องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 391 ท่านอ๋องมาแล้ว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 391 ท่านอ๋องมาแล้ว
อวิ๋นจิ่นรีบเดินเข้าไปขัดขวาง “ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าทำอะไรโดยพลการเช่นนี้นะ”
“อวิ๋นจิ่น เจ้ารีบถอยไป ไม่เช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าออกไป” ในสายตาของแม่ทัพฉี อวิ๋นจิ่นก็เป็นเหมือนลูกสาวของเขา ยังเป็นเด็กน้อย
เขาพูดออกไปเช่นนั้นก็เพื่อทำให้อวิ๋นจิ่นตกใจเท่านั้น
อวิ๋นจิ่นไม่กลัวเพราะรู้ว่าท่านแม่ทัพฉีเป็นคนที่มีเมตตา
“ท่านแม่ทัพ ท่านระดมฝูงชนเพื่อไล่ตามไปและไม่กลัวคนภายนอกจะรับรู้ข่าวขึ้นมาแล้วติดตามออกไป ต่อให้ต้องการหานายท่าน เช่นนั้นก็ควรกระทำโดยลับๆ ไม่เช่นนั้นหากท่านหาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ พวกเขารู้ว่าไปหานายท่านละก็ ถึงตอนนั้นพวกเขาอาจส่งคนไปฆ่าก็ได้นะเจ้าคะ?”
แม่ทัพฉีฟังแล้วก็รู้สึกมีเหตุผลและรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดำเนินการอย่างลับๆ”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพ นายท่านกลัวว่าท่านจะไม่ฟังคำห้ามปราม จึงให้ข้ามาขัดขวาง ท่านแม่ทัพนั่งลงก่อน เรามาคุยกันดีๆ เจ้าค่ะ”
“คุยอะไรหรือ? ช้ากว่านี้ก็จะตามไม่ทันแล้ว ต้องตามไปตอนนี้” แม่ทัพฉีต้องการจะไป อวิ๋นจิ่นจึงร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นอวิ๋นจิ่นร้องไห้ออกมา แม่ทัพฉีก็ตกใจขึ้นมา
“ร้องไห้ทำไมหรือ ข้าก็ไม่ได้โยนเจ้าออกไป รีบหยุดร้องเดี๋ยวนี้เลย”
อวิ๋นจิ่นเกือบจะหัวเราะออกมา
นางหันกลับไปร้องไห้พลางกับกล่าวว่า “นายท่านได้ติดต่อกับท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องบอกว่าจะมารับระหว่างทาง หากท่านแม่ทัพไป ข้าก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? พูดว่าอย่างไรนะ? ทำไมข้าถึงไม่รู้?” แม่ทัพฉีสงสัย เขาส่งข่าวกับนกพิราบแต่ลูกเขยไม่มีตอบกลับ แต่ลูกสาวกลับติดต่อได้แล้ว?
“ข้าก็ไม่แน่ชัดนัก แต่นายท่านพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“เจ้านายของเจ้าโกหกเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับเชื่อหรือ?”
แม่ทัพฉีรู้สึกดูถูกอวิ๋นจิ่น เด็กคนนี้ดูเหมือนจะฉลาด รู้จักหาเงินเก่ง ทำไมถึงถูกหลอกง่ายๆ เช่นนี้
เมื่อเดินอ้อมกลับมาแม่ทัพฉีก็ต้องการจะจากไป อวิ๋นจิ่นรู้ว่าขัดขวางต่อไปไม่ได้และไม่สามารถโกหกได้อีก จึงกอดแม่ทัพฉีไว้จากข้างหลัง
“ท่านแม่ทัพ ท่านดูข้าทำเช่นนี้แล้ว ท่านไปสิ ดูว่าท่านจะไปได้อย่างไร?”
