องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 403 กระต่ายกลัวเมีย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 403 กระต่ายกลัวเมีย
ฉีเฟยอวิ๋นถูกใครบ้างปลุกให้ตื่น นางตกใจจนต้องตาลีตาเหลือกลุกพรวดขึ้นมา หงเถาร่ำไห้อย่างหนักหน่วงอยู่หน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้ารอช้าแต่อย่างใด
ลงจากเตียงและเดินตรงไปยังหน้าประตูทันที หนานกงเย่รีบหยิบเสื้อคลุมตัวนอก มาคลุมตัวให้ฉีเฟยอวิ๋น
“อย่าให้ตัวเย็นเดี๋ยวจะเป็นหวัด ค่อย ๆ เดินด้วย”
หนานกงเย่กวาดตามองไปยังในลานกว้าง
หงเถาร่ำไห้พลางกล่าวว่า : “พระชายา แม่นางอวิ๋นจิ่นเกิดเรื่องใหญ่แล้วเพคะ”
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าก็รีบตามไปละ” ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ท้องของนางใหญ่มากแล้ว หลายวันมานี้ก็ตัวพองจนเหมือนที่เป่าลมอยู่แล้ว
หนานกงเย่โน้มตัวลงไปอุ้มนางขึ้นมา และตรงไปยังเรือนจู๋อวิ๋นไจ
เมื่อมาถึงด้านในก็เห็นมู่เหมียนกำลังกุมข้อมือของอวิ๋นจิ่น สีหน้าร้อนใจได้เปลี่ยนเป็นซีดเผือดลง
ตอนนี้หนานกงเย่ไม่มีเวลาจะไปสนใจมู่เหมียนที่อยู่ในลานหลังจวนอ๋องเย่ยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ เมื่อเข้าไปก็วางฉีเฟยอวิ๋นลงเพื่อให้นางไปตรวจอาการของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นแต่งกายด้วยชุดยาวสีแดง นั้นคือเครื่องยศสตรีสีแดงเข็มในพิธีแต่งงาน
ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีสันอ่อนบาง มือทั้งสองข้างวางด้านหน้า ราวกับกำลังหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น
มู่เหมียนร้องไห้ด้วยความร้อนใจ : “เร็วสิ! เจ้าจะมัวยืนมองให้มันได้อะไร รีบตรวจอาการให้นางสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปตรวจอาการด้วยความร้อนใจ พบว่าอีกฝ่ายโดนวางยาพิษ
ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบหยิบยาลูกกลอนแก้พิษเม็ดหนึ่งยัดใส่ปากของอวิ๋นจิ่นทันที
ลมหายใจของอวิ๋นจิ่นค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและออกคำสั่งว่า : “ยกตัวนางเข้าไป”
อวิ๋นจิ่นถูกยกเข้าไปในห้อง ฉีเฟยอวิ๋นกันผู้อื่น และเดินตามอวิ๋นจิ่นเข้าไปในห้อง
เวลานี้มู่เหมียนเพิ่งจะสงบสติลง
หนานกงเย่ประคองฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง จากนั้นก็มองไปทางมู่เหมียนอย่างไม่สบอารมณ์นัก ตราบใดที่มู่เหมียนยังไม่แต่งงานออกเรือน เขาก็ยังไม่มีทางวางใจ
หนานกงเย่ร้อนใจแทนมู่เหมียน เหตุใดเว่ยหลินชวนถึงยังไม่ชมชอบนาง
มู่เหมียนไม่มีเวลามาสนใจหนานกงเย่แล้ว กลับดื่มน้ำด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า : “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากลับมา ข้าจึงออกมาเดินเล่น เมื่อเห็นพวกเจ้าเข้าห้องพักผ่อนแล้วเลยไม่อยากรบกวน ข้าจึงไปหาอวิ๋นจิ่น คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เข้ามาจะเห็นนางนอนฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วแน่น : “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ที่ไม่ปฏิเสธองค์หญิงใหญ่ เห็นอวิ๋นจิ่นอ่อนโยนเพียงนี้ แต่นิสัยของนางห้าวหาญมาก ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ตนเองไม่ได้ชอบ”
“แต่งงาน?” มู่เหมียนแปลกใจ : “แต่งงานกับผู้ใด?”
“เว่ยหลินชวน องค์หญิงใหญ่สนใจอวิ๋นจิ่น คิดอยากให้อวิ๋นจิ่นแต่งงานกับเว่ยหลินชวน แต่อวิ๋นจิ่นไม่ยอม”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาเป็นห่วง แม้ว่าจะขจัดพิษได้แล้วแต่นางก็ยังไม่ฟื้นทันที ดูท่าคงจะตั้งใจไว้แล้ว จึงเลือกที่จะดื่มเหล้าพร้อมยาพิษ คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
แต่มู่เหมียนมาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นนางคงจะไม่มีลมหายใจแล้วจริง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางมู่เหมียน ซึ่งเวลานี้มู่เหมียนกำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจ ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม
มู่เหมียนเงยหน้า : “ตอนที่มาถึงข้าเจอเข้ากับท่านแม่ทัพฉีด้วย เลยคิดว่าท่านแม่ทัพฉีอาจจะพูดบางอย่าง”
“ท่านพ่อของข้า?” ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ หมุนตัวกลับไปมองหนานกงเย่
“ท่านพ่ออยู่ในจวนด้วยเช่นนั้นหรือ?”
