องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 395 ระบบได้อัพเกรด
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 395 ระบบได้อัพเกรด
ฉีเฟยอวิ๋นยังคงสนทนาหัวข้อของนาง: “ข้าก็ตกหลุมรักเช่นนี้และชื่นชอบในคนผู้นั้น
น่าเสียดายขณะที่ข้าชื่นชอบเขา เขาได้ตกตึกสูงลงมาสิ้นชีพซะแล้ว
แล้วก็จากลาไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้และไร้ซึ่งชีพจรอีกต่อไป ”
หนานกงเย่หันกลับมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ยิ้ม: “ใช่ ขณะที่ข้านั้นชื่นชอบเขาเขาก็ได้สิ้นชีพซะแล้วและขณะที่เขาสิ้นชีพนั้นอายุมากกว่าข้าผู้ที่เขาไม่รู้จักตั้งยี่สิบกว่าปี พวกเราถือว่าเป็นผู้ที่ชื่นชอบที่ไร้ข้อจำกัดใดๆ
มิใช่ว่าน่าเสียดายแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ข้าชื่นชอบในความสูงส่งสง่างามของเขา ชื่นชอบในความเฉลียวฉลาดของเขา ชื่นชอบในความไร้ซื้อตรงเดียงสาของเขา รวมทั้งสามารถยอมรับในเรื่องที่เขารักบุรุษผู้หนึ่งได้”
หนานกงเย่เดินไปนั่งลงตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น เลิกคิ้วขึ้นและมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าอันดีขึ้น รักในบุรุษ?
ฉีเฟยอวิ๋นรินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้หนานกงเย่: “เขาชื่อจางกั๋วหรงและเสียชีวิตด้วยอาการซึมเศร้า ในสมัยของข้านั่นเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แล้วหลังจากการรักษาก็มักจะเกิดอาการขึ้นได้เป็นประจำ
เขาเป็นผู้ที่สง่างามและมองโลกในแง่ดี เขาเป็นผู้ที่ใจกว้างยิ่งนัก และข้าเข้าใจในตัวเขาจากในโทรทัศน์ ในหนังสือ และในภาพยนตร์ของเขารวมทั้งเพลงของเขา! ”
ฉีเฟยอวิ๋นร้องเพลงให้หนานกงเย่เพลงหนึ่ง แม้ว่าหนานกงเย่จะฟังไม่เข้าใจแต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ว่าฉีเฟยอวิ๋นยังคงรู้สึกเสียดาย
“แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจในจังหวะดนตรีของเจ้า แต่ดูเหมือนว่าเขาผู้นี้ซึ่งร้องเพลงประเภทนี้ก็ไม่ใช่คนเช่นที่เจ้ากล่าว
เพลงนี้ฟังดูโศกเศร้ายิ่งนัก”
“เพลงนั้นก็ยังสะท้อนถึงความรู้สึกของคนผู้หนึ่ง แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ข้าจดจำได้คือคำกล่าวในเพลงของเขา เนื่องจากข้ามีความฝันถึงได้เก็บท่านไว้ในใจ
ท่านอ๋องแม้ว่าข้าจะออกไปแต่ข้าก็ไม่มีวันที่จะไม่กลับมา
เนื่องจากมีท่านอยู่ที่นี่ ”
หนานกงเย่เบือนหน้าออก: “อ้อมเป็นวงกว้างขวางเช่นนี้ก็เพียงเพื่อหลอกลวงข้า”
“หากว่าท่านอ๋องคิดเช่นนั้นข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นกลับไปยังห้องและหนานกงเย่ก็ตามกลับไปกอดฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้ เขาไม่สมัครใจปล่อยมือแต่เขากล่าวว่า: “หากอวิ๋นอวิ๋นนอนหลับแล้วไม่กลับมา ข้าจะไปหาท่านพ่อตาแล้วโขกศีรษะซะให้ตาย!”
