องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 336 พบซูมู่หรงอีกครั้ง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 336 พบซูมู่หรงอีกครั้ง
“จวิ้นจู่กล่าวเช่นนี้ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วจริงๆ พวกเราเป็นเพื่อนกัน เรื่องในวันนี้ข้าเพียงแค่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่คนดีจึงได้กล่าวขึ้นไม่กี่คำ
หากจวิ้นจู่คิดว่าเป็นความผิดของข้า ข้าขออภัยด้วย
แต่ฉีเฟยอวิ๋นผู้นี้นางเป็นเช่นไรจวิ้นจู่รู้อยู่แล้ว จวิ้นจู่อย่าได้หลงเชื่อนาง”
“เชื่อหรือไม่นั่นเป็นเรื่องของข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องมากล่าว เจ้าทำในส่วนของเจ้าให้ดีก็พอ” มู่เหมียนกล่าวอย่างเย็นชารู้สึกรังเกียจเฉินอวิ๋นเอ๋อร์มากขึ้นเรื่อยๆซะแล้ว
มู่เหมียนก็นั่งลงไปเลยอีกฝั่งหนึ่งเพียงแต่นางยังคงจับมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้และไม่กล้าคลายมือ
นางไม่ไว้ใจเฉินอวิ๋นเอ๋อร์และนางต้องการดูอยู่
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เองก็ไม่รีบร้อน นางต้องรอดูไปก่อน
นางเดินไปนั่งลงฝั่งหนึ่งและเงียบเชียบนัก
และพวกเขาก็เผชิญหน้ากันเช่นนี้ มู่เหมียนเหลือบมองไปยังใบหน้าอันซีดเซียวของเฉินอวิ๋นเอ๋อร์เป็นครั้งคราว
รอการมาถึงของหนานกงเย่
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นได้กลับไปที่ห้องทดลองแล้ว และเธอก็ตกใจที่เธอกลับมาแล้ว
เธอมองไปโดยรอบในห้องทดลองและหวนคิดอย่างละเอียด เธอมั่นใจว่าเธอได้กลับมาถึงสิบปีก่อนหน้าที่จะย้อนเวลากลับไป
นี่คือห้องทดลองก่อนหน้านี้ห้องนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูด้วยความกังวล เธอถูกดึงมาที่นี่แล้วจริงๆ
ก่อนที่เธอจะนอนหลับรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด ดูเหมือนว่าเธอจะถูกดึงเข้าไปที่ไหนสักแห่งดังนั้นเธอถึงได้กังวล
เป็นแบบนี้จริงๆ
แต่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้หล่ะ?
ฉีเฟยอวิ๋นงุนงง หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปทางหน้าต่างทางโน้น ที่นั่นยังมียาอยู่บ้างและเธอต้องการที่จะไปดู
เธอคิดว่าคงจะเป็นการดีถ้าสามารถหายาแก้อักเสบส่งกลับไปให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยและนำยารักษาตับที่มีผลดีเยี่ยมกลับไปด้วย
เพิ่งจะหยุดลงฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินคนที่อยู่ข้างหลังเธอพูดว่า: “คุณกลับมาแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงครู่หนึ่งจากนั้นก็หันไปมองคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
เขาแต่งกายด้วยชุดพรางตัวพร้อมรองเท้าบู๊ตสีดำและยังมีปืนอยู่ที่เอว
“มู่หรง?”
ฝั่งตรงข้ามนั้นคือซูมู่หรงซึ่งยืนอยู่ด้วยชุดต่อสู้ทั้งตัว ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอกและตกใจตัวแข็งทื่ออยู่ตรงที่เดิม
ซูมู่หรงเดินเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋น ท่าทางของเขาเหมือนเมื่อสิบปีก่อน แต่การพบกันครั้งนี้ดูเหมือนจะรอมาเนิ่นนาน ทุกย่างก้าวที่เขาก้าวเข้ามาฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งนั้น
เมื่อเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋นแล้วซูมู่หรงก็ยื่นมือไปที่ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น เขาบีบใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นครั้งหนึ่งจนฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บนิดหน่อย แต่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นความฝันหรือภาพลวงตากันแน่
ดังนั้นเธอจึงกลืนน้ำลายลงด้วยความยากลำบาก
ดวงตาของซูมู่หรงมองต่ำสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำและก้าวย่างเข้ามาใกล้ เขาดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในอ้อมกอดและกอดกระชับเธอไว้แน่น
หายใจเข้าลึกๆ: “คุณไม่เสียดายที่กลับมาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นคางของเธอพาดอยู่ที่ไหล่ของซูมู่หรง เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิตเลยว่าซูมู่หรงจะปฏิบัติกับเธอแบบนี้
ในความทรงจำของเธอ ซูมู่หรงนั้นดุร้ายไร้ความปราณีกับเธอและกระทำอย่างยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
ตอนนี้ที่เป็นแบบนี้เหมือนกับฝันร้ายยังไงยังงั้น
หลังจากที่ปล่อยตัวแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ถามว่า: “เกิดอะไรขึ้น?”