หนานกงเย่เองก็แสดงสีหน้างุนงง : “ไม่รู้สิ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังประตู เวลานี้อาอวี่ยืนอยู่หน้าประตู นางจึงสั่งให้อาอวี่ไปตรวจดูว่าอีกฝ่ายอยู่ในจวนจริงหรือไม่
อาอวี่กลับมาอย่างรวดเร็ว และรายงานว่าไม่เจอท่านแม่ทัพฉี
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางมู่เหมียน : “แน่ใจนะ?”
“แล้วข้าจะโกหกให้ได้อะไรเล่า เห็นก็บอกว่าเห็น ตอนที่ข้ามาถึงแม่ทัพฉีเพิ่งจะออกไป เดิมทีพวกเราต้องเดินสวนกัน แต่ข้าเห็นเขาสีหน้าดูเป็นกังวลมาก ข้าจึงหลบเลี่ยง
รอให้ท่านแม่ทัพฉีเดินจากไป ข้าถึงจะเข้าไปหาอวิ๋นจิ่น”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับแปลกใจ : “เหตุใดท่านพ่อถึงเดินออกมาจากห้องของอวิ๋นจิ่น?”
ตอนที่เอ่ยนั้นฉีเฟยอวิ๋นได้มองไปทางหนานกงเย่ ซึ่งหนานกงเย่ก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจว่า : “มองข้าด้วยเหตุใด? ข้าไม่ใช่เทพเซียนนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันหน้าไป : “อาอวี่ จงไปจวนท่านแม่ทัพ ไปรับท่านพ่อของข้ามาเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ไปเชิญท่านแม่ทัพฉีอย่างรวดเร็ว ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็นั่งรอให้อวิ๋นจิ่นฟื้นขึ้นมา
ในตอนที่ท่านแม่ทัพฉีมาถึงนั้นอวิ๋นจิ่นยังคงมึนเมา เมื่อรู้ว่าอวิ๋นจิ่นเกิดเรื่องท่านแม่ทัพฉีจึงเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“อวิ๋นอวิ๋น” สองพ่อลูกเจอหน้ากันแต่ท่านแม่ทัพฉีกลับเข้าไปดูอาการของอวิ๋นจิ่นก่อน เมื่อเห็นอวิ๋นจิ่นหายใจคงที่ไม่เป็นอะไรเขาจึงได้โล่งใจ
เวลานี้ภายในห้องไม่มีคนนอก ฉีเฟยอวิ๋นจึงเชิญท่านแม่ทัพฉีนั่งลง : “ท่านพ่อ เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพฉีเกิดอาการสับสน แต่เมื่อเขาได้ยินบุตรสาวเอ่ย จึงเดินไปนั่งลงด้านข้าง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามท่านแม่ทัพฉีต่อหน้าของทุกคน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางเชื่อว่าท่านพ่อของตนบริสุทธิ์ ดั่งสำนวนที่ว่า ตัวตรงไม่หวั่นเงาเฉเฉียง นางเชื่อว่าท่านพ่อของนางบริสุทธิ์ใจจริง
“ท่านพ่อ ก่อนที่อวิ๋นจิ่นจะเกิดเรื่องท่านมาพบอวิ๋นจิ่นหรือไม่เจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามตรงประเด็นทันที
ท่านแม่ทัพฉีเองก็ซื่อสัตย์ : “ข้ามาพบนาง หลายวันมานี้ข้าไปมาหาสู่อยู่ในจวนตลอด หากเจ้าไม่เป็นอะไรข้าก็ตั้งใจจะกลับจวนของตน
จึงถือโอกาสตอนที่เจ้าอยู่คิดจะไปบอกกล่าวเจ้า แต่มันไม่ใช่ ยังไม่ทันที่จะพบเจ้า ก็พบกับอวิ๋นจิ่นเสียก่อน
อวิ๋นจิ่นกำลังกราบไหว้อยู่ด้านนอกเรือนสวนดอกกล้วยไม้ จากนั้นก็กลับไป ข้าเห็นนางมีสีหน้าอ้างว้างเดียวดาย กลัวว่าจะเกิดเรื่อง จึงได้เดินตามนางไปยังเรือนจู๋อวิ๋นไจ ไม่คิดว่านางจะรู้ตัว
นางจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะ และเชิญข้าเข้าไปร่วมโต๊ะด้วย
เนื่องด้วยเวลาที่ดึกมากแล้วข้าจึงไม่เข้าไป ข้าจึงพูดคุยกับนางแค่สองสามประโยค บอกว่าเว่ยหลินชวนก็ไม่เลวเลยนะ จากนั้นก็กลับไป
คิดว่านางคงจะยังดื่มกินอยู่ที่เดิม คงจะไม่เป็นอะไร ใครจะไปรู้เล่าว่านางจะคิดตื้นเพียงนี้?”
ท่านแม่ทัพฉีเสียใจมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งได้รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร จึงกล่าวกับท่านแม่ทัพฉีว่า : “ท่านพ่อ ท่านทำดีแล้ว ดึกดื่นค่อนคืนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ตระเตรียมอาหารและเครื่องดื่มมึนเมาเชื้อเชิญท่านเข้าไปกินด้วยกัน ทั้งยังมาคำนับถึงหน้าเรือนของข้า ท่านไม่คิดบ้างหรือ ว่านั้นคือเรื่องที่คนทั่วไปเขาทำกัน?”
ท่านแม่ทัพฉีพยักหน้าหงึกหงัก : “ไม่คิด”
“ท่านพ่อ นี่ก็ดึกมาแล้ว รบกวนท่านพ่อดึกดื่นค่อนคืน อย่าเพิ่งกลับเลย นอนค้างที่นี่เถอะเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพฉีพยักหน้า : “เช่นนั้นเจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ท่านแม่ทัพฉีรู้สึกเสียใจอย่างมาก จากนั้นก็ลุกขึ้นและกล่าวขึ้น : “แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน* อาการป่วยขององค์หญิงใหญ่ก็ยังไม่ทุเลา!”
เมื่อท่านแม่ทัพฉีเดินจากไปฉีเฟยอวิ๋นจึงได้หันไปมองอวิ๋นจิ่น อย่างไม่วางใจ จากนั้นก็กล่าวกับมู่เหมียนว่า : “มู่เหมียน อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อน ส่วนคนอื่น ๆ กลับไปพักผ่อนเถอะ”
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
หนานกงเย่ไม่วางใจมู่เหมียน
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่อยากต่อรอง จึงออกคำสั่งกับคนอื่น จากนั้นก็เอนกายลงนอน มู่เหมียนเองก็เอนกายลงนอนอีกด้าน ส่วนหนานกงเย่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านข้างเพียงลำพัง
เมื่อฟ้าสว่างอวิ๋นจิ่นก็ได้ฟื้นขึ้นมา นางคิดว่าตนเองตายไปแล้ว
หลังจากที่ลุกขึ้นมานั่งเห็นฉีเฟยอวิ๋นและมู่เหมียนจึงตกใจไม่น้อย
“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อวิ๋นจิ่นตกใจอย่างมาก คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นและมู่เหมียนเกิดเรื่อง
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงด้านข้าง มีอาหารถูกตระเตรียมอยู่บนโต๊ะ มู่เหมียนหิวแล้ว เตรียมจะกิน
เมื่อมู่เหมียนนั่งลง ก็หยิบตะเกียบและกินอาหารก่อน : “หากเจ้าอยากตายก็ไปตายไกล ๆ หน่อย หากเจ้าตายอยู่ในจวนอ๋องเย่ เคยคิดถึงจุดจบของจวนอ๋องเย่บ้างหรือไม่? องค์หญิงใหญ่จะปล่อยจวนอ๋องเย่ไปง่าย ๆ หรือไม่?”
อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า : “นายท่านอยู่ ย่อมไม่เป็นอะไร หากข้าตายไป จวนอ๋องเย่จะไม่มีปัญหาแน่นอน”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางอวิ๋นจิ่น แต่กลับเข้าใจ นางไม่อยากแต่งงาน หากจวนอ๋องเย่เกิดเรื่อง คงไม่มีใครยอมสู่ขอนาง
การตายคือทางที่ดีที่สุดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบตะเกียบคีบผักชิ้นหนึ่งให้หนานกงเย่ : “ท่านอ๋องมีโชควาสนา ที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับผู้นคนมากมายเพียงนี้เลยนะเพคะ?”
หนานกงเย่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป อยู่ไปก็คงไม่มีความหมาย จึงลุกขึ้นและใช้ข้ออ้างขอตัวก่อน : “พวกเจ้ากินกันเถอะ ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ”
หนานกงเย่สวมรองเท้า และเดินจากไป
มู่เหมียนส่ายหน้าด้วยความแปลกใจ : “เจ้าบอกว่าเขาไม่กลัวเมีย นี่ไม่เรียกว่ากลัวเมีย แล้วให้เรียกว่าสิ่งใด?”
แค่คำเดียวก็วิ่งหางจุกก้นยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก นี่มันกลัวเมียชัด ๆ!
ฉีเฟยอวิ๋นขี้เกียจจะสนใจ กินอาหารเช้าต่อไป
อวิ๋นจิ่นลงจากเตียงและเดินมาคุกเข่าให้กับฉีเฟยอวิ๋น
*แตงที่ฝืนเด็ดจากต้น ย่อมไม่หวาน หากฝืนทำสิ่งที่มีเงื่อนไขไม่สมบูรณ์พร้อม ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาไม่ดี