องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 327 น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือให้จมได้
- Home
- องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ
- บทที่ 327 น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือให้จมได้
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 327 น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือให้จมได้
ทุกอย่างเป็นไปดังที่ฉีเฟยอวิ๋นคาดการณ์ หนานกงเย่ไม่ใช่คนใจอ่อน เข้าไปวันแรกก็สังหารไปแล้วสิบกว่าชีวิต
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสืบคดีแล้ว เนื่องจากได้ตัดสินโทษของตระกูลเฉินเป็นที่เรียบร้อย การมาเยือนของหนานกงเย่จึงมีเพียงคำเดียว ฆ่า!
เขาไม่ไต่ถามคนตระกูลเฉินก็สั่งการให้ปลิดชีพทันที
ผู้ที่มีอายุมากที่สุดก็เห็นจะเป็นฮูหยินรอง โดยมีอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งอายุน้อยกว่าฮูหยินใหญ่เฉินกั๋วกงเพียงไม่กี่ปี
ครั้นสังหารฮูหยินรอง ฉีเฟยอวิ๋นก็ยืนมองจากที่ไม่ไกลออกไปมากนัก ฮูหยินรองตายลำดับสุดท้ายจากคนนับสิบ
หนานกงเย่ไล่เข่นฆ่าจากตรงกลาง หนึ่งในนั้นมีบุตรชายคนโตของฮูหยินรองอยู่ด้วย ตอนที่สังหารคนผู้นี้ คนด้านล่างส่งเสียงร้องโหยหวน เด็กอายุน้อยเห็นภาพนี้แล้วเกือบจะวิปลาส สถานที่จึงอเนจอนาถผิดปกติ
ฮูหยินรองเห็นบุตรชายล้มตายต่อหน้าต่อตาไปทีละคน นางก็ตกใจจนเบิกตาโพลง ชั่วพริบตาเดียวก็แก่ขึ้นหลายสิบปี ยายแก่แร้งทึ้งคนหนึ่ง ไม่รู้เป็นเพราะถูกโจมตีจนยอมรับไม่ได้ หรือว่ายอมรับความจริงได้แล้ว
นางเอาแต่จ้องมองเลือดสดตรงหน้าอย่างไม่ไหวติง
ฉีเฟยอวิ๋นยืนมองสักพักเดียวก็เดินจากไป เธอเป็นหมอ ทนดูการเข่นฆ่าไม่ได้
พอกลับไปถึง ฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งเหม่อลอย เธอไม่รู้ว่าตัวเองแต่งงานกับคนประเภทใด
สามวันมานี้ หนานกงเย่ทำตัวเหลวแหลก เขาสังหารคนนับไม่ถ้วน เลือดเย็นไร้เมตตา เอาชีวิตขุนนางกบฏอย่างไม่ใยดี
และสามวันนี้ ฉีเฟยอวิ๋นพักอยู่ในจวนตระกูลเฉินตลอด ไม่ยอมไปไหน เธอไม่อยากรับรู้เรื่องราวด้านนอก ไม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก เธอรู้เพียงว่า หลังสามวันผ่านไป คนสกุลเฉินคนสุดท้ายถูกลากตัวออกไป
คนนี้เป็นสตรีอ่อนเยาว์ อายุเพียงสิบกว่าปี นางเป็นหลานสะใภ้เอกตระกูลเฉิน พึ่งแต่งงานเข้ามาไม่ถึงปี ตอนนี้ท้องแก่จวนจะคลอดแล้ว
ตอนที่คนตระกูลเฉินพึ่งโดนลากออกไปสังหาร สตรีผู้นี้ก็กำลังร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ต่อมานางก็ร้องไห้จนกลายเป็นคนโง่ นางเหม่อลอยอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมกินข้าวปลาอาหารเลย
จนถึงเวลาที่นางโดนลากออกมา ฉีเฟยอวิ๋นมองท้องของนางอย่างใจลอย จิ้งจอกหางสั้นวิ่งไปวนมาใต้เท้าฉีเฟยอวิ๋น เหนือศีรษะยังมีอีกาโบยบินอยู่บนฟากฟ้า
ระหว่างที่สตรีผู้นี้ก้าวเท้าเดิน ยังมีโลหิตไหลซึมออกมาทางกางเกง ฉีเฟยอวิ๋นตระหนักถึงลูกของตน หนานกงเย่เอาชีวิตผู้คนมากขนาดนี้ วันหน้าจะทำอย่างไรดี?
ทว่าเธอเข้าใจกว่าใคร สรรพสิ่งทุกอย่างบนโลก ใต้หล้าสำคัญที่สุด
ไม่สังหาร ไฉนจะมีใต้หล้าที่สงบสุข มั่นคงได้?