แม่ทัพฉีตกใจจนตัวสั่น
“เจ้ารีบ เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพฉีรีบปล่อยอวิ๋นจิ่นออก อวิ๋นจิ่นจึงตะโกน
“ใครก็ได้ ใครก็ได้……”
มู่เหมียนที่รออยู่ที่หน้าประตูจึงรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าจึงรีบหันหลังกลับและใช้มือบังตา
“ขัดต่อประเพณีและศีลธรรม ช่างไม่เหมาะสม……” ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ มู่เหมียนจึงรีบพูดออกมา
แม่ทัพฉีตกใจจนรีบผลักอวิ๋นจิ่นออกไป และหลบไปอีกฝั่งหนึ่ง
“นี่……นี่……”
แม่ทัพฉีพูดติดๆ ขัดๆ ไม่เป็นคำพูด อวิ๋นจิ่นจึงพูดขึ้นมา “มู่เหมียน เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
มู่เหมียนสะบัดชายกระโปรงแล้ววิ่งออกไป
แม่ทัพฉีรีบตะโกน “กลับมา เจ้ารีบกลับมาเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นจิ่นแล้วเปลี่ยนสีหน้าและร้องไห้ออกมาก่อนจะถามว่า “ท่านแม่ทัพ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”
“เหลวไหล อะไรคือทำอย่างไรดี? ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“แต่มู่เหมียนคิดล่ะเจ้าคะ?” อวิ๋นจิ่นทำสีหน้าลำบากใจ แม่ทัพฉีก็ตระหนก
“เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำเช่นไร? เป็นเพราะเจ้า อยู่ดีๆ แต่เจ้ากลั[มากอดข้าได้อย่างไร?” แม่ทัพฉีรู้สึกโกรธจัด
“นั่นก็เป็นเพราะท่านแม่ทัพต้องการออกไปไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” อวิ๋นจิ่นทำสีหน้าลำบากใจ
แม่ทัพฉีชี้ไปที่ประตู “เจ้ารีบไปนำนางกลับมา บอกนางให้ละเอียดและอย่าให้นางเอาไปพูดเหลวไหลข้างนอก”
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพจะไปหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไป จะไปอะไรอีก เจ้ารีบไปซะ” แม่ทัพฉีรู้สึกโมโห
อวิ๋นจิ่นหันกลับจากนั้นจึงออกไป
แม่ทัพฉีรอให้นางออกไปจากนั้นก็ทำสีหน้าจริงจังและเดินออกจากภายในเรือนไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
เขากลับไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น และเดินตรงไปที่ประตูหน้าของจวนท่านอ๋องเย่
เขาต้องการไปหาลูกสาว เรื่องอื่นทั้งหมดนั้นต่างไม่สำคัญ
ระยะทางการเดินทางไปเขตชายแดนนั้นไกลมาก เขาต้องไปปกป้องลูกสาว ไม่ใช่ว่าคำพูดของอวิ๋นจิ่นเหล่านั้นจะสามารถโกหกเขาได้
เขายังต้องการเข้าวังหลวงไปพบจักรพรรดิ เพื่อบอกจักรพรรดิว่าเขาต้องการไปหาลูกสาว
แม่ทัพฉีรีบร้อนที่จะออกไปจนเกือบจะล้มลงเมื่อสะดุดที่หน้าประตู
มีเงาของคนหนึ่งเข้ามา และได้รับตัวของแม่ทัพฉีไว้
แม่ทัพฉีรู้สึกสับสนในขณะนั้น คนที่อยู่ข้างหลังก้มตัวลงและแบกแม่ทัพฉีไปที่เรือนด้านหลัง
พ่อบ้านอาวุโสรีบปิดประตู เขาตกใจจนเหงื่อไหลเต็มตัว
อวิ๋นจิ่นก็ตามไปที่เรือนจู๋อวิ๋นไจที่อยู่ด้านหลัง
แม่ทัพฉีถูกจัดการให้อยู่ในนี้
อวิ๋นจิ่นจึงกลับไปจัดเตรียม หงเถาและลี่ว์หลิ่วก็รีบมาดูแลและระมัดระวังทุกขณะเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น
เมื่อแม่ทัพฉีฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว อวิ๋นจิ่นกำลังนั่งรออยู่อีกฝั่งหนึ่ง เมื่อเห็นแม่ทัพฉีตื่นขึ้นมาจึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“อวิ๋นจิ่นขอโทษท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพได้โปรดลงโทษ อวิ๋นจิ่นรู้ว่าไม่อาจขัดขวางท่านแม่ทัพได้จึงได้คิดวิธีนี้ขึ้นมา เพื่อให้ท่านแม่ทัพตกหลุมพรางเอาง่ายๆ โดยการวางยาเจ้าค่ะ”
แม่ทัพฉีรู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง แต่พยายามฝืนลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
แต่ขณะนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินหรือทำอะไร ทำได้เพียงมองอวิ๋นจิ่นและไม่พูดอะไร
อวิ๋นจิ่นจึงได้แต่คุกเข่าลงเช่นนี้ครึ่งชั่วยามโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม่ทัพฉีรู้สึกใจอ่อนถึงอย่างไรก็เป็นเด็กจึงกล่าวว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ลุกขึ้นมาทำให้ฤทธิ์ยาของข้าหายไปซะ”
อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นและส่ายหน้า “ไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพจะต้องไปหาแน่ๆ”
“เช่นนั้นข้าจะกินอยู่เข้าห้องน้ำได้อย่างไร?”
