มาส่งอาหารก็มาถึงพอดี
เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตู ฉีเฟยอวิ๋นจึงเรียกเข้ามา
นั่นคือเถ้าแก่
ซึ่งเถ้าแก่ยังพาหญิงสาวมาอีกสองคนด้วย คนหนึ่งน่าจะประมาณสี่สิบห้าสิบปี อีกคนก็ยี่สิบกว่าปี
ทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่สง่างามและน่ารักสมวัย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดา
คนคนหนึ่งยกถาดอาหารชุดหนึ่งเดินเข้ามาและวางลงบนโต๊ะ ส่วนเถ้าแก่ก็ยกเนื้อวัวสดจำนวนสิบชั่งวางลงบนชั้นที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งเนื้อนั้นยังคงมีเลือดไหลซึมออกมา
“นี่คือเนื้อสดที่ข้าซื้อมา ส่วนถัดไปก็คืออาหาร”
หญิงสาวผู้นั้นวางถาดอาหารเสร็จก็เดินออกไป ส่วนเถ้าแก่อยู่รายงานต่อ เมื่อเห็นหนานกงเย่ก็ถอยหลังสองก้าวและคุกเข่าลง : “กระหม่อมน้อมทักทายนายท่านพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ลงจากเตียง แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าจะเกิดปัญหา จึงประคองเขา เขาจึงกุมมือของฉีเฟยอวิ๋นและเดินลงมา
หนานกงเย่มองไปทางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพลางกล่าวว่า : “ไม่พบกันนานเลยนะ พ่อบ้านอาวุโสสบายดีหรือไม่?”
“สบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยนายท่านที่นึกถึง”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าน่าจะเป็นทาสรับใช้ในจวนกระมัง
“ลุกขึ้นเถอะ นี่คือพระชายาของข้า ฉีเฟยอวิ๋น”
หนานกงเย่กล่าวเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าจะต้องกล่าวเช่นไร จึงได้แต่แนะนำตัวว่าเป็นพระชายาเท่านั้น
เถ้าแก่ลุกขึ้นและมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็คุกเข่าลงอีกครั้ง : “ข้าน้อยน้อมทักทายพระชายาพ่ะย่ะค่ะ ถวายบังคมพระชายา”
“ลุกขึ้นเถอะ คนกันเองไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก ข้าไม่ชอบให้ใครมาคุกเข่าให้ข้า” ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือของหนานกงเย่ และเดินไปประคองเถ้าแก่ให้ลุกขึ้น
เถ้าแก่รีบกุลีกุจอลุกขึ้น ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว ก้มหน้าลง ไม่กล้าประมาทอีก
“พระชายาได้สูญเสียงความทรงจำ นางยอมรับพิธีการใหม่ ๆ เจ้าแค่ต้องรักษามารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้านางก็พอแล้ว” หนานกงเย่อธิบายออกไป เถ้าแก่น้อมรับและถอยหลังไปด้านข้าง
หนานกงเย่มองไปทางเจ้าสองตัวที่กำลังจ้องเขม็งมาที่เนื้อ
“กินเถอะ อย่าแย่งกัน ไม่พอยังมีเพิ่ม”
จิ้งจอกหางสั้นและเจ้าอีกาน้อยก็พากันพุ่งตัวมากินเนื้อทันที ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่นั่งลงกินข้า เถ้าแก่จึงได้ขอตัวลา
หลังกินเสร็จฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเล่นภายลานกว้างเป็นเพื่อนหนานกงเย่ เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจจะขี่ม้าไปลั่วสุ่ย คาดไม่ถึงว่าหนานกงเย่กลับวางแผนการเดินทางไว้อีกรูปแบบหนึ่ง
เขาให้ปู้เหวินและคนอื่น ๆ เดินเท้า เขาพาฉีเฟยอวิ๋นไปลั่วสุ่ย
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นเรือ แต่เพิ่งนึกได้ ไปแบบนี้ไม่ได้ช้าไปกว่าม้าเท่าไหร่
แต่ผลลัพธ์ไม่ถึงสองวันหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นก็มาถึงลั่วสุ่ย
หลังจากขึ้นฝั่งฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามหนานกงเย่ไป พาเจ้าจิ้งจอกน้อยและเจ้าอีกาน้อยไปด้วย ตลอดทางจนกระทั่งถึงตระกูลเฉิน ซึ่งด้านนอกตระกูลเฉินเต็มไปด้วยทหารที่เฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนา ล้อมอยู่อย่างนั้นมาสองสามวันแล้ว
หนานกงเย่ปรากฏตัวก็มีคนจำหนานกงเย่ได้ คนผู้นั้นรุดหน้าเข้ามาคุกเข่าแสดงความเคารพ : “กระหม่อมถวายบังคมองค์รัชทายาทอ๋องเย่พ่ะย่ะค่ะ”
คนอื่นก็ล้วนพากันคุกเข่าลง
ถวายบังคมหนานกงเย่
หนานกงเย่ไม่สนใจ สาวเท้าก้าวเข้าไปในที่พักของตระกูลเฉิน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางตัวอักษรที่เขียนว่าจวนเฉินเหนือศีรษะ และเดินตามเข้าไป
คนในลานกว้างล้วนเป็นคนของหนานกงเย่ ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวก็คุกเข่าลง ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นเคยชินแล้ว
กระทั่งเห็นผู้ชายและผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าหรือเด็กต่างโดนมัดติดอยู่บนเสาภายในลานกว้าง ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดครู่หนึ่ง หนานกงเย่ไม่ใช่คนที่ใจอ่อน เกรงว่าคนเหล่านี้คงไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่