องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 424 พระสนมเอกเซียวเสด็จมาเยือน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 424 พระสนมเอกเซียวเสด็จมาเยือน
แต่ที่น่าโมโหก็คือเวลานี้อวิ๋นหลัวฉวนเกิดง่วงนอนขึ้นมา
หลังจากที่สับสนกันอยู่ครู่ใหญ่ อวิ๋นหลัวฉวนก็ได้เอนกายนอนขดตัวอยู่ข้างกายของท่านอ๋องตวน
เวลานี้ท่านอ๋องตวนได้ตื่นขึ้น ทันทีที่ลืมตาเขาก็ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของอวิ๋นหลัวฉวน จิตใจเกิดความว้าวุ่น แม้ว่าเส้นทางที่มานี้จะลำบากมาก แต่เขากลับรู้สึกว่ามันคือความสุขที่หาได้ยากยิ่ง
เดิมทีตามเจตนารมณ์ของน้องสาม เขาตั้งใจจะกลับไปทันที ระหว่างทางเขาได้เปลี่ยนตัวกับน้องสามให้เขากลับไปและให้น้องสามมาแทน แต่เขาอาลัยอาวรณ์ จึงดื้อดึงที่จะตามไป
ระหว่างทางน้องสามมีสีหน้าเคร่งเครียดมาก เมืองหลวงไม่มีผู้ใดที่ไว้ใจได้ เมื่อเกิดเรื่องพวกเขาจึงต้องทิ้งใต้หล้าเพื่อสตรี แต่เขาไม่สนใจอีกแล้ว
ท่านอ๋องตวนพลิกตัว ปลดกระดุมของอวิ๋นหลัวฉวน และทำการพรมจูบลงไปบนระหว่างคิ้วของอวิ๋นหลัวฉวน
ในขณะที่ตั้งใจจะพรมจูบต่อนั้น อวิ๋นหลัวฉวนก็พลันลืมตื่นขึ้น
ท่านอ๋องตวนผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะแดงระเรื่อ
อวิ๋นหลัวฉวนทำได้แค่มองไปยังท่านอ๋องตวนราวกับหลงวังวนอยู่ในห้วงความฝัน : “ท่านอ๋อง ท่านจะทำสิ่งใด?”
“ฉวนเอ๋อร์ ข้าให้สัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่ง เป็นอย่างไร?” ท่านอ๋องตวนค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้นตอน
อวิ๋นหลัวฉวนนึกถึงเรื่องที่ทำให้นางอยู่ต่อ จากนั้นก็พยักหน้า : “ขอบพระคุณท่านอ๋อง”
“แต่ ข้ามีเรื่องให้เจ้าทำ”
“แลกเปลี่ยนหรือ?” อวิ๋นหลัวฉวนชำเลืองตามองไปทางท่านอ๋องตวน เรื่องนี้จะต้องมีการแลกเปลี่ยน
ท่านอ๋องคลี่ยิ้ม : “ฉวนเอ๋อร์จะไม่รับปากข้าก็ได้ ข้าจะได้ออกไป”
“….ช้าก่อน…..” เพื่อจะได้อยู่ต่อ อวิ๋นหลัวฉวนล้วนยอมทุกอย่าง นางดึงตัวของท่านอ๋องตวนไว้
มุมปากของท่านอ๋องตวนกระตุกโค้งเล็กน้อย : “ข้าอยากได้ผู้หญิง”
“หา?”
อวิ๋นหลัวฉวนหน้าแดงก่ำ : “ที่นี่ไม่มีหรอก หม่อมฉันจะไปหามาให้ท่านอ๋องจากที่ไหนละเพคะ?”
“ไม่ต้องหาหรอก ตรงหน้าข้าก็เพียบพร้อมแล้ว” หัวใจของท่านอ๋องเต้นเร็วรัวเหมือนจะทะลุออกมา
อวิ๋นหลัวฉวนนึกบางอย่างได้อย่างฉับพลัน : “หม่อมฉันหรือ?”
