องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 422 เรื่องขายหน้าของพ่อตาและลูกเขย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 422 เรื่องขายหน้าของพ่อตาและลูกเขย
ท่านแม่ทัพฉีกล่าวอย่างอิ่มเอิบใจว่า “ตอนที่พ่อมา เห็นครอบครัวชนบทที่หนึ่งเลี้ยงหมู ห่างจากพวกเราไม่ได้ไกลมาก พ่อว่า ช่วงเช้าพ่อจะไปซื้อกลับมา วันหนึ่งฆ่าหนึ่งตัว เอาตับหมูมาให้เจ้าบำรุงร่างกาย อย่างอื่นก็เอาให้ผู้อื่นกิน”
“หนึ่งตัวพอคนมากมายกินหรือเจ้าคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ
“จะให้พอนั้นมันไม่พอหรอก แต่ว่าในกองกำลังทหารมีพ่อครัวออกไปซื้ออาหาร ทุกวันมีเนื้อที่เพียงพอกิน ชายแดนฝั่งนี้มิสู้กับตอนที่พ่อไปสู้รบเมื่ออดีต พ่อเลี้ยงหมูได้ดีด้วย จะต้องปกป้องชายแดน ต้องรู้จักพอเพียง ปรารถนาฝ่าบาทประทานให้ นั่นต้องรอจนถึงเมื่อไหร่กัน”
“ยังเป็นท่านพ่อที่มีความสามารถมากเจ้าค่ะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าที่อิ่มเอิบภาคภูมิใจ ท่านพ่อของเธอเก่งมาก
ท่านแม่ทัพฉีรีบดึงหน้ากล่าวว่า “ต่อให้เจ้าพูดดียังไง พ่อก็ไม่ยินยอมให้เจ้าไปหรอกนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสับสนมึนงง เป็นเวลานานถึงได้มีสติปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา ท่านพ่อของเธอยังคิดเรื่องช่วยเจ้าแห่งอีกาอยู่เลย
งั้นฉีเฟยอวิ๋นเลยพูดอีกทำให้ท่านแม่ทัพฉีตกใจเล่น เพื่อกลั่นแกล้งหยอกล้อไปเลยดีกว่า
ฉีเฟยอวิ๋นจงใจกล่าวออดอ้อนว่า “ท่านพ่อ เจ้าแห่งอีกามีบุญคุณต่อข้า ข้าจะไม่สนใจเขาได้อย่างไรกันเล่า”
“เช่นนั้นเจ้าก็ให้ผู้อื่นไป ”ท่านแม่ทัพฉียืนกรานไม่เห็นด้วย
“เชอะ เช่นนั้นข้าจะลักลอบแอบออกไป”
“พ่อจะดู จะดูว่าเจ้าจะออกไปอย่างไร?”
กินอิ่มแล้วสองพ่อลูกได้ถกเถียงกันอยู่ด้านในกระโจมขึ้นมา ตอนที่อวิ๋นหลัวฉวนรอคนมานั้นฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังเริ่มถกเถียงอย่างไม่สบอารมณ์เช่นกัน
จนมีคนเข้ามารายงานฉีเฟยอวิ๋นถึงได้เก็บอาการมากขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง เมื่ออวิ๋นหลัวฉวนมองแล้วรู้สึกว่าแปลก ตอนที่เข้ามาได้ยินชัดเจนว่ามีเสียงคนถกเถียงกัน แต่ตอนนี้ท่านพี่เสียนเฟยคล้ายดั่งคนที่มีความสุข หน้าตานั้นคือยิ้มอย่างสดใสมาก
ส่วนท่านแม่ทัพฉีไม่กล้าพูดเลย เขานั่งอยู่ด้านนั้นคล้ายดั่งว่าท้องฟ้าจะตกล่วงลงมา ใบหน้าอึมครึม คล้ายดังคลื่นที่โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง น่ากลัวเป็นอย่างมาก
“ท่านพี่เสียนเฟย เมื่อคืนท่านบอกว่าอยากไปช่วยเรื่องเจ้าแห่งอีกา ท่านคิดอย่างไรบ้างแล้ว ท่านดูว่าจะส่งผู้ใดไปหรือ?”
แม้อวิ๋นหลัวฉวนจะเป็นบุคคลที่มีความสามารถด้านการเป็นผู้นำ มีความสามารถจัดการกองกำลังทหาร แต่ทว่ากลับเป็นคนที่รู้สถานการณ์ แน่นอนว่ามาที่กระโจมของฉีเฟยอวิ๋นกับท่านพ่อของฉีเฟยอวิ๋น นางจะต้องฟังการเตรียมการของพวกเขา
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองท่านแม่ทัพ แล้วจงใจกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนกับเจ้าแห่งอีกาได้ ข้าว่าข้าไปเอง”
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำให้พ่อโมโห พูดดีไม่น่าฟัง ห้ามไป หากว่าเจ้าไป พ่อจะไปตาย!”ท่านแม่ทัพฉีกล่าวด้วยความโมโห กระทืบเท้าตึงตัง พอเขาตะคอก คนทั้งกระโจมต่างพากันชะงักงัน
ท่านแม่ทัพจะไปตายหรือ?
พอฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าท่านพ่อของเธอโกรธจริงแล้ว เลยได้แกล้งเป็นกังวลห่วงใย ลุกขึ้นกล่าวปลอบประโลมเกลี้ยกล่อมว่า“เช่นนั้นข้าไม่ไปแล้ว พอใจหรือยังเจ้าคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นหยอกล้อเพียงพอแล้ว และก็เอาพ่อของเธอมากลั่นแกล้งบ่อยมากไม่ได้หรอก
ท่านแม่ทัพฉีมองบุตรสาวด้วยความหงุดหงิดกล่าวว่า “พูดแล้วนะว่าไม่ไป เกี่ยวก้อยแปะโป้งสัญญากัน!”
ท่านแม่ทัพฉียอกมือใหญ่ขึ้น คนกลุ่มหนึ่งเบิกตากว้างมองท่านแม่ทัพฉี อีกนิดหนึ่งเกือบจะล้มแล้ว
ภายในใจของฉีเฟยอวิ๋นมีเพียงความตื้นตันใจ
เธอยกมือขึ้นให้แก่ท่านแม่ทัพฉี และกล่าวว่า “เช่นนั้นเกี่ยวก้อยแปะโป้งสัญญา ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ”
“หนึ่งร้อยปีห้ามเปลี่ยนแปลง”ท่านแม่ทัพฉีดึงสองครั้ง แล้วกดนิ้วหัวแม่มือลงที่หัวแม่มือของฉีเฟยอวิ๋น ทอดถอนหายใจอกมาอย่างโล่งใจถึงได้ปล่อยมือออกจากฉีเฟยอวิ๋น
เขาไม่ได้กลัวคนหัวเราะเยาะ จากนั้นท่านแม่ทัพฉีได้เดินไปนั่งอีกด้านทันใดนั้นหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“ในเมื่ออวิ๋นอวิ๋นไม่ไปแล้ว เช่นนั้นก็เลือกคนในกลุ่มของพวกเจ้าไปเถอะ”พอท่านแม่ทัพพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนล้วนเสียความรู้สึกว่าท่านแม่ทัพไร้จิตใจความรู้สึก ห่วงใยบุตรสาวของตนเองเกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ทว่ากลับให้พวกเขาเลือกคนออกมาเพื่อไปที่ฝั่งทหารของศัตรูช่วยชีวิตของเจ้าแห่งอีกา
ไร้จิตใจความรู้สึก ไร้จิตใจความรู้สึกเสียจริง!
แต่แม้ว่าท่านแม่ทัพจะไร้จิตใจความรู้สึกแค่ไหน ก็ยังมีคนลุกขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพ ข้ายอมที่จะไปสถานที่นั้นขอรับ”เฉินอวิ๋นเจี๋ยแบกหน้ารับเป็นคนแรก
ท่านแม่ทัพฉีมองแล้วลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าสู้รบก็พอได้ แต่วู่วามอยู่บ้าง สุขุมไม่พอ”
เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าปกติขึ้นมากแล้ว เธอรู้สึกว่าสายตาของท่านพ่อเฉียบแหลมเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะพูดสั่นสะเทือนแทงใจดำของเฉินอวิ๋นเจี๋ยได้
ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าจะมีบางครั้งที่เฉินอวิ๋นเจี๋ยผู้นี้วู่วามเช่นกัน
หากว่ามีประสบการณ์มากมาย จะต้องเป็นบุคคลที่มีความสามารถล้ำอย่างแน่นอน
เฉินอวิ๋นเจี๋ยก้มศีรษะลงเล็กน้อย กล่าวว่า “คนอื่นไปข้าก็ไม่วางใจขอรับ”
“เลอะเทอะ หากว่าข้าไปเอง เจ้าก็ไม่วางใจหรือ?”
“……………………….ท่านแม่ทัพ”เฉินอวิ๋นเจี๋ยกล่าวด้วยสีหน้าตะลึงงัน
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าทำเรื่องวุ่นวาย หากท่านไป เช่นนั้นข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
“พ่อมิได้ทำเรื่องวุ่นวาย เรื่องนี้พ่อจะไป………”
“ท่านแม่ทัพ มีผู้ต้องการพบขอรับ”ด้านนอกกระโจมมีผู้มากล่าวรายงาน ท่านแม่ทัพขมวดคิ้วมองออกไป จากนั้นกล่าวว่า
“ผู้ใดกัน?”
“เขาบอกว่าแซ่ทัง ชื่อเหอขอรับ”
“ทังเหอหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจชั่วขณะ
ฉีเฟยอวิ๋นมองบุตรสาวแล้วกล่าวว่า “มีตราประทับหรือไม่?”
“ไม่มี มีจดหมายหนึ่งฉบับขอรับ”
“เอามาดูสิ”
คนนอกกระโจมเดินเข้ามา และนำจดหมายหนึ่งฉบับมอบให้แก่ท่านแม่ทัพฉี
ท่านแม่ทัพฉีเปิดออกและยื่นให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเหม่อลอยเล็กน้อย กล่าวว่า “เชิญเขาเข้ามาได้”
ไม่นานบุคคลที่ต้องการเข้าพบได้เข้ามา ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืนแล้วมองคนที่กำลังเข้ามา ใบหน้าของถังเหอ แต่ความสูงชัดเจนว่าไม่ใช่
“ท่านอ๋องหรือ?”
