องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 426 กลับมาอย่างปลอดภัย
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “จุดนี้นั้นข้าสามารถรับประกันได้เพียงแค่ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจวินจะเชื่อใจข้าหรือไม่
เด็กน่าจะอายุได้ประมาณเดือนกว่าๆ ดูเหมือนว่าในขณะที่ฝ่าบาทได้รับทราบว่าแม่ทัพจวินมีใจเป็นอื่นนั้นก็ยังรักพระสนมเอกเซียวอยู่ ไม่เช่นนั้นในตอนนั้นท่านพ่อของข้าออกรบที่นี่แล้วจะเป็นพระเมตตาในครานั้นได้เช่นไร? ”
ใบหน้าของจวินเจิ้งตงแดงขึ้นมาจากนั้นก็เหลือบมองไปยังแม่ทัพฉี: “ท่านว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?”
จวินเจิ้งตงรู้ว่าฉีจือซานเป็นดวงพระทัยของฝ่าบาทและเขาก็กล่าวได้ถูกต้องทั้งสิ้น
แม่ทัพฉียิ้ม: “ลูกสาวคนโตของท่านผู้นี้ทำสิ่งชั่วร้ายไว้มากมาย นางทำให้หลานชายที่ยังไม่ได้กำเนิดของพระมเหสีหวาสิ้นพระชนม์ พระมเหสีหวาทรงคิดว่าท่านไม่รู้? นางไม่ได้ทำลายตระกูลจวินให้สิ้นซากก็นับว่าเป็นโชคดี ท่านนึกว่าฝ่าบาทจะทำลายล้างตระกูลจวินของท่านให้สิ้นซากหรือ?”
จวินเซียวเซียวกล่าวว่า: “ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้เพราะพี่สาวเช่นนั้นหรือ?”
จวินเจิ้งตงเย็นชา: “พี่สาวของเจ้าถูกผู้อื่นทำร้ายตายอย่างอนาถ”
“ท่านพ่อ ไม่มีผู้ใดบอกท่านถึงการกระทำอันชั่วร้ายของพี่สาวหรอกหรือ? นางต้องการเป็นฮองเฮา ต้องการค้ำจุนอ๋องตวนขึ้นเป็นจักรพรรดิ”
แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจเรื่องเป็นอย่างดีว่าฝ่าบาทไม่มีโอรสก็ต้องเลือกองค์รัชทายาทจากอ๋องเย่และอ๋องตวน แต่ฝ่าบาทในตอนนี้พระวรกายนั้นทรงแข็งแรง เป็นห่วงกังวลในเวลานี้นั้นช่างเร็วเกินไป
จวินเจิ้งตงกลับรู้สึกว่าเด็กที่กำเนิดมาจากในจวนอ๋องเย่อ๋องตวนนั้นมีโอกาสที่จะได้เป็นองค์รัชทายาทมากกว่า
ต้องการค้ำจุนอ๋องตวนให้เป็นจักรพรรดิก็คือต้องการเป็นกบฏและแย่งชิงราชบัลลังก์
จวินเจิ้งตงถามว่า: “ปกติพี่สาวของเจ้านั้นอ่อนโยนและมีเมตตาจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“นางถูกอำนาจเข้าครอบงำจนมึนงง”
“เซียวเซียว เจ้าอย่าได้ดำเนินรอยตามพี่สาวของเจ้า แม้ว่าความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งจะดีแต่ชีวิตนั้นก็สำคัญที่สุด ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี คนตายไปแล้วก็ไร้ซึ่งสิ่งใดแล้ว”
แม่ทัพฉีหัวเราะหึๆ: “ท่านยังรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านเป็นผู้รบต่อสู้ผู้หนึ่งท่านรู้ว่ารบชนะก็สำเร็จแล้ว”
“ท่านจะเข้าใจสิ่งใด ท่านเป็นผู้ที่หยาบคายผู้หนึ่ง” จวินเจิ้งตงกำเนิดในตระกูลบัณฑิต แต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นผู้ที่กำเนิดในตระกูลวิทยายุทธเช่นแม่ทีพฉีอยู่ในสายตา
แม่ทัพฉีเย็นชา: “ท่านยังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทในภายหลังว่าท่านยักยอกเบี้ยทหารที่ชายแดนและเกรงว่าจะถูกตรวจสอบถึงได้ก่อการกบฏ ดูซิว่าท่านจะอับอายผู้คนหรือไม่”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใดไม่ออก เช่นนี้ก็ได้หรือ?
“ฉีจือซานเจ้าให้ร้ายข้า?”