“ฉวนเอ๋อร์ช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก” ท่านอ๋องตวนจูบลงไปบนใบหน้าของอวิ๋นหลัวฉวน อย่างแผ่วเบา ก่อนจะผละออก อวิ๋นหลัวฉวนกำเสื้อผ้าของท่านอ๋องตวนแน่น ด้วยใบหน้าที่ตื่นตกใจ
“ท่านอ๋อง ไม่ได้ หม่อมฉัน…..อุ๊บ…”
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ทันได้เปิดปาก หนานกงเหยี่ยนก็ประกบจูบลงบนริมฝีปากของอวิ๋นหลัวฉวนอย่างอดใจไม่ได้ ใบหน้าของอวิ๋นหลัวฉวนร้อนผ่าวยิ่งกว่าน้ำร้อน ภาพตรงหน้าว่างเปล่าในชั่วพริบตา นางจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของหนานกงเหยี่ยนอย่างเหม่อลอย หัวใจอ่อนระทวยลง เหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดอย่างไรอย่างนั้น
หนานกงเหยี่ยนผละออกชั่วครู่ : “ฉวนเอ๋อร์ ข้าให้สัญญาเจ้าหนึ่งเรื่องแล้ว เจ้าเองก็ต้องมอบกายนี้ให้กับข้า แม้ว่านี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่สองครั้งก่อนหน้านั้นล้วนเป็นตอนที่ฉวนเอ๋อร์มึนเมาครองสติไม่ได้ ข้าต้องการตอนที่ฉวนเอ๋อร์มีสติดีทุกอย่าง ได้หรือไม่?”
“ไม่……ไม่…..ไม่ได้!” อวิ๋นหลัวฉวนหน้าแดงยิ่งกว่าผลแอปเปิล ได้แต่ตอบกลับอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แต่ในหัวของนางตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำสิ่งใด
ท่านอ๋องตวนบีบปลายคางของอวิ๋นหลัวฉวน และเชิดขึ้นอย่างเบามือ : “ข้าเจ็บปวด เจ็บปวดแทบขาดใจ!”
อวิ๋นหลัวฉวนค่อย ๆ มองออกไป : “ท่านอ๋อง …… ป่วยหรือเพคะ?”
“……ป่วย? คงป่วยรักสินะ!” หนานกงเหยี่ยนกดจุดบนร่างกายของอวิ๋นหลัวฉวน แม้ว่าอวิ๋นหลัวฉวนจะได้สติกลับมาก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว นางได้แต่มองหนานกงเหยี่ยนปลดเปลื้องเสื้อผ้า และปลดเสื้อผ้าของนางจนร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกัน เสื้อผ้าทั้งสองชุดได้คลุมอยู่บนร่างกายของพวกเขา พวกเขาเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ใต้กองเสื้อผ้า กระทั่งการกดจุดของนางค่อย ๆ เสื่อมคลาย พวกเขาก็ยังคงกอดรัดกันไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เมื่อทุกอย่างสงบ อวิ๋นหลัวฉวนได้แต่กะพริบตา ส่วนข้างกายก็คือท่านอ๋องตวนที่หายใจเหนื่อยหอบ มือของนางยังถูกจับอยู่บนฝ่ามือของท่านอ๋องตวน
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงได้เอ่ยถามว่า : “ท่านยังคิดถึงจวินฉูฉู่อีกหรือไม่เพคะ?”