ยุคสมัยแตกต่างกัน เธอไม่อาจควบคุมได้
เพียงแต่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังครุ่นคิดว่า ในแคว้นต้าเหลียงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ หนานกงเย่ไม่คิดจะนั่งตำแหน่งนั้น ทว่าเขากลับแบกรับสมญานามว่า ปีศาจคร่าชีวิต
เขามีเจตนาอันใดกันแน่ หรือว่าเพื่อแคว้นต้าเหลียง เขาเดินอยู่บนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ เขายินดีกลายเป็นปีศาจคร่าชีวิต เพื่อจะให้แคว้นต้าเหลียงยืนยงนับหมื่นปีหรือ?
เมื่อเลยเที่ยงฉีเฟยอวิ๋นก็พักผ่อนสักพัก เธอได้ยินด้านนอกมีเสียงฝีเท้า เธอลืมตาขึ้นพลันเห็นหนานกงเย่ในชุดดำ เดินถือตะกร้าเข้ามา
ตะกร้าไม่ได้ใหญ่มากนัก ทว่าด้านบนมีผ้าห่มใยไหมสีขาว ด้านในผ้าห่มมีแขนเสื้อสีแดงเผยออกมา ด้านในแขนเสื้อมีมือเล็กอันขาวนวลยื่นออกมา บริเวณข้อมือมีเชือกสีแดงผูกอยู่ บนเชือกสีแดงมีลูกกระพรวนหนึ่งอัน ช่างน่ารักเหลือเกิน
เมื่อกระดุกกระดิก ลูกกระพรวนก็ส่งเสียงดังขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นรีบลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้า เดินไปหาหนานกงเย่ เขามอบตะกร้าให้ฉีเฟยอวิ๋น
“ตอนข้าเดินเล่นด้านนอก เห็นมีเด็กคนหนึ่ง”
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มตะกร้าไว้แล้วเปิดดู เป็นทารกแรกเกิดทีกำลังจ้องตามองมา เพราะเอาผ้าคลุมบนหัวของเขาออก ดวงตาที่ยังไม่ค่อยมองเห็นของเขาจึงมองมายังฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นยืนอึ้งครึ่งค่อนวัน เธอเกือบทำตะกร้าตกพื้นแล้วเชียว
หนานกงเย่ยื่นมือรับไว้ทัน พยุงฉีเฟยอวิ๋นเดินไปด้านข้าง
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงแล้วรีบตรวจสอบร่างกายเด็กทารกทันที เพราะตัวเล็กมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงรุ้สึกชื่นชอบมาก ตัวเล็กกะจิ๋วเยี่ยงนี้ ช่างน่ารักดีแท้
ฉีเฟยอวิ๋นมองปราดหนึ่งจึงรู้ว่าเป็นผู้ชาย
“ท่านอ๋องเพคะ วันหน้าเด็กคนนี้ต้องเข้ารับราชการหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าทารกคนนี้เป็นลูกใคร ก็เพราะรู้ จึงคิดว่าไม่ควรมีเด็กคนนี้
ไม่ว่าใต้หล้าจะมองหนานกงเย่อย่างไร ทว่าฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนไร้น้ำใจไร้คุณธรรม เขาเก็บทารกนี้ไว้ก็เพื่อให้เฉินกั๋วกงมีเลือดเนื้อเชื้อไขสืบทอดวงศ์ตระกูล
อันที่จริง ไม่ว่าจะเก็บทารกคนนี้ไว้ที่ใด แต่ก็เป็นความเมตตาสูงสุดแล้ว
เพราะที่นี่ก็คือเช่นนี้ เมื่อทำผิดฐานประหารเก้าชั่วโคตร ตระกูลนั้นก็ต้องถูกฆ่าล้างบาง
หนานกงเย่เก็บทารกนี้ไว้ เพราะไม่อยากให้ตระกูลเฉินไร้คนสืบทอด
ทว่าหากเด็กเติบใหญ่แล้วถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ เช่นนั้นเขาก็จะเป็นศัตรูฆ่าล้างบางของเด็กทารกคนนี้
หนานกงเย่สังหารคนแล้วให้ความเมตตา เพียงเพื่อคืนคุณธรรมด้านการภักดีให้แก่เฉินกั๋วกง
ทว่าเขาเข่นฆ่าคนมากมาย มีคนเข้าใจเขาผิดเยอะแยะ เขาไม่ใส่ใจจริงหรือ? ยังว่า เขาเตรียมตัวเตรียมใจยอมให้ผู้คนรุมด่า ประณามว่าเป็นปีศาจคร่าชีวิต
ซึ่งหากในบรรดาปวงชนนับล้าน ไม่มีผู้ใดยอมเสียสละแบกรับการถูกประณาม เกรงว่าคงไม่อาจประคับประคองแว่นแคว้นต่อไปได้
ได้เจอหน้าทารกคนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกชื่นใจมากโขแล้ว
หนานกงเย่จะเป็นเยี่ยงใด นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ไม่จำเป็นต้องไปตรึกตรองมากมาย
หนานกงเย่จับมือทารกไว้ “ฮูหยินใหญ่อาจจะชอบก็ได้ เด็กต้องมีที่อยู่ เกรงว่าพระราชวังคงไม่ได้ ข้าคิดจะมอบให้ฮูหยินใหญ่ดูแล แต่ต้องให้ผ่านไปสักพักก่อน มอบเวลานี้จะทำให้ผู้คนสงสัยเอา”
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ ยังมีคนจับตามองตระกูลเฉินที่นี่อีกหรือเพคะ?”