“ครั้งที่แล้วที่คุณจากไปผมก็กลับมาแล้วซึ่งก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว” ซูมู่หรงจับมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะลง เขาจับเอาไว้แน่นแล้วฉีเฟยอวิ๋นดึงครั้งหนึ่ง ส่วนซูมู่หลงนั้นจะจูบเธอฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนปิดแก้มของเธอเอาไว้
“หัวหน้า”
ซูมู่หรงหยุดแล้วกระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วจูงฉีเฟยอวิ๋นเดินไป
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมาและยังคงคิดถึงแต่ยาเหล่านั้นอยู่ แต่เธอถูกจูงออกไปซะแล้ว
“พวกเราจะไปที่ไหน?” ฉีเฟยอวิ๋นพึ่งสังเกตว่าเธอยังสวมเสื้อคลุมสีขาวอยู่
“เดี๋ยวมีภารกิจอย่าไปไหนเรื่อยเปื่อย” ซูมู่หรงพาฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปจากห้องทดลองไปรวมตัวกันข้างนอก
ทุกคนไม่ได้สนใจการปรากฏตัวของฉีเฟยอวิ๋นเลยสักนิด ทุกคนมัวแต่ยุ่งใครยุ่งมันอยู่
ขึ้นรถแล้วซูมู่หรงก็เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น: “เข็มขัดนิรภัย”
ฉีเฟยอวิ๋นรัดเข็มขัดนิรภัยด้วยความรู้สึกว่างเปล่า และซูมู่หรงก็พาเธอออกไปทำภารกิจ
ครั้งนี้เป็นการจับกุมผู้ร้ายข้ามแดนสองสามคน พวกเขาสกัดกั้นอยู่บนถนนจนซูมู่หรงเกือบเกิดอุบัติเหตุ เป็นเพราะมีคนเล็งปืนยิงไปที่ฉีเฟยอวิ๋นเขาจึงขับรถไปยังริมถนน ฉีเฟยอวิ๋นยังตกใจอยู่ซูมู่หรงก็ลงจากรถไปแล้ว
“รอผมกลับมา”
ลงจากรถแล้วซูมู่หรงก็ไปจับกุมคน ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ในรถอย่างงุนงง แม้ว่าด้านหน้าจะเป็นคนของซูมู่หรงแต่ใจของเธอบินไปหาหนานกงเย่ตั้งนานแล้ว เธอกำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ครุ่นคิดอยู่ว่าอาการหงุดหงิดของชายคนนั้นในเวลานี้จะรื้อถอนจวนเสนาบดีไปแล้วหรือเปล่า?