ท่านอ๋องตวนกุมมือของนางแน่น จากนั้นก็ดึงมือของอวิ๋นหลัวฉวนมาวางลงบนหน้าอก : “ไม่ได้คิดถึง แต่จดจำไว้”
อวิ๋นหลัวฉวนหันไปมอง ด้วยใบหน้าที่งดงามนั้น หนานกงเหยี่ยนดึงมือของอวิ๋นหลัวฉวนมาพรมจูบ : “ข้าให้สัญญากับฉวนเอ๋อร์ ต่อแต่นี้ไปจะจดจำนางไว้ และข้าก็ให้สัญญากับฉวนเอ๋อร์ ว่าตั้งแต่บัดนี้ไปจะเป็นท่านอ๋องที่ดี เป็นคนที่มีประโยชน์ให้จงได้
หลังจากกลับตระกูลอวิ๋นครานี้ จะไม่มีเรื่องต้องเสียหน้าอีกแล้ว
ตั้งแต่ที่เห็นเว่ยหลินชวนถูกคนเอาอกเอาใจอยู่ในตระกูลอวิ๋น ข้าก็อิจฉามาตลอด”
อวิ๋นหลัวฉวนมีใบหน้าเหม่อลอย เดิมทีนางไม่รู้ว่าท่านอ๋องตวนกำลังคิดสิ่งใด แต่ในใจของนางกลับประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ราวกับว่านางได้เติบโตขึ้นแล้ว ที่แท้การให้กำเนิดบุตร และการเป็นสามีภรรยาเป็นเช่นนี้นี่เอง
เมื่อกลับมาถึงกระโจมฉีเฟยอวิ๋นกลับนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมานั่งครั้งแล้วครั้งเล่า สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ฉีเฟยอวิ๋นบังคับตนเองให้เอนกายนอนลงอีกครั้ง แต่หลังจากที่นอนลงไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นด้านนอก ท่านแม่ทัพฉีพรวดลุกขึ้นทันที
“อย่าเพิ่งลุก”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางท่านแม่ทัพฉี : “ท่านพ่อ ระวังด้วยเจ้าค่ะ”
“อื้อ”
ท่านแม่ทัพฉีกล่าวถาม : “เกิดอะไรขึ้น?”
“มีคนจากเมืองหลวงมาเยือน บอกว่าเป็นคนของจวนราชครูจวิน ขอเข้าเฝ้าท่านแม่ทัพจวินขอรับ” ทหารที่อยู่นอกกระโจมกล่าวรายงาน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับมองไปทางท่านแม่ทัพฉีด้วยความแปลกใจ : “ท่านพ่อ เหตุใดถึงเป็นคนของตระกูลจวินเสียได้ละเจ้าคะ?”
“ใครจะไปรู้ละ ไปพบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ให้เข้ามา”
ท่านแม่ทัพฉีให้ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง หลังจากที่เขาสั่งให้พาเจ้าตัวเข้ามา ผลลัพธ์คือทันทีที่สองพ่อลูกเห็นก็พากันผงะไปชั่วขณะ
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก่อนและเดินไปหาจวินเซียวเซียวพร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นมาแสดงความเคารพ : “หม่อมฉันของคารวะพระสนมเอกเซียวเพคะ”
“กระหม่อมขอคารวะพระสนมเอกเซียวพ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทำฉีแสดงความเคารพต่อจวินเซียวเซียว
จวินเซียวเซียวรีบเข้ามาประคองท่านแม่ทัพฉีและฉีเฟยอวิ๋น : “พระชายาเย่ ท่านแม่ทัพฉีได้โปรดลุกขึ้นเถิด”
การมาของจวินเซียวเซียว ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เหนือความคาดหมาย เวลานี้นางมาถึงชายแดนด้วยตนเอง คงจะมีเพียงเป้าหมายเดียว ช่วยพ่อของนางก็เหมือนการช่วยตนเอง
จวินเซียวเซียวแต่งกายด้วยเสื้อคลุมยาว พร้อมกับหมวกหนึ่งใบ ในตอนที่เดินเข้ามานางได้ทำการถอดออกแล้ว
เวลานี้จวินเซียวเซียวสวมใส่เพียงแค่ชุดกระโปรงยาว มีปิ่นปากอยู่บนศีรษะ ใบหน้าไร้สีสันใด
“พระสนมเชิญเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางท่านแม่ทัพฉีแวบหนึ่ง จากนั้นก็เชิญจวินเซียวเซียวนั่งลง
จวินเซียวเซียวไม่กล้าถือตน จึงได้เชิญท่านแม่ทัพฉีนั่งลงด้วยตนเอง : “เชิญท่านแม่ทัพก่อนเจ้าค่ะ”
ท่านแม่ทัพฉีไม่ใช่ผู้ถือตนเช่นกัน ก่อนจะกล่าวว่า : “พระสนมเชิญนั่งเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบท่านแม่ทัพฉีก็นั่งลงเบื้องบน ส่วนฉีเฟยอวิ๋นและจวินเซียวเซียวก็นั่งลงคนละด้าน
ภายในกระโจมไม่มีผู้อื่น ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เอ่ยถามโดยไม่ลังเลอีก : “พระสนมเสด็จมาถึงที่นี่ไม่ทราบว่ามีพระราชโองการจากฝ่าบาทหรือเพคะ?”
