องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 340 ดาบสองเล่ม
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 340 ดาบสองเล่ม
ฉีเฟยอวิ๋นเขินอาย: “ท่านอ๋อง ข้าไปที่นั่นก็ไม่แน่ว่าได้เจอหัวหน้า แต่……”
หนานกงเย่เลิกคิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่เขา แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะปกปิด:“เจอกันแล้ว”
หนานกงเย่กำมือแน่นและกัดฟัน:“ข้าอยากจะบีบอวิ๋นอวิ๋นให้ตาย”
“……” โกรธมาก
“ทำอะไรกัน?หัวหน้าของเจ้าคนนั้น หรือว่าเหมือนกับครั้งก่อนที่ไม่เต็มใจจะให้อวิ๋นอวิ๋นจากไป?”
หนานกงเย่พูดแปลก ๆ ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก นางจึงอธิบายกับเขาสองสามคำว่า:“ไม่ต้องคิดมากเพคะ ในตอนนั้นหม่อมฉันคิดว่าหากมียาก็จะสามารถรักษาเฉินอวิ๋นเจี๋ยได้ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ตาย
เมื่อไปที่นั่น หม่อมฉันก็ไปที่ห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัย ในนั้นมียาอยู่ เดิมทีหม่อมฉันวางแผนว่าจะไปเอายาแล้วจากไป แต่เขาก็ปรากฏตัวขึ้น
จากนั้นก็พูดเพียงไม่กี่คำแล้ว……”
ต่อมาสีหน้าของหนานกงเย่ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งพูดเขาก็ยิ่งไม่พอใจ เขาด่าทอในใจว่านางไม่ได้เรื่อง แล้วยังพูดจาตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผย
“แน่นอนว่าเขารั้งหม่อมฉันไว้และพูดเรื่องไร้สาระ แต่หม่อมฉันปฏิเสธ หม่อมฉันบอกว่าหากเขาทำลายความบริสุทธิ์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะฆ่าตัวตาย”
“ไร้สาระ หากเขาทำลายความบริสุทธิ์ของอวิ๋นอวิ๋น ข้าจะไปคิดบัญชีกับเขา อวิ๋นอวิ๋นอย่าทำเช่นนั้นอีก หากจะกลับไปให้มาหาข้าก่อน”
หนานกงเย่ปล่อยมือและกอดฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่มีทางที่จะทำเรื่องโลเล จิตใจไม่มั่นคงได้ใหม่แล่วลืมเก่า เพียงแต่หัวหน้าเป็นครูฝึกของหม่อมฉัน ในสายตาของหม่อมฉัน เขาเป็นเพียงญาติเท่านั้น”
“ฮึ!”
หนานกงเย่ไม่อยากพูดอะไรมาก เขาเอนตัวไปด้านข้างและไม่สนใจฉีเฟยอวิ๋น
ความเข้าใจผิดได้รับการแก้ไขแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอกและไม่พูดอะไรอีก
แต่ในเวลานี้หนานกงเย่ก็ถามอีกว่า:“เขารั้งไว้อย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหนื่อย:“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงความไม่พอใจและตำหนิอย่างมีมารยาท คำพูดในวันนี้หนานกงเย่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบายใจ นางจึงกล่าวว่า:“เขาขอหม่อมฉันแต่งงาน เขาไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก และหม่อมฉันก็ไม่ตอบตกลง”
“ไอ้สารเลว พระชายาของข้า เขามาขอแต่งงานได้อย่างไรกัน?” หนานกงเย่ด่าด้วยสีหน้าที่มืดดำ
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ความจริงหม่อมก็พูดเช่นนั้น และหม่อมฉันก็ปฏิเสธ”
หนานกงเย่เฉลียวฉลาด แค่คิดเขาก็เข้าใจในทันที เขาหรี่ตาและถามว่า:“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการเป็นจันทรคราส?”
“จันทรคราสคืออะไรเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ สีหน้าของหนานกงเย่มืดดำ
“เขาต้องการที่จะเทียบเท่าข้า อยู่บนท้องฟ้าและอยู่บนพื้นดิน” สีหน้าของหนานกงเย่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าใจ นางตกใจและเป็นกังวลเมื่อเห็นท่าทางของหนานกงเย่
นี่ขนาดหนานกงเย่ยังไม่เคยเห็นซูมู่หรง ถ้าหากเขาได้เจอ ต่อให้ซูมู่หรงจะใช้อาวุธสมัยใหม่ เขาก็คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะฆ่าซูมู่หรง
เพียงแค่คิดฉีเฟยอวิ๋นก็สยดสยองแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดมนของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็พูดเอาใจและจูบริมฝีปากของเขา:“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรักเพียงแค่พระองค์เท่านั้นเพคะ”
หนานกงเย่ทำหน้าตาบึ้งตึง และโอบรอบเอวของฉีเฟยอวิ๋น:“คราวหน้าหากอวิ๋นอวิ๋นจะกลับไป จำไว้มาต้องพาข้าไปด้วย หรือไม่ก็พาเขากลับมา ข้าจะต้องพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
“……ท่านอ๋อง…… มันผ่านไปแล้วเพคะ อย่าทรงคาดเดาเลย” ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับและไม่พูดอะไร
หนานกงเย่ยิ้มเยาะ:“เขาคงเคยบอกว่าจะขออวิ๋นอวิ๋นแต่งงาน อวิ๋นอวิ๋นเป็นภรรยาของเขาที่นั่น และเป็นพระชายาของข้าที่นี่ ไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน อวิ๋นอวิ๋นกล้าที่จะยอมรับหรือไม่?”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ที่จะกล้ายอมรับจริง ๆ
“ก็จริงอยู่” ฉีเฟยอวิ๋นจำต้องยอมรับ หนานกงเย่ยกหางตาขึ้น เขามองไปทางประตูรถม้าโดยไม่พูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นเอนกายลงในอ้อมแขนของเขา และพยายามที่จะไม่ยั่วโมโหหนานกงเย่
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น หนานกงเย่จะให้พาคนกลับมาด้วย และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
อาอวี่อยู่ข้างนอกรถม้าอย่างสงบเงียบ เขารอให้คนลงจากรถม้า และคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติในรถม้า จึงถามขึ้นว่า:“ท่านอ๋อง……”
“ไม่มีอะไร”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและจูงมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่ราวกับเป็นศัตรู นางรู้สึกเหนื่อยมาก
หึงหวงอีกแล้ว!
หลังลงมาจากรถม้าแล้ว หนานกงเย่ก็ยื่นมือไปให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นวางมือลงบนมือของเขา จากนั้นหนานกงเย่ก็จับเอวของนาง และอุ้มนางลงมา
ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถม้าและมองที่ใบหน้าของหนานกงเย่ เขาดูสบายใจขึ้นแล้ว แม้ว่าจะยังคงเย็นชาอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองนางแล้ว เขาจูงมือนางเดินเข้าไปในจวนอย่างไม่ยอมปล่อย
หลังจากที่เข้าไปแล้ว เจ้าอีกาดำน้อยและจิ้งจอกหางสั้นก็ตามไป
ฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่กลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้และเข้าไปในห้องก่อน หลังจากที่เข้าไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็เริ่มถอดเสื้อผ้า
หนานกงเย่ยืนเลิกคิ้วและมองนางอยู่หน้าฉากกั้นห้อง ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะใช้ร่างกายเพื่อปลอบประโลมเขา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ฉีเฟยอวิ๋นถอดเสื้อนอกออกและไปที่สระกำมะถัน
ในตอนนี้อากาศร้อน หน้าต่างเหนือสระกำมะถันเปิดออก และมีลมเย็นพัดผ่านประตู อุณหภูมิของน้ำในสระกำมะถันอยู่ในระดับปานกลาง ฉีเฟยอวิ๋นเดินลงไปและนั่งลง
