องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 392 ลูกเขยฉลาด
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 392 ลูกเขยฉลาด
ฉีเฟยอวิ๋นอยากร้องไห้นัก สะอื้นไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ทิ้งตะเกียงไฟบนมือและเดินเข้าไปหาหนานกงเย่อย่างเร็วไว
อาอวี่รีบไปเก็บตะเกียงไฟขึ้นมา
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นวิ่ง หัวใจของหนานกงเย่แทบสลาย เขารีบเดินและใช้วิชาตัวเบาอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้น
แม้นจะเช่นนั้น แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังคงวิ่งเข้าหาเขา
หนานกงเย่กอดคนที่วิ่งมาไว้ และรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกทุบ
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ระวังด้วย!” หนานกงเย่ว่านางเสียงดังอย่างเป็นห่วง ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัวอย่างแรง แสดงออกว่านางไม่ต้องการทำเช่นนั้น
ทหารม้าหุ้มเกราะที่อยู่รอบข้างต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา
อาอวี่เองก็หัวเราะตามไปด้วย
เจ้าแห่งอีกานิ่งเฉย ส่วนอีกาน้อยก็บินว่อนอยู่บนหัว จิ้งจอกหางสั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้มานานแล้ว จึงนอนมองทั้งสองอย่างไม่สนใจนัก
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นรถม้าไป จิ้งจอกหางสั้นก็รีบลุกขึ้นและหายตัวไปอย่างไว เพื่อจะหาที่ที่ดีจึงได้เปลี่ยนไปนอนบนไหล่ของอาอวี่
“เดินทางกลับได้” หนานกงเย่ออกคำสั่งบนรถม้า อาอวี่ก้าวขึ้นไปขับรถม้ากลับ รถม้าของทหารม้าหุ้มเกราะก็ตามไปคุ้มกันด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในรถม้าไม่ทันพูดอะไรก็ถูกหนานกงเย่ดึงเสื้อออก และลูบท้องกลมๆของฉีเฟยอวิ๋นก่อนจากนั้นก็ก้มหัวจูบลงไป ฉีเฟยอวิ๋นรับกัดริมฝีปากและใช้มือปิดปากไว้ นางกลัวเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าออกเสียงไป คนอื่นจะได้ยิน
แรงของหนานกงเย่นั้นมากนัก ฉีเฟยอวิ๋นต้านไม่ไหว
นางใช้มือผลัก แต่หนานกงเย่ก็ลุกขึ้นอย่างกะทันหันและจูบที่ริมฝีปากของนาง และใช้เสื้อผ้าคลุมฉีเฟยอวิ๋นไว้ เมื่อแยกออกจากกันจึงได้กอดนางไว้อย่างแน่นในอ้อมกอด
ทั้งสองมิได้พูดอะไร เพียงแค่กอดกันเท่านั้น
คนภายนอกรถม้ามิรู้ว่าในรถม้านั้นเกิดอะไรขึ้น รถม้าเดินทางกลับ
มาถึงโรงเตี๊ยมตอนรุ่งสาง
ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่อุ้มลงจากรถม้า เข้าไปในโรงเตี๊ยม
ทั้งสองไม่ออกมาทั้งวัน ทหารม้าหุ้มเกราะเมื่อถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็เดินทางกลับก่อนแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นเมื่อตอนกลางคืน หนานกงเย่ยังคงโหยหาและจูบร่างกายของนางอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเสียใจนักที่ออกมาหาเขา เหนื่อยแทบตายแล้ว คนคนนี้ช่างไร้ยางอาย ไร้ขีดจำกัด ไร้ความพอดี และไร้ความลึกซึ้ง……
อย่างไรก็ตามก็คือไร้ยางอายนั้นแหละ!