“อวิ๋นจิ่นอยู่ที่นี่ทั้งคน ทั้งหมดสามารถจัดการได้เจ้าค่ะ”
“เหลวไหล เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้าค่ะ”
อวิ๋นจิ่นจึงออกไป แม่ทัพฉีนอนลงไปด้วยความโมโห
ฉีเฟยอวิ๋นออกเดินทางไปแล้วหนึ่งวันแต่กลับรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ บรรยากาศโดยรอบผิดแปลกไป
พอดีกับเป็นเวลากลางคืน และเป็นที่ทุรกันดาร พร้อมที่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ได้ และเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการไล่ฆ่า
อาอวี่เตือน “พระชายาระมัดระวังด้วยนะขอรับ มีคนกำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว”
“เดินทางต่อไป เราอย่าไปสนใจ มาถึงแล้วค่อยว่ากัน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกคุ้นเคยแล้ว สำหรับคนที่ฝึกซ้อมยุทธการทางด้านรบในถิ่นทุรกันดารอย่างเธอนั้น สภาพแวดล้อมในถิ่นทุรกันดารทำให้เธอรู้สึกสบายกว่ากลอุบายภายในเขตเมืองหลวงเสียอีก
เมื่อลมหยุดและคนมาถึง
อาอวี่หยุดรถม้าและกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนคุ้มครองพระชายา”
“อา อา……”
“อือ อือ……”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสน ต้องปกป้องคุ้มครองใครกันแน่?
ภายนอกรถม้ามีคนชุดดำล้อมรอบสิบกว่าคน คนชุดดำถือดาบและไม่รีรอที่จะมุ่งตรงเข้ามาที่รถม้า อาอวี่กระโดดลงไปเตรียมที่จะขัดขวาง
หลังจากนั้นสิบกว่าคนนั้นจู่ๆ ก็หยุดชะงักลง ร่างกายของพวกเขาสั่งเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น
อาอวี่ไปดูบริเวณโดยรอบและสังเกตการณ์
มีเสียงอีการ้องอยู่บนศีรษะของเขา
ไม่ไกลออกไปนักมีม้าจำนวนหนึ่งกำลังควบเข้ามาด้วยความเร็ว
อาอวี่เงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นว่ามีผู้คนมากกว่าสิบข้างหลังมีกล่องธนูสะพายอยู่ และในมือของคนหนึ่งก็ถือธนูก็เล็งมาทางอาอวี่
“ทหารม้าหุ้มเกราะ?” อาอวี่รู้จัก
หนึ่งในนั้นกำหมัดของเขา “พวกเราได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองพระชายา”
“อืม พระชายาอยู่ในรถม้า” อาอวี่ยกมือกำหมัดขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
คนที่อยู่บนม้ารีบลงจากม้า กว่าสิบคนรีบไปที่หน้ารถม้าและคุกเข่าข้างเดียว “ข้าน้อยทหารม้าหุ้มเกราะคารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดม่านหน้าต่างในรถม้าออก และมองไปภายนอก
สวมชุดเกราะสีดำ คันธนู และลูกธนูอยู่ข้างหลัง กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ท่านอ๋องล่ะ?”
“ท่านอ๋องกำลังรีบตามมาพ่ะย่ะค่ะ และให้พวกเราที่มารับและพระชายาโปรดรออยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ลุกขึ้นเถอะ ลำบากแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถม้า ทหารม้าหุ้มเกราะถอยออกไป ม้ายืนกินหญ้าอยู่บริเวณโดยรอบ เจ้าแห่งอีกาลงมาที่หลังคารถม้าและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
“ให้เจ้าไปตรวจสอบดูว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ให้เจ้านำเขากลับมา” ฉีเฟยอวิ๋นยังสนุกไม่พอ นี่เพิ่งจะออกมาได้แค่วันเดียว
เจ้าแห่งอีกาไม่สนใจฉีเฟยอวิ๋น ไกลออกไปมีเสียงที่ไม่ค่อยพอใจดังขึ้น “ข้าจะควบคุมเจ้าไม่ได้งั้นหรือ แค่ไม่ได้สตินิดเดียวก็หนีออกมา หากทหารม้าหุ้มเกราะไม่มาถึงก่อนหน้า อาอวี่เพียงคนเดียวจะคุ้มครองพระชายาได้หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับอย่างกะทันหันและมองไปท่ามกลางความมืด รู้สึกเหมือนมีคนเดินออกมาจากทางนั้น
คืนนี้ไม่มีแสงจันทร์ ฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะมองเห็นคนจึงได้หันกลับไปหยิบโคมไฟและยกขึ้นมองออกไปไกล
หนานกงเย่สวมใส่ในชุดผ้าแพรสีฟ้า
ดวงตามั่นคง และท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง
เขายังคงสง่างาม ศีรษะสวมหมวกขนนก ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาไม่ขาวเหมือนแต่ก่อน แต่กลับคล้ำลงเล็กน้อย แต่เขาดูเป็นผู้ชายวีรบุรุษมากกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ผู้ชายเพียงคนเดียวช่างน่าดึงดูด ช่างน่าหลงใหลและช่างหล่อเหลาเช่นนี้
หนานกงเย่ก็ยังคงเป็นหนานกงเย่ แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกอยากร้องไห้
เป็นเพราะหลงใหลหรือ?