หนานกงเย่ค่อย ๆ เดินมาและยืนอยู่มองอยู่ข้างสระครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ท่านอ๋อง หากไม่ทรงเชื่อก็ไม่เป็นไรเพคะ วันนี้เรา……”
ยังไม่ทันได้พูด หนานกงเย่ก็เดินลงมาในสระกำมะถันและเดินไปข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋น เขามองลงไปที่หน้าอกของฉีเฟยอวิ๋น และยื่นมือออกไปดึงฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็มาอยู่ข้างหน้าและเอามือดันหนานกงเย่ไว้
ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มขึ้นมาวางบนแท่นศิลา จากนั้นหนานกงเย่ก็ถอดเสื้อผ้าของนางออก และทั้งสองก็แนบชิดสนิทกัน
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากสระกำมะถัน แต่หนานกงเย่ยังคงเอนกายอยู่ในนั้น ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่ เขายังคงเอนกายอยู่อย่างนั้นและไม่ยอมขึ้นมา เขาดูเหน็ดเหนื่อยเหมือนสิงโตที่กำลังนอนหลับ
ฉีเฟยอวิ๋นนำเสื้อนอกของหนานกงเย่มาคลุมและไม่สามารถยืนได้นานนัก นางรู้สึกเหนื่อย จึงกลับก่อนไปก่อน
เมื่อหนานกงเย่ออกมา ฉีเฟยอวิ๋นก็นอนอยู่แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่ามีคนขึ้นมาข้าง ๆ นางจึงเอนกายไปข้างหน้า หนานกงเย่จับผมของนางออกไป และใช้นิ้วมือลูบไล้ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นมามองเขา หนานกงเย่บีบคางของฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าคิดถึงเขา และยิ่งไม่อนุญาตให้เจ้ากลับไปเจอเขา ไม่ว่าวันหน้าใครจะตายหรือใครจะอยู่ หากกล้าที่จะไปอีกข้าจะไม่ละเว้น ต่อให้จะมีสักกี่คนข้าก็จะจะไม่มีวันยอม”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจ และนางก็พูดได้เพียงว่าจะไม่กลับไป
หลังจากหลับตาลง ฉีเฟยอวิ๋นก็เผลอหลับไป จากนั้นกนานกงเย่จึงนอนลง
เมื่อตื่นขึ้นมาก็ดึกมากแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นมากินอะไรนิดหน่อย แล้วไปที่จวนเสนาบดี
เมื่อหมอโจวเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รีบถวายบังคม และอธิบายสถานการณ์ปัจจุบัน
หลังจากที่หนานกงเย่เข้าไปแล้วก็นั่งลง สายตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างของเฉินอวิ๋นเจี๋ย ในเวลานี้เฉินอวิ๋นเจี๋ยยังคงหมดสติอยู่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำและมีไข้
ฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินไปดูเฉินอวิ๋นเจี๋ย และเริ่มใช้สมาธิเพื่อตรวจดูอาการ
“ต้องทำให้อุณหภูมิลดลง หมอประจำจวน กล่องยาล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หมอโจว หมอโจวจึงรีบส่งกล่องยาให้ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดกล่องยา นางหยิบยาลดไข้ออกมาและฉีดยาให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนยาในทันที โชคดีที่นางเตรียมมาด้วย
หลังจากฉีดยาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ตรวจดูอาการของเฉินอวิ๋นเจี๋ยอีกครั้ง ฉีเฟยอวิ๋นเรียกหนานกงเย่:“ท่านอ๋องเพคะ”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋น ร่างกายของบุรุษไม่ใช่ว่าฉีเฟยอวิ๋นบอกว่าอยากดูก็จะดู หากไม่ใช่เพราะนางเป็นหมอ หนานกงเย่คงจะสับร่างของเฉินอวิ๋นเจี๋ยเป็นชิ้น ๆ
หนานกงเย่เข้ามาใกล้ ฉีเฟยอวิ๋นเปิดบาดแผลให้หนานกงเย่ดู:“ท่านอ๋องดูสิเพคะ”
หนานกงเย่หยิบถุงมือสีขาวที่ฉีเฟยอวิ๋นให้มาสวม เขากดบาดแผลแล้วขมวดคิ้ว:“ดาบที่สองเป็นดาบที่ต้องการปลิดชีพ”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ที่แท้นางก็เดาได้อย่างถูกต้อง