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นมาหนานกงเย่ก็รีบจูบริมฝีปากของนาง ไม่สนว่านางยอมหรือไม่ จากนั้นก็ดึงเสื้อของนางออก เขาลุกขึ้นและข้ามเขตทุ่นระเบิด
ฉีเฟยอวิ๋นไม้สามารถหลบเลี่ยงได้ และผลักไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหัว
“เหอะๆ……” กล่องเสียงของหนานกงเย่ขยับ และยิ้มอย่างพอใจ ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ยอมแพ้ที่จะปฎิเสธ กอดคอของหนานกงเย่ไว้ให้ก้มหัวมองนาง
ทั้งสองพัวพันกันไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง หนานกงเย่ไม่เต็มใจที่จะปล่อยฉีเฟยอวิ๋น และนอนลงไป
การนอนครั้งนี้ก็ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เหนื่อยมากแล้วเช่นกัน
เมื่อรุ่งเช้าทั้งสองจึงได้ออกจากโรงเตี๊ยมไป
ผ่านไปหนึ่งวันทั้งสองก็กลับไปถึงเมืองหลวง
ลงจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นก็เดิรตามหนานกงเย่เข้าไป นึกอะไรขึ้นได้ก็ส่งสายตาให้กับจิ้งจอกน้อย จิ้งจอกน้อยรับทราบก็หายตัวไป
หนานกงเย่ขมวดคิ้วมองฉีเฟยอวิ๋น : “ใครอยู่ข้างในงั้นหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “ไม่มีใครเพคะ”
“หากข้าพบเจอ ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร” หนานกงเย่เข้าลานไป พ่อบ้านรีบเดินเข้ามาคารวะ
“ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“หากยังไม่กลับมา คงได้ขึ้นสวรรค์แน่!” ในตอนท้ายหนานกงเย่ยังถามไปประโยคหนึ่งว่า : “ใครมางั้นหรือ?”
“เรื่องนี้?” พ่อบ้านเหงื่อท่วมหัว
หนานกงเย่เข้าไปยังสวนดอกกล้วยไม้ทันที แต่เขาช้ากว่าจิ้งจอกหางสั้น เมื่อไปถึงก็ว่างเปล่าแล้ว
ภายหลังฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปยังจูอวิ๋นไจเพื่อไปดูเสด็จพ่อของนาง
วันนี้แม่ทัพฉียังคงโกรธอยู่ เป็นถึงแม่ทัพใหญ่เช่นนี้ แต่กลับถูกยาโถวคนหนึ่งหลอกเข้าได้
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นปรากฏ ดวงตาของแม่ทัพฉีก็สดใจขึ้นทันที
“อวิ๋นอวิ๋นกลับมาแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นซึ้งจนอยากร้องไห้ นางหลอกเสด็จพ่อของตน แต่เสด็จพ่อกลับไม่โกรธนางเลย
แต่กลับมองนางอย่างดีใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเช็ดตาที่จะร้องไห้และนั่งลงให้แม่ทัพฉีทานยา ในไม่ช้าแม่ทัพฉีก็รู้สึกดีขึ้น
เขารีบลุกขึ้นกล่อมฉีเฟยอวิ๋น : “พ่อสบายดี ร้องไห้ทำไมกัน ลูกเขยเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ไม่ร้องนะ พ่อจะไปหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ เขาต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัวพร้อมกับยิ้ม : “เขาไม่เป็นอะไรเพคะ สบายดี เพียงแต่หม่อมฉันหนีออกไปตามอำเภอใจ ทำให้เสด็จพ่อทุกข์ใจ จึงรู้สึกผิดเพคะ”
“พูดมั่ว พ่อนอนอยู่ที่นี่สบายดีเชียว ไม่เป็นไรหรอก พ่อสบายดี
พ่อจะไปดูลูกเขย” แม่ทัพฉีรีบลุกจากเตียง สวใส่เสื้อกันหนาวและเดินไปหาหนานกงเย่
อวิ๋นจิ่นประสานมือไว้ข้างหน้า และโค้งตัวลงถวายบังคม : “นายท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมอง : “เสด็จพ่อข้าต่อกรด้วยยากใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจิ่นไร้หนทาง : “แม่ทัพฉีดูเหมือนไม่สนใจเรื่องทั่วไปนัก แต่เรื่องของนายท่านกลับต่อกรด้วยยากกว่าใคร พวกหม่อมฉันใช้หนทางทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถหลอกเขาได้ แต่เขายังต่อกรกับพวกหม่อมฉัน ช่างฉลาดหลักแหลมนัก หม่อมฉันเกรงว่าแม่ทัพฉีมิได้ต่อกรด้วยง่ายเหมือนที่เห็นกันภายนอกเจ้าค่ะ”
“คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องมีเยอะนัก อวิ๋นจิ่นเจ้าเองก็อย่าพูดออกไปเชียว รู้ไว้ก็เพียงพอแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากลำบาก
“อวิ๋นจิ่นรู้เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นออกไปก็พบว่าเสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นไปหา ก็พบว่าลูกเขยกับพ่อตาทั้งสองอยู่ด้วยกันที่สวนดอกกล้วยไม้
แม่ทัพฉีกำลังถาม : “ลูกเขยเหตุใดเจ้าจึงกลับมาได้ไวเพียงนี้ จดหมายที่ข้าส่งไปให้เจ้าผ่านนกพิราบ เจ้าไม่ได้รับหรือ?”
