องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 329 เริ่มก่อเรื่องวุ่นวายแล้ว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 329 เริ่มก่อเรื่องวุ่นวายแล้ว
หหานกงเย่ช่วยพยุงฮูหยินชราเข้าไป ฮูหยินชราหันกลับไปมองฉีเฟยอวิ๋นและยิ้มให้นาง ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองที่ตะกร้าที่อยู่ในอ้อมแขนและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งมันให้กับฮูหยินชราด้วยตนเอง
“ฮูหยินใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ท่านอ๋องเย่เตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับตระกูลเฉิน เขาชื่อคือเฉินเอิน เขาเพิ่งคลอดได้ไม่นาน ท่านอ๋องกล่าวว่าตระกูลเฉินจะไร้ผู้คนไม่ได้ ดังนั้นจึงให้เด็กคนนี้อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินใหญ่”
ฮูหยินชราปล่อยมือแล้วก้มลงมอง นางเปิดผ้าคลุมออกแล้วมองดูเด็กน้อยที่กำลังหลับอยู่ นางลังเลเล็กน้อยและเหลือบมองไปที่หนานกงเย่:“ขอบพระทัยท่านอ๋องเย่ ทรงวางพระทัยได้ ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”
“ข้าจะรอข่าวดีจากฮูหยินใหญ่”
“เพคะ!”
ฮูหยินชรามองไปที่แม่นมสวี:“แม่นม”
“เจ้าค่ะ”
แม่นมสวีรีบเดินมาข้างหน้าและอุ้มตะกร้าไว้ในอ้อมแขนด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หนานกงเย่ส่งฮูหยินชราเข้าไป เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของกั๋วกงอาวุโสตระกูลเฉินที่อยู่ข้างนอกต่างก็คำนับทีละคน หนานกงเย่กล่าวว่า:“ตระกูลเฉินต้องมอบให้กับพวกท่านดูแลแล้ว”
“ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไรมากและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็เดินตรงไปที่รถม้า อาอวี่หันหลังกลับไปและนำม้าจากไป
และเมื่อพวกเขาออกมาได้ไม่ไกลก็เห็นปู้เหวินและคนอีกสามคนรออยู่ที่ริมแม่น้ำ
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่นั่งอยู่ในรถม้าและสั่งว่า:“ตระกูลเฉินต้องการกำลังคน พวกเจ้าอยู่ที่นี่สักสองสามวัน และรอจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แล้วค่อยกลับไปที่เมืองหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ปู้เหวินแลคนอื่น ๆ รีบจากไปอย่างรวดเร็ว อีกาดำส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้า ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เราสามารถใช้ทางน้ำได้แล้ว”
“อืม”
หนานกงเย่ออกไปจากรถม้า และพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไปทางน้ำ จากนั้นอาอวี่และคนอื่น ๆ ก็นำรถม้าที่ไม่มีคนกลับไปที่เมืองหลวง
ไม่นานฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ก็มาถึงเมืองหลวง แต่พวกเขาถูกคนที่นอกประตูเมืองขวางไว้
“ข้าได้รับคำสั่งให้มารอที่นี่ ท่านอ๋องเย่ได้โปรดรอก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้ที่ที่มาขวางไว้เป็นทหารองครักษ์ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“ท่านอ๋อง เกิดอะไรขึ้นหรือไม่เพคะ เหตุใดเมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วจึงไม่ยอมให้เราเข้าไป?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
หนานกงเย่ไม่ได้ร้อนใจ แต่ค่อนข้างสงบและผ่อนคลาย
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขาสบายใจเช่นนั้น นางจึงไม่ถามอีก
หลังจากรออยู่ครึ่งชั่วยาม ก็มีคนออกมาจากเมืองหลวง
ปรากฏว่าคนที่มาเป็นอ๋องตวนและจวินฉูฉู่
เมื่อเห็นอ๋องตวนและจวินฉูฉู่ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกประหลาดใจมาก ในตอนนี้จวินฉูฉู่ฟื้นคืนชีพอีกแล้วหรือ?