ซูมู่หรงออกไปตั้งนานแล้วก็ยังไม่กลับมา ในเวลานี้ไม่รู้ว่าใครทิ้งระเบิดควันลงบนถนนทำให้ด้านหน้าเต็มไปด้วยกลุ่มควันโขมง
ฉีเฟยอวิ๋นผลักประตูรถลงจากรถแล้วข้างหลังก็มีคนๆหนึ่งเตะมา เธอไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ทั้งตัวถูกเตะออกไปไกลสองสามเมตรแล้วล้มลงบนพื้น
เป็นชายคนหนึ่ง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมาอีกฝ่ายก็หยิบมีดแล้วเดินตรงมาหาเธอ
เธอมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ แล้วเพิ่งรู้สึกว่าเธอจำไม่ได้แล้วว่าต้องต่อสู้อย่างไร
เธอรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คนตลอดทั้งวันเป็นหมอคนหนึ่ง การต่อสู้กลายเป็นงานรองไปแล้ว
อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาสัญชาตญาณของฉีเฟยอวิ๋นไม่ใช่ต่อสู้แต่เป็นการยกมือขึ้นบังใบหน้าเอาไว้
แต่ในขณะที่เธอกำลังทำแบบนี้ คนที่ถือมีดก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับเสียงคร่ำครวญ เมื่อเธอมองดูอีกครั้งซูมู่หรงก็บังฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้แล้ว
อีกฝ่ายลุกขึ้นมาซูมู่หรงก็รีบพุ่งเข้าไปทันที แล้วทั้งสองก็ต่อสู้กัน ไม่นานนักคนที่ถือมีดก็ถูกซูมู่หรงบิดคอหักซะแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสูดลมหายใจที่เย็นเข้าไปโดยคิดว่าครั้งนี้คงจะไม่ปล่อยให้ใครออกไปได้ ดังนั้นเธอจึงไม่แปลกใจในความโหดเหี้ยมของซูมู่หรง
ซูมู่หรงยืนอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันหลังให้ฉีเฟยอวิ๋นในเวลานี้เพิ่งจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับฉีเฟยอวิ๋น
เมื่อหันมาเห็นฉีเฟยอวิ๋นเขาก็พูดว่า: “คุณอ่อนแอเกินไป!”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จะพูดอะไรดี เธออ่อนแอมาก อ่อนแอจนต้องมีคนมาป้องกันอยู่ตลอด
ซูมู่หรงเดินไปที่ฝั่งฉีเฟยอวิ๋นและบอกว่า: “ไป”
มือของฉีเฟยอวิ๋นถูกจูงเอาไว้แล้วก็หันหลังจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นลองพยายามดึงมือของเธอออก แต่กลับถูกจับเอาไว้แน่นขึ้น
ขณะหนึ่งฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกผิดต่อหนานกงเย่ ได้สวมเขาให้เขาซะแล้ว
เขาเดินตามซูมู่หรงออกไปอย่างกระวนกระวายใจตลอดทาง ระหว่างทางซูมู่หรงไม่ได้กลับไปรายงานโดยตรงโดยที่ไม่เคยกระทำมาก่อน แต่พาเธอไปทานอาหาร
อาหารนั้นดูไปก็งั้นๆ แม้ว่าจะทันสมัยแต่เทียบกับจวนอ๋องเย่และมื้ออาหารของราชวงศ์นั้นก็ยังเทียบกันไม่ติด
“คุณชอบทานสิ่งนี้มาตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้ไม่ชอบทานแล้วหรือ?” ซูมู่หรงถามแบบนั้นฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอชอบทานอาหารของที่นี่และแอบมาทานตลอด
แต่ตอนนี้มาทานกลับไม่ชอบเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉีเฟยอวิ๋นกอดชามด้วยความเศร้าสร้อย ทำไมถึงไม่ชอบซะแล้วหล่ะ?
“ทานเถอะ”
สีหน้าของซู่มู่หรงดูหม่นหมอง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจแต่ก็ยังปลอบเธอ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ก้มหน้าทาน
ซูมู่หรงให้ไข่ฟองหนึ่งกับเธอ ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่าเพราะอะไรรู้สึกว่าไข่นั้นไม่อร่อย
แต่เธอไม่ทานก็เกรงใจจึงได้ทาน
ลุกขึ้นแล้วซูมู่หรงก็จูงฉีเฟยอวิ๋นจากไป มือของเขาก็จูงอยู่แบบนั้น
และฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกพาเข้ามาในห้องนอนของเขา
เมื่อเข้าประตูไปซูมู่หรงก็ล็อกประตูแล้วหันไปมองฉีเฟยอวิ๋น: “ในเมื่อมีโลกสองโลกผมจะไม่ยุ่งกับเขา และเขาก็อย่าได้มายุ่งกับผม คุณก็คิดซะว่าที่นี่เป็นที่หลบภัยของคุณ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรก็กลับมา ถ้าคุณจะไปผมก็จะไม่รั้งไว้
อยู่ที่นั่นพวกคุณเป็นสามีภรรยากัน อยู่ที่นี่พวกเราเป็นสามีภรรยากัน”
ดวงตาของฉีเฟยอวิ๋นเบิกกว้าง: “หัวหน้า คุณพูดเรื่องอะไร?”
“ผมบอกว่าผมต้องการให้คุณเป็นภรรยาของผม เป็นวันนี้และเป็นคืนนี้เลย” ซูมู่หรงเข้ามาใกล้ฉีเฟยอวิ๋นและเริ่มปลดกระดุม
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนหน้าซีด!
ในสมองมีแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของหนานกงเย่ เธอไม่อยากถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