“ที่จะให้ร้ายก็คือเจ้า”
ทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวว่า: “เรื่องนี้มาถึง ณ จุดนี้แล้วก็หาวิธีแก้ไขกันเถอะนะ”
แม่ทัพฉีฟังลูกสาว เดินไปนั่งลงแล้วค่อยๆดื่มชา
จวินเจิ้งตงลุกขึ้นประคองลูกสาวไปนั่งอย่างระมัดระวัง เกิดความรู้สึกเสียใจโดยไร้เหตุผล ลูกสาวตั้งครรภ์ตั้งสองคราแล้วแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทนั้นก็ทรงเมตตาต่อลูกสาว
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าจวินเจิ้งตงก็กล่าวว่า “ฉีจือซาน ข้าบอกท่านก็ได้ว่าลูกชายสองคนของข้าถูกลักพาตัวไป ลูกชายคนโตก็กลายเป็นคนของพวกเขา ข้าเองก็ไร้หนทางจึงได้ทำเช่นนี้”
แม่ทัพฉีถามว่า: “จงชิน จงชินหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นและจวินเซียวเซียวครุ่นคิด ดูเหมือนว่าหากไม่กำจัดจงชินเมืองต้าเหลียงจะไม่สงบสุข
“เป็นผู้ที่สวมหน้ากากผู้หนึ่งซึ่งต้องการให้ข้ายอมจำนนซึ่งข้าไม่ยินยอมอยู่แล้ว เขาจึงจับลูกชายสามคนของข้า หลังจากนั้นลูกชายคนโตของข้ากลับมาบอกว่าเขาต้องการให้ข้าฟังคำให้เป็นกบฏ เดิมทีข้าไม่ยอม เขาบอกข้าว่าลูกสาวของข้าถูกทำร้ายจนตายข้าถึงได้มีใจคิดกบฏ”
“ท่านพ่อ ท่านช่างเลอะเลือนนัก นิสัยพี่ใหญ่นั้นมักจะรีบร้อนกระทำการให้ได้ผลประโยชน์โดยไว เมื่อวัยเยาว์เขาทุบตีขาของพี่สามจนหักเพื่อที่จะได้รับคำชื่นชมจากท่านปู่ เขาทำแม้กระทั้งการทำร้ายพี่รองอีกด้วย หรือว่าท่านนั้นจำไม่ได้ซะแล้ว เหตุใดถึงได้เชื่อคำกล่าวของเขาผู้เดียวได้ ข้ายังหวาดกลัวว่าพี่รองพี่สามนั้นจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้หรือไม่”
“พ่อก็เคยคิดเช่นกันดังนั้นพ่อถึงได้คิดลังเลอยู่ตลอด ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของพ่อฉีจือซานเองนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”
จวินเจิ้งตงมองไปอย่างเย็นชาแล้วก่นด่าประโยคหนึ่ง: “ไร้จิตสำนึก!”
แม่ทัพฉีไม่ได้อธิบายเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “ท่านพ่อ เกิดสิ่งใดขึ้น?”
“วันนั้นในขณะที่ต้องการสังหารพ่อเขาจงใจล่าช้าดึงเวลาคิดว่าพ่อจะได้มีเวลาลุกขึ้น พ่อได้ป้องกันเอาไว้แล้วเขานั่นนับว่าเป็นบุญคุณที่ใดกัน” แม่ทัพฉีท่าทีได้ใจและไม่รับน้ำใจเลย
ฉีเฟยอวิ๋นแอบยิ้ม
จวินเจิ้งตงตะโกนด่า ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วและยังบอกว่าท่านพ่อของนางเป็นคนที่คายแล้วเขาไม่ใช่หรือ?