วันนี้จวินฉูฉู่สวมชุดสีม่วงฉูดฉาด แขนเสื้อกว้าง และชายกระโปรงบาน ชุดนี้ต้องมีราคาอย่างน้อยห้าพันตำลึง
ฉีเฟยอวิ๋นจำชุดนี้ได้ ซึ่งเป็นของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า นี่เป็นชุดในร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของนาง
ไม่ใช่ว่าจวินฉูฉู่สวมแล้วไม่สวยงาม แต่จวินฉูฉู่สวมชุดจากร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของนางได้อย่างไร
อ๋องตวนสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มกับผ้าคลุมไหล่สีขาว ที่หน้าอกปักลายเมฆมงคล และนี่ก็ยังเป็นชุดจากร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของนางเช่นกัน
เสื้อผ้าสองชุดนี้รวมกันเป็นเงินหนึ่งหมื่นตำลึง ถือว่าเป็นเงินไม่น้อยเลย
“กลับมาแล้วหรือ?” อ๋องตวนถาม
หนานกงเย่เอามือไพล่หลังและมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็ค่อย ๆ พูด
“ข้ากับอวิ๋นอวิ๋นเพิ่งกลับมาและต้องมารออยู่ที่นี่ หมายความว่าอย่างไร?”
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่มารับพวกเจ้า ข้าเพิ่งจะจัดเตรียมเรื่องที่จวนเสร็จ จึงมาสายนิดหน่อย หากเจ้าไม่พอใจ ข้าก็ขอโทษด้วย” อ๋องตวนบอกว่าจะขอโทษ แต่ก็ยังไม่ได้ขอโทษ ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจและไม่ได้พูดอะไร
หนานกงเย่ไม่เกรงใจ:“เช่นนั้นก็ขอโทษมาเถอะ”
อ๋องตวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แม้แต่จวินฉูฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน เมื่อครู่แววตายังคงสงบนิ่ง แต่ในตอนนี้กลับดูร้อนรน
“ท่านอ๋องเย่ พระองค์ทรงทำเช่นนี้ จะไม่เป็นการจงใจกลั่นแกล้งท่านอ๋องไปหน่อยหรือเพคะ” ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจวินฉูฉู่กับหนานกงเหยี่ยนคืนดีกันแล้ว
และคราวนี้นางก็จะไม่เลอะเลือนอีก นางต้องพยายามทำดีกับหนานกงเหยี่ยนให้มาก ๆ จึงจะสามารถนั่งในตำแหน่งพระชายาตวนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง
“วันนี้พระชายาตวนก็มาด้วยหรือ?” หนานกงเย่ไม่พอใจเล็กน้อย ตั้งแต่ครั้งนั้นที่เห็นท่าทีจองจวินฉูฉู่ที่มีต่ออ๋องตวน เขาก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อจวินฉูฉู่อีกเลย
และนางก็ทำร้ายฉีเฟยอวิ๋นมาหลายครั้งติดต่อกัน
ใบหน้าที่โกรธเคืองของจวินฉูฉู่เปลี่ยนเป็นซีด นางระงับความโกรธไว้ แววตาของนางเปลี่ยนเป็นกล้ำกลืน นางร้องไห้และเช็ดน้ำตา
อ๋องตวนกล่าวในทันทีว่า:“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า เจ้าอย่าทำให้ฉูฉู่ลำบากใจเลย ข้าขอโทษแทนนางด้วยที่ก่อนหน้านี้ฉูฉู่เคยทำให้พวกเจ้าขุ่นเคือง วันนี้พวกเราได้รับคำสั่งให้มารับพวกเจ้า อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ฉูฉู่เองก็เปลี่ยนไปมากแล้ว”
“ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ขอโทษก็ช่างเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นผู้ที่มารับ ต้องให้ข้ารอ ในเมื่อมารับก็ต้องมา หรือว่าแม้แต่เรื่องเช่นนี้พี่รองก็ไม่รู้?”
“……” เมื่อหนานกงเย่ถาม อ๋องตวนก็พูดไม่ออก
หนานกงเย่ฉวยโอกาสในช่วงเวลานี้ จูงมือฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไป
หลังจากที่ทั้งสองจากไปแล้ว จวินฉูฉู่ก็กำมือแน่น ในเมื่อนางตั้งใจที่จะแย่งชิงบัลลังก์ หนานกงเย่ก็ต้องถูกกำจัด แต่นางก็ยังไใ่เข้าใจว่าฉีเฟยอวิ๋นมีดีตรงไหน ถึงทำให้เขาหลงใหลได้เช่นนี้
อ๋องตวนก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หนานกงเย่มีอคติต่อฉูฉู่ และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบาย เขาพาจวินฉูฉู่ขึ้นไปบนรถม้า และนั่งรถม้ากลับเข้าไปในเมืองหลวง
ในทางตรงกันข้าม ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่เดินกลับไป
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“แท้จริงแล้วจวินฉูฉู่มีความสามารถมากแค่ไหนกันแน่ นางทำเรื่องเลวร้ายมามากมาย แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย”
“ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของตระกูลจวิน ท้ายที่สุดเกรงว่านางจะตายด้วยน้ำมือของตระกูลจวิน”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดชะงักและมองไปที่หนานกงเย่:“ท่านอ๋องหมายความว่าท้ายที่สุดแล้วจวินฉูฉู่ก็ต้องตายอย่างนั้นหรือเพคะ?”