ฉีเฟยอวิ๋นอ้าปาค้างแล้วหันไปมองยังใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเย่: “วางใจเถอะ ข้าหาวิธีกลับมาได้แล้ว หากหัวหน้ากล้าทำสิ่งใดเรื่อยเปื่อยข้าจะใช้ความตายบังคับเขา เขาก็ไม่กล้าแล้ว”
“หืม หรือไม่พระชายาหาวิธีพาข้าไป ข้าจะได้นำเขากลับมาด้วย” ดวงตาของหนานกงเย่ลุกเป็นไฟ ฉีเฟยอวิ๋นมีลางสังหรณ์ว่าหากพาไปได้จริงเขาจะสังหารซูมู่หลง
ฉีเฟยอวิ๋นเขย่งปลายเท้าขึ้นแล้วจุมพิตหนานกงเย่ครั้งหนึ่ง
เขาไม่รู้และนางเองก็หวาดกลัวมากเช่นกัน
หากว่านางไม่กลับมานั้นเพียงเพื่อยาแค่นัันช่างไม่คุ้มค่านัก แต่นึกถึงชีวิตหนึ่งของเสด็จอาใหญ่แล้วหากไม่กลับไปก็นับว่าผิดบาปมหันต์
ชีวิตคนนั้นใหญ่เท่าท้องฟ้า ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตคน
แม้ว่านางได้กว้างไปบนเส้นทางของการทำลายแล้ว แต่ผู่ที่ควรจะรักษาก็ต้องรักษา
“ท่านอ๋องวางใจเช่นไรก็ต้องมีโอกาสเสมอ เมื่อมีโอกาสข้าจะนำหัวหน้ามาด้วยเป็นแน่ จากนั้นให้ท่านอ๋องลงมีดสามร้อยหกสิบแผลให้แต่ละแผลบาดลึกถึงยังกระดูก ให้หัวหน้าอยู่ไม่ได้ตายก็ไม่ได้ ให้ท่านอ๋องเพลิดเพลินให้เต็มที่”
“เจ้าต้องการให้ข้าเพลิดเพลินให้เต็มที่หรือต้องการให้ข้าตกใจจนตาย ข้าต้องการจะสังหารเขาให้ตายแต่ข้าไม่ได้น่ารังเกียจเช่นนั้นถึงจะคิดหาวิธีทรมานเขาให้ตายเช่นไรอยู่ในใจได้ตลอดทั้งวัน ”
“ท่านอ๋องมีหรือไม่นั้นไม่รู้แต่ว่าครั้งนี้ท่านอ๋องอย่าได้กังวลไป บอกว่าครรภ์ของข้ากระทบกระเทือนแล้วท่านอ๋องเพียงแค่ต้องคอยเฝ้าดูแลก็พอ”
“ข้าต้องคอยเฝ้าดูแลอยู่แล้ว อวิ๋นอวิ๋นจำไม่ได้ว่าต้องกลับมาข้าก็จะไปหาท่านพ่อตาจากนั้นโขกศีรษะซะจนตาย!”
“ท่านอ๋อง ข่มขู่มากนักช่างไร้ความหมาย”
“ข้าก็ไร้ซึ่งหนทางแล้วเช่นกัน”
“ได้ ท่านอ๋องเป็นผู้ถูก”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนอนลงยังฝั่งหนึ่ง ถึงช่วงเวลานี้หนานกงเย่ถึงได้นอนลงแล้วจับมือฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้และอาลัยอาวรณ์มากขึ้น: “อวิ๋นอวิ๋น ข้าก็อยากไปด้วยพาข้าไปดูด้วยจะเป็นเช่นไรไป?
“ท่านอ๋อง หากข้าสามารถพาท่านไปได้ข้าพาท่านไปตั้งนานแล้ว เห็นท่านต้องการรู้เรื่องของอนาคตโดยธรรมชาติแล้วก็ต้องอยากพาท่านไป แต่ว่าข้าไร้ซึ่งหนทาง”
ฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่และหนานกงเย่ก็เข้านอนแล้วด้วย ผู้หนึ่งอยู่ด้านในและอีกผู้หนึ่งอยู่ข้างนอก
หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋นเอาไว้แน่น: “ลองดูจะเป็นเยี่ยงไร?”