ดุด่าจวินเจิ้งตงอยู่ครู่หนึ่งก็เหนื่อยแล้วจึงได้กล่าวว่า: “ข้ารับปากว่าจะรับผิดแล้วเพียงแค่หวังว่าจะสามารถช่วยพวกลูกชายท่านออกมา ทั้งยังขอให้ฝ่าบาททรงพระเมตตาเห็นแก่หลานชายผู้ยังไม่ได้กำเนิด ละเว้นเซียวเซียวไม่หวังในสิ่งใดอีก”
“เช่นนั้นท่านหล่ะ ตายหรือ?” แม่ทัพฉีโมโห
“ข้าพได้กระทำเรื่องที่ผิดต่อฝ่าบาท ตายไปก็ไม่เสียดาย ส่วนลูกทั้งสามของข้านั้นหากว่าลูกชายคนโตของข้ากระทำชั่วจะถูกประหารชีวิตพร้อมกับข้า ลูกชายคนที่สองและสามของข้านั้นเป็นผู้ที่จงรักภักดี ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงเมตตาละเว้นโทษตายให้แก่พวกเขา เรื่องอื่นเช่นไรก็ดีทั้งนั้น”
“ท่านพ่อ……” จวินเซียวเซียวร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา แม่ทัพฉีครุ่นคิดแล้วออกเสียงฮึ่มเสียงหนึ่งอย่างเย็นชา
“จวินเจิ้งตงรับราชโองการ”
จวินเจิ้งตงตกตะลึงแล้วรีบลุกขึ้นคุกเข่าลง จวินเซียวเซียวก็ลุกขึ้นคุกเข่าตาม ฉีเฟยอวิ๋นมองดูไม่เห็นฝ่าบาท ผู้ใดจะสามารถกล่าวออกไปได้ก็ให้มันผ่านๆไป
แม่ทัพฉีลุกยืนขึ้น: “พระประสงค์ของฝ่าบาท แม่ทัพจวินสู้รบมาทั้งชีวิตเป็นทหารอันเป็นที่รักของอดีตจักรพรรดิต่อสู้ในสนามรบกับข้าซึ่งทำให้ศัตรูได้ยินก็หวาดผวา และในตอนนี้ก็เป็นท่านพ่อตาของข้า ข้ารู้ว่าเรื่องนั้นมีเหตุ ข้าหวังว่าแม่ทัพจวินจะกลับมาในเร็ววัน”
จวินเจิ้งตงคิดสิ่งต่างๆมากมายในใจ: “กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทละเว้นซึ่งการสังหาร”
จวินเจิ้งตงรับราชโองการแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า: “ท่านว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ ข้าจะฟังท่าน”
“ฮึ่ม ตอนนี้ฟังข้าแล้ว พระประสงค์ของไทเฮา”
จวินเจิ้งตงได้ยินแล้วก็จะคุกเข่าลง แต่ถูกแม่ทัพฉีขวางไว้: “เป็นรับสั่งทางวาจา ท่านฟังก่อนเถอะ”
“ได้”
แม่ทัพฉีกล่าวว่า: “ก่อนที่ข้าจะมาไทเฮาทรงเรียกให้เข้าเฝ้าโดยทรงมีรับสั่งทางวาจา ความหมายของไทเฮาก็คือหากเจ้าจะกลับไปก็กลับไป หากว่าไม่กลับไปสามารถอยู่ต่อได้ก็อยู่ต่อ แม้ว่าจะต้องหาเหตุผลใดก็ต้องไว้ชีวิตเจ้าเอาไว้
นี่เป็นคำกล่าวแต่แรกและยังมีอีกก็คือ…… ”
แม่ทัพฉีสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง: “เก็บไว้ซึ่งชื่อเสียงอันดี!”
จวินเจิ้งตงชะงักไปเป็นเวลานาน: “กระหม่อมละอายใจต่อฮองเฮา ละอายใจต่อฝ่าบาท”
“ท่านบอกว่าเป็นความรู้สึกเสแสร้งแกล้งกระทำไม่ใช่หรือ? ท่านเต็มไปด้วยคำขอบคุณทั่วทั้งใบหน้าทำไมกัน?” แม่ทัพฉีตกซ้ำเติมแล้วยังเหยียบซ้ำอีก
“ท่านจะไปรู้สิ่งใด” จวินเจิ้งตงถูกเอาคืนอย่างปริยาย แม่ทัพฉีก็ปล่อยคนของเขาออกมา มีสองคนในนั้นถูกลากออกไปตัดศีรษะต่อหน้าสามเหล่าทัพ
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นภายในวันเดียว จวินเจิ้งตงได้ตำแหน่งแม่ทัพกลับคืน ฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นเร็วเกินไป
แต่ถึงยามค่ำคืนก่อนที่หนานกงเย่จะกลับมา ฉีเฟยอวิ๋นเป็นกังวลจึงได้อุ้มท้องอันกลมเดินไปใต้หินก้อนใหญ่เพื่อรอหนานกงเย่กลับมา
จนกระทั่งถึงยามดึกดื่นฉีเฟยอวิ๋นได้เห็นฝูงอีกาบินวนอยู่ทั่วท้องฟ้า ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปสองสามก้าวก็มีร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ไม่ไกล
ไม่นานก็มาถึงตรงหน้า ฉีเฟยอวิ๋นเห็นคนที่สวมชุดสีดำก็ดีใจจจนออกนอกหน้า: “ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่ไหนเลยจะสนใจสิ่งใดมากมายกอดคนเอาไว้แล้วจุมพิตนางครั้งหนึ่ง
ฉีเฟนอวิ๋นหน้าแดงแล้วก้มหน้าลง: “ท่านจะทำสิ่งใด?”
“จ่ายเบี้ยหวัด”
หนานกงเย่กอดคนเอาไว้แน่นแล้วขยับตัวไปมาบนพื้น
บทที่ 425 โยนมาให้นางทันทีเชียวนะ
บทที่ 427 ชีวิตสุขและเศร้าคละเคล้ากัน