“ได้รับแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้เดินทางกลับโดยไว ข้ารู้จักอวิ๋นอวิ๋นดี หากนางคิดจะหา นางก็จะไม่รออยู่ที่เรือนเป็นแน่
ขอบพระทัยพ่อตาที่หยุดอวิ๋นอวิ๋นไว้ได้ มิเช่นนั้นมิอาจรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
อวิ๋นอวิ๋นเดินทางออกไปก่อนสองวัน หากข้ากลับมาไม่ทัน ข้ามิอาจนึกคิดว่าผลจะเป็นอย่างไร”
“อวิ๋นอวิ๋นเอาแต่ใจจริงในบางครั้ง แต่ก็เพราะนางคิดถึงเจ้า เจ้าไปเป็นเวลานานเพียงนี้ และไม่ส่งจดหมายกลับมาหานางเลย นางต้องเป็นกังวลใจเป็นธรรมดา”
“ตามที่พ่อตากล่าวมา ภายหลังหากข้าต้องเดินทาง ข้าจะส่งจดหมายกลับมาหาอวิ๋นอวิ๋นแน่นอน”
“อืม เช่นนี้ก็ดี เจ้าเพิ่งกลับมาพักผ่อนเสียเถิด ข้าเองก็ต้องกลับแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดจะเข้าไปห้าม แต่หนานกงเย่ก็พูดขึ้น : “อยู่ต่อเถิด พวกเรารับอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน พูดคุยกัน หลายวันมานี้ข้าไม่อยู่ ต้องขอบพระทัยพ่อตา ท่านเองก็เหนื่อยเช่นกัน
ข้าคิด หากผ่านไปสองสามวันจะไปรับพ่อตาเข้าจวน ยิ่งไปกว่านั้นครรภ์ของอวิ๋นอวิ๋นครั้งนี้จะให้กำเนิดลูกได้กี่คน ยังมิสามารถยินยันได้แน่ชัด หากข้างกายไม่มีคนดูแล คาดว่าคงไม่ได้นัก
หากพ่อตาอยู่ด้วย ก็สามารถคอยดูแลได้บ้าง
พอให้กำเนิดเด็กออกมา พ่อตาคงต้องช่วยเลี้ยงดูบ้าง หากโตขึ้นก็จะพาไปที่จวนแม่ทัพ ให้พ่อตาสอนวิชาป้องกันตัวให้พวกเขา”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะ ดูไม่ออกเลยว่าหนานกงเย่จะเป็นคนช่างพูดเช่นนี้ พูดจนเสด็จพ่อของนางรู้สึกดีไม่น้อย
คำก็พ่อตาสองคำก็พ่อตา เสด็จพ่อของนางยิ้มแก้มจะปริแล้ว
พูดถึงเรื่องลูกแล้ว ก็พูดไปถึงจิตใจของฉีเฟยอวิ๋น นางเองก็เห็นด้วยมากเช่นกัน
แม่ทัพฉีอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก : “ไม่ได้ เป็นลูกหลานของกษัตริย์ ต้องอย่าสะเพร่า ข้าช่วยพวกเจ้าดูแล่ได้ แต่เรื่องไปที่จวนแม่ทัพ ไปเล่นได้ มิจำเป็นต้องไปอยู่ด้วยหรอก ศิลปะการต่อสู้ค่อยๆเรียนรู้ก็ได้ ปูพื้นฐานดีๆตั้งแต่น้อยก็เพียงพอ จะฝึกฝนเป็นนักสู้ทุกคนได้อย่างไรกัน
เมืองต้าเหลียงต้องการคนมีความสามารถ มิใช่นักสู้นะ
ต้องฝึกสอนอย่างรอบคอบ ให้มาช่วยงานเมืองต้าเหลียงถึงจะดี”
แม่ทัพฉีตั้งความหวังแก่หลานๆของตนไว้สูง ต้องไม่สะเพร่าเป็นธรรมดา