เมื่อเห็นหนานกงเย่ตั้งตารอเช่นนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่เต็มใจที่จะตัดรอนต่อเขา ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขานั้นตั้งหน้าตั้งรอราวกับเด็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้แต่พยักหน้า: “เช่นนั้นพวกเราลองดู แต่หากว่าท่านอ๋องไม่สามารถไปได้ก็ไม่ต้องเศร้าเสียใจเช่นไรแล้วก็ต้องสามารถไปได้”
“ข้ารู้ เริ่มกันเถอะ”
หนานกงเย่หลับตาลง เขานอนหลับไปก่อนแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังนอนตะแคงข้างกอดเอวของหนานกงเย่ไว้โดยกอดเอาไว้แน่น คิดว่าจะไปหายารักษาอาการซึมเศร้าแล้วนอนหลับไป
ครั้งนี้เมื่อฉีเฟยอวิ๋นนอนหลับไปราวกับว่าถึงย่านใจกลางเมืองที่ครึกครื้นห้อมล้อมไปด้วยการสัญจรไปมารวมทั้งผู้คนที่พลุกพล่าน เธอไปอยู่ในเมืองที่มีเสียงดังอึกทึก
แต่ว่าฝั่งตรงข้ามก็เป็นโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแล้วลูบคลำร่างกายและมองเสื้อผ้าที่สวมใส่ โชคดีที่ไม่ใช่ชุดของคนท้องตัวใหญ่ในจวนอ๋องเย่ชุดนั้น
เธอสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา กางเกงขายาวพร้อมเสื้อแขนสั้นและเสื้อกันลมอยู่ด้านนอก
เมื่อมองไปที่ใบไม้สีเหลืองบนต้นไม้ ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้แล้วว่าเวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
กำลังคิดที่จะไปดูที่โรงพยาบาล เพิ่งก้าวไปก็ได้ยินคนเรียกอยู่ข้างหลังเธอว่า: “อวิ๋นอวิ๋น”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงแล้วหันหลังกลับไปกะทันหัน: “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่สีหน้าไร้เดียงสาและสวมเสื้อคลุมขนาดใหญ่ ผมสีดำของเขาโดดเด่นเป็นพิเศษแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รีบเดินเข้าไป
“ท่านอ๋อง……”
“นี่ก็คืออนาคต?” หนานกงเย่ยังคงตกตะลึงอยู่ เขาสามารถตามฉีเฟยอวิ๋นมายังอนาคตได้
เสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋นนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นดังเช่นเดียวกับที่นางกล่าว
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นตกใจแย่แล้ว: “เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”
“อวิ๋นอวิ๋น……เจ้าไม่ชอบที่ข้ามาหรือ?” หนานกงเย่หรี่ตาลงเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มแบบทำอะไรไม่ถูกขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้วยื่นมือไปหยิกหนานกงเย่
“เจ็บมั้ย?”
หนานกงเย่ขมวดคิ้ว: “เจ็บ!”
“น่าแปลก!”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจเป็นเพราะระบบที่นำพาตัวเองเพราะเธอสามารถนำกล่องยาไปจากที่นี่ได้ดังนั้นจึงสามารถพาหนานกงเย่มาที่นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ายังมีช่องว่างของระบบแบบนี้ด้วย เป็นไปได้ไหมว่าระบบได้รับการอัพเกรดแล้ว?
มองดูใบหน้าเรียวเล็กของฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนไปเปลี่บยมาอยู่พักหนึ่ง สีหน้าของหนานกงเย่ก็ดูไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“อวิ๋นอวิ๋น เช่นนี้คือไม่ชอบที่ข้าติดตามมาหรือว่าอวิ๋นอวิ๋นอยู่ที่นี่มีเรื่องใดปิดบังข้า?”
“ที่ไหนกัน?” ฉีเฟยอวิ๋นโต้กลับทันที แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอเกิดความคิดขึ้นมาว่าแต่งตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จากนั้นยื่นมือออกไปจูงหนานกงเย่ไปที่โรงพยาบาล ขณะเดินไปฉีเฟยอวิ๋นก็ฝากฝังคำพูดไปด้วยว่า: “ไปดูกันก่อน ท่านอย่าได้กล่าวสิ่งใด”
หนานกงเย่ถูกจูงไปมองดูโดยรอบๆ
เขาต้องการมองดูสิ่งต่างๆของที่นี่ให้มาก
ฉีเฟยอวิ๋นพาหนานกงเย่ไปถึงที่โรงพยาบาล กลุ่มคนจ้องมองไปที่พวกเขาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายว่า: “สามีของฉันเขาป่วย”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจแล้วก็จากไปกันหมด
ในสังคมสมัยปัจจุบัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น อย่าว่าแต่เจ็บป่วยแม้ว่าจะไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ผู้คนที่แต่งกายเหมือนหนานกงเย่ก็มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง และเครื่องแต่งกายโบราณก็ได้กลายเป็นกระแสนิยมในตอนนี้มาช้านานแล้ว
เพียงแค่ปรากฏตัวในที่สาธารณะก็ได้รับผลตอบรับมากหน่อย