หนานกงเย่ถอดหน้ากากออก แล้วเดินเข้าไปโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นอย่างรวดเร็ว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจกล่าวว่า “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”
“อวิ๋นอวิ๋นก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ หากข้าไม่มาไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดอีก ”หนานกงเย่โกรธและผละเธอออก จากนั้นจับใบหน้าที่บวมเป่งของหญิงสาวมาจูบสัมผัสโดยไม่ได้คำนึงว่าใครอยู่ด้วยเพื่อบรรเทาความรู้สึกคิดถึงของตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นกลืนกระแอมน้ำลายลงคอ เธอเศร้าเสียใจอีกทั้งน้อยใจด้วย
“หม่อมฉันนอนฝันว่าท่านพ่อถูกสังหารตกลงจากม้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ หม่อมฉันมิกล้าบอกท่านอ๋อง เลยจำใจต้องแอบออกมาเพคะ”
“ข้าบอกว่าท่านพ่อตามิเป็นอันใด เจ้าก็มิเชื่อ เจ้าต้องการทำข้าตกใจตายอย่างแท้จริง ข้ากลับไปจะเอาโซ่เหล็กคล้องขังเจ้า เจ้าหนีออกมาอีก ข้าจะเอาศีรษะไปชนที่แห่งหนึ่งทำให้ตนเองตายเลย!”
หนานกงเย่กล่าวอย่างดุดัน คนทั้งกระโจนล้วนอึ้งจนหมด
ทุกคนล้วนถูกพ่อตาและลูกเขยคู่นี้ทำให้ตกตะลึงงันกัน คนหนึ่งเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ปกป้องบ้านเมือง คนหนึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คิดไม่ถึงว่าจะข่มขู่ภรรยาและบุตรสาวว่าจะเป็นจะตายเช่นนี้?
พูดออกไปก็เกรงว่าคนจะหัวเราะเยาะ
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่สักพักหนึ่ง รู้ว่าเขาเป็นห่วงเลยกล่าวเช่นนี้ออกมา เธอเลยกล่าวว่า “ครั้งหน้าหม่อมฉันไม่ทำแล้วเพคะ”
“ท่านพ่อตา ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”หนานกงเย่รีบหาคนเป็นพยานให้
ท่านแม่ทัพกวาดมองบุตรสาวของตน กล่าวคล้ายดั่งจะแข็งกร้าวว่า “ได้ยินแล้ว ต่อไปหากนางออกมาเช่นนี้อีก ท่านอ๋องก็ใช้โซ่เหล็กคล้องขังนางไว้ หากไม่ได้อีกท่านก็เอาศีรษะไปชนที่ใดที่แห่งตายจบชีวิตเสีย”
ทุกคนคอตกหงอยนี่คือโกรธหรือ?
แต่หนานกงเย่พยักหน้าอย่างจริงจังกล่าวว่า “บุตรเขยจำได้แม่นแล้ว!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปด้วยความรู้สึกที่น้อยใจกล่าวว่า “นี่พวกท่านไม่ใช่ว่าร่วมมือกันจัดการข้าหรือ เรือนท่านพ่อท่านแม่กลับไม่ได้ เรือนสามีไม่ต้อนรับ ต่อไปหากข้ามีอันเป็นไปพวกท่านจะใจเหี้ยมใจแข็งได้ลงคอ?”
ทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆ ท่านมีการคิดเล็กคิดน้อยกับข้า ข้าก็มีทางมีวิธีที่จะตอบโต้ท่านได้ ไม่ใครกลัวใครเลย!
อารมณ์ของหนานกงเย่และแม่ทัพฉีอึมครึมลง แววตาทั้งสองคู่ราวกับคบเพลิงมองใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋น
“หยุดกล่าวคำพูดที่เลอเทอะ”
“พูดจาเลอะเทอะ”
คำพูดด้านหน้าคือท่านแม่ทัพฉี ด้านหลังคือหนานกงเย่ พอได้ฟังคำว่ามีอันเป็นไป ท่านพ่อตาและบุตรเขาต่างพร้อมใจกันกล่าวขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้นั่งลงช้าๆ รู้ว่าตนทำผิดไปแล้ว เลยทำท่าทางสำนึกผิดกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจว่า “ข้าพูดผิดไปแล้ว”
“ท่านพ่อตา อวิ๋นอวิ๋นรู้ว่าตนเองผิดแล้ว”หนานกงเย่จงใจกล่าวโอ้อวดต่อหน้าคนอื่น
ท่านแม่ทัพฉีกล่าวว่า “ท่านก็ได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว”
ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าครอบครัวนี้กำลังทำอะไรกัน ต่างมองหน้ากันไป แล้วยิ้มออกมา
มีเพียงแต่ในใจของเฉินอวิ๋นเจี๋ยที่ไม่รู้รสชาติไร้ความรู้สึก