“ไม่มีพระราชโองการหรอก ข้ามาตอบแทนพระคุณ หากทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ข้าจะไม่มีวันกลับไป ข้าละอายแก่ใจต่อฝ่าบาทและคงไม่มีหน้ากลับไปอีก” จวินเซียวเซียวมีใบหน้าที่สง่างดงาม น้ำเสียงก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กล่าวสิ่งใด จวินเซียวเซียวลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาท่านแม่ทัพฉีพลางกว่าวว่า : “ท่านแม่ทัพ สถานะของข้าไม่อนุญาตให้ข้าคุกเข่าได้ตามใจชอบ ข้าจึงมาแสดงความเคารพต่อท่านแม่ทัพถึงที่นี่”
จวินเซียวเซียวกางมือคู่นั้นออก สีหน้านิ่งเฉย จากนั้นก็โค้งคำนับต่อท่านแม่ทัพฉี
ท่านแม่ทัพฉีจึงยกมือขึ้น : “พระสนมเอกเซียวอย่าได้ทำเช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าพระสนมเอกเซียวจะมีเจตนามาอย่างชัดเจน แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งจากฝ่าบาท เช่นนั้นก็ถือเป็นตัวแทนของฝ่าบาท บัดนี้กระหม่อมขอน้อมรับด้วยตนเอง”
“ท่านแม่ทัพ ที่ข้ามาไม่ใช่เพราะคำสั่งของฝ่าบาท ข้าขอร้องอ้อนวอนต่อฝ่าบาทจึงได้มาที่นี่ ฝ่าบาททรงสงสารข้า กลัวว่าข้าจะสูญเสียท่านพ่อผู้ให้กำเนิดผู้นี้ไป จึงทรงอนุญาตให้ข้ามาที่นี่ เพื่อเข้าพบท่านพ่อสักครั้ง โน้มน้าวให้เขากลับเนื้อกลับตัว”
จวินเซียวเซียวกล่าวทั้งน้ำตา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางท่านแม่ทัพผู้เป็นบิดาของตน เรื่องนี้นางคงทำไม่ได้ ท่านพ่อของนางจะต้องชั่งใจเองถึงจะถูก
และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท่านแม่ทัพฉีกล่าวอย่างไม่ลังเล : “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นท่านไปเถอะ”
“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพฉี”
ท่านแม่ทัพฉีเรียกเฉินอวิ๋นเจี๋ยเข้ามา และให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยนำพาจวินเซียวเซียวไปพบกับจวินเจิ้งตง เมื่อทุกคนออกไปท่านแม่ทัพฉีก็โน้มน้าวให้ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อน แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับนอนไม่หลับ
เมื่อขึ้นไปบนเตียงแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เอ่ยถามท่านแม่ทัพฉีว่า : “ท่านพ่อ ฝ่าบาทจะทรงกู้คืนจิตใจที่บอบช้ำของจวินเจิ้งตงได้หรือไม่เจ้าคะ?”