“อืม ข้าสั่งให้เจ้าอีกากินศพให้หมดเกลี้ยงแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่ามีใครตายบ้าง ไม่รู้ว่าเด็กกับสตรีตั้งครรภ์ตายแล้วกี่คน และไม่มีใครรู้ว่าในท้องสตรีตั้งครรภ์ยังมีอยู่หรือไม่”
หนานกงเย่พูดเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงเงยหน้ามอง “ท่านอ๋อง ท่านใช้เนื้อคนป้อนอาหารให้อีกาอีกแล้ว ท่านไม่กลัวว่าพวกมันจะกินคนเป็นๆหรือเพคะ?”
“พวกมันกินได้เฉพาะคนที่สิ้นลมหายใจเท่านั้น หากพวกมันกล้ากินคนมีชีวิต ข้าจะทำลายให้สิ้นทั้งเผ่าพันธุ์” หนานกงเย่ลั่นวาจาออกมา อีกาน้อยก็กระพือปีกพึ่บพั่บออกไป มันบินออกไปแจ้งข่าวสารให้พวกพ้องด้วยความตื่นตระหนก
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองปราดหนึ่ง “ท่านอ๋อง ท่านติดต่อกับเจ้าอีกาได้อย่างไร พวกท่านสื่อสารกันได้หรือเพคะ?”
“ข้าสื่อสารกับมันไม่ได้ ทว่าข้ามีวิธีเรียกพวกมันมาใช้งาน ข้าแค่เรียกพวกมันมาก็พอ จะได้ไม่ยุ่งยาก” หนานกงเย่นำนกหวีดขนาดเท่าตะเกียบให้ฉีเฟยอวิ๋นดู
ฉีเฟยอวิ๋นรับมาดูสักพัก เห็นว่าทำมาจากไม้ไผ่นี่เอง
หนานกงเย่กล่าว “ข้าสั่งให้คนทำขึ้นมา ใช้เรียกเจ้าอีกาโดยเฉพาะ”
ฉีเฟยอวิ๋นยังพูดอะไรได้อีก คืนนกหวีดให้เขาแล้วโพล่งออกมาว่า “ท่านอ๋อง ชาติก่อนท่านต้องเป็นพญามารแน่”
ฉีเฟยอวิ๋นมองเด็กทารก ไม่อยากคิดเรื่องพวกนี้อีก ไม่ได้เผาทำลายที่นี่ แต่เป็นการให้อีกากินศพแทนก็ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เพียงแต่เรื่องนองเลือดเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นคิดแล้วก็สยดสยองยิ่ง
“แล้วชาตินี้ข้าไม่ใช่หรือ?” หนานกงเย่แสดงท่าทางย่ามใจ ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองเขาปราดหนึ่ง โกรธเกรี้ยวจนไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ก้มหน้าไม่มองเขาอีก แต่ก็รู้สึกไม่เต็มใจ เลยต่อว่าเขาไปหลายประโยค
“ใช่ ท่านไม่ใช่แล้วใครจะใช่ ด้านนอกหาว่าท่านเป็นพญามารฆ่าคนแล้ว เกรงว่าเมื่อข้าออกนอกบ้าน คงจะมีคนชี้นิ้ววิจารณ์อย่างยับเยิน ท่านอ๋องไม่กลัวคนที่นี่จะก่อกบฏหรือ?
ที่นี่เขาอยู่กันฉันท์พี่น้อง ตรงข้ามมีศาจบรรพชนด้วย ท่านฆ่าคนตระกูลเฉินแล้ว ไม่กลัวมิตรสหายของตระกูลเฉินจะร่วมหัวกันกบฏหรือ?
ต้องรู้ว่า น้ำสามารถพยุงเรือให้ลอยได้ก็สามารถคว่ำเรือให้จมได้”