“ท้ายที่สุดแล้วมีใครบ้างที่ไม่ตาย”
หนานกงเย่จูงมือฉีเฟยอวิ๋นให้เดินไป ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เห็นได้ชัดว่าทรงรู้ว่าหม่อมฉันหมายถึงอะไร แต่ก็ยังไม่พูด”
“อ๋องตวนมีใจให้นาง นางจึงใช้ใจจับอ๋องตวนไว้เป็นเชลย เรื่องเช่นนี้ยังต้องให้ข้าพูดอีกหรือ?” หนานกงเย่ถาม
“ท่านอ๋องทรงรู้ได้อย่างไรว่าท่านอ๋องตวนมีใจให้นาง?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดเช่นนั้น
หนานกงเย่ไม่พูดอะไร เขาพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่จวน และไม่นานก็มาถึงจวนอ๋องเย่
เมื่อพ่อบ้านเห็นทั้งสองคนาก็รีบเข้ามาต้อนรับในทันที:“ท่านอ๋อง พระชายา”
“ในช่วงที่ข้ากับพระชายาไม่อยู่ มีใครมาที่นี่บ้างหรือไม่?” หนานกงเย่ถาม พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเรื่องหลายวันที่ผ่านมา
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ฝ่าบาททรงมีสั่งให้ประหารตระกูลเฉินที่ก่อกบฏ และให้ท่านอ๋องตวนกำกับดูแลการประหารชีวิต แต่ท่านอ๋องตวนทรงประชวร เรื่องนี้จึงล่าช้าออกไป
ตอนนี้ในเมืองหลวงกำลังพูดถึงเรื่องนี้ และบอกว่าท่านอ๋องตวนซื่อสัตย์จริงใจ
แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือว่าท่านอ๋องตัดหัวทั้งตระกูลเฉินทั้งตระกูลที่ลั่วสุ่ย และยังบอกอีกว่าท่านอ๋องตวนซื่อสัตย์จริงใจ เป็นท่านอ๋องเย่ที่ชี้นำฝ่าบาทให้ท่านอ๋องตวนไปกำกับดูแลการประหารชีวิต เพื่อที่จะทำลายชื่อเสียงของท่านอ๋องตวน” พ่อบ้านรู้สึกอึดอัดใจมาก และตอนนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่าท่านอ๋องเย่เลวจนไม่สามารถให้อภัยได้
“ยังอะไรอีกหรือไม่?” หนานกงเย่สงบนิ่งมาก
พ่อบ้านกล่าวต่อว่า:“ไม่มีอย่างอื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่หลายวันมานี้มู่เหมียนจวิ้นจู่ทรงประทับอยู่ที่จวนตลอด นางบอกว่ามาพบพระชายา นางต้องการให้พระชายาไปตรวจดูอาการให้ฮูหยินใหญ่กั๋วจิ้ว และยังกล่าวว่าหากพระชายายังไม่กลับมา นางก็จะไปจากไป”
“ยังมีอะไรอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปพักก่อน แล้วค่อยเข้าไปในวัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และทั้งสองก็เข้าไปในวังด้วยกัน
สวีกงกงรออยู่ที่หน้าประตูวังแล้ว และเมื่อเห็นทั้งสองคนก็รีบมาต้อนรับในทันที:“บ่าวถวายบังคมท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่พ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด”
หนานกงเย่ไม่ได้พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นถามอย่างเกรงอกเกรงใจว่า:“กงกง ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านมาหรือ?”
“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาฝ่าบาททรงรู้สึกไม่ค่อยดี อยากบรรทม และไม่อยากเสวยอาหาร และมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก เรื่องนี้……ฝ่าบาททรงรอให้ท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่กลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลเล็กน้อย และเหลือบไปที่หนานกงเย่ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก
ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน คนกลุ่มนี้ก็เริ่มก่อเรื่องวุ่นวายแล้ว