องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 434 วิปริตจนฆ่าลูกชายตายหมด
หนานกงเย่เหลือบมองจวินโม่ซ่างนิดหนึ่ง “ข่าวลือเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ เรื่องแค่นี้องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวก็ยังไม่เข้าใจงั้นหรือ”
สีหน้าของจวินโม่ซ่างยิ่งมึนตึงขึ้นกว่าเดิม “แต่คนที่มีความสามารถอย่างพระชายา ข้ามองไม่เห็นจริงๆ ว่าจะมีข้อดีตรงไหน”
ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงตอนที่นางถีบจวินโม่ซ่างอย่างแรงขึ้นมาอย่างอึดอัด นางทำให้เขาไม่พอใจงั้นหรือ
หนานกงเย่ยิ้ม “ข้อดีนั้นมีเยอะมาก แต่ข้าไม่ได้รักในสิ่งเหล่านั้น ส่วนจะชอบอะไรนั้นย่อมเป็นเรื่องของข้าเอง องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล
เพราะเป็นองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว ข้าจึงขอมอบประโยคหนึ่งให้ท่าน ‘ภัยพิบัติเข้าออกจากทางปาก’ จงคิดทบทวนให้ดีเมื่อจะทำอะไร!”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่และรู้สึกมืดมนอยู่ตลอดเวลา
“เฮอะ…” จวินโม่ซ่างหัวเราะเบาๆ และสะบัดพัดให้คลี่ออก นึกโมโหจนอยากจะฆ่าคน!
ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เหลือบมองดูพัดอีกหลายที นอกจากกลุ้มใจแล้วยังคิดว่าถ้าไม่มีเจ้าตัวอักษรสามคำนั้นคงจะดีไม่น้อย
สีหน้าของหนานกงเย่มืดมนลงอย่างไร้สาเหตุ เขาหมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างพิจารณา “นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นอวิ๋นจะพูดหรอกหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้นึกอึดอัด เมื่ออธิบายบางเรื่องอย่างชัดเจนไปแล้วก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร
นางขยับเข้าไปชิดที่ข้างหูของหนานกงเย่และกระซิบบางอย่างกับเขา
จวินโม่ซ่างเบนหน้ามาเล็กน้อยและตั้งใจฟังว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดอะไร หนานกงเย่ยกมือขึ้นมาปกป้องร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแรงของฉีเฟยอวิ๋น หลังจากฟังแล้วจึงผละออกมานิดหนึ่งและก้มหน้ามองนาง “จริงหรือ”
“จริงซิเพคะ!”
“อะไรจะดีเช่นนี้!” หนานกงเย่หันไปมองจวินโม่ซ่างและไม่เกรงใจอีกต่อไป
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว”
“มีอะไร” จวินโม่ซ่างหันกลับมาและถาม รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ยินอะไรเลย
“พระชายาถามว่าท่านได้พัดนี้มาจากที่ใด”
จวินโม่ซ่างก้มลงมองพัดในมือแวบหนึ่ง “ถังหลงเป็นคนวาด”
ทันใดนั้นถังหลงก็ก้าวมาข้างหน้าและพูดว่า “ความสามารถของข้าน้อยยังอ่อนด้อยนัก พระชายาโปรดอย่าได้หัวเราะเยาะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านชายถังถ่อมตัวเกินไปแล้ว ในเมื่อท่านชายถังเป็นคนทำขึ้นมา คงจะดีกว่าถ้าท่านชายถังจะมอบภาพวาดเช่นนี้ให้ข้าสักหนึ่งชิ้น ข้าอยากจะนำไปมอบให้กับท่านอ๋อง”
“นั่นมัน…” ถังหลงลังเลเล็กน้อย
จวินโม่ซ่างกล่าวว่า “ถังหลงเป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยวของข้า ทักษะการใช้พู่กันของเขานั้นหาได้ยากยิ่งในเมืองอู๋โยว ท่านช่างมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก”
พูดจบจวินโม่ซ่างก็หันไปมองฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างหน้าทนและไม่สลดง่ายๆ เพื่อหนานกงเย่นางจึงยอมทุ่มสุดตัว
“ท่านชายถัง เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าจะแลกภาพวาดกับท่าน ท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
ถังหลงลำบากใจ “เรื่องนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาทก่อน ข้าน้อยจึงจะแสดงความสามารถอันต่ำต้อยได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองจวินโม่ซ่าง “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวเห็นเป็นเช่นไรบ้างเพคะ”
“ถ้าข้าปฏิเสธ เกรงว่าจะเป็นการทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยพูดกันไปว่าแม้แต่ภาพวาดก็ยังมอบให้กันไม่ได้ แต่ถ้าหากพระชายานำผลงานที่ยอดเยี่ยมมามอบให้ถังหลงได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแต่จะเล่นละครตบตา แต่ไม่คิดว่าจวินโม่ซ่างจะรับมือยากขนาดนี้
หนานกงเย่เอ่ยด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง “ในเมื่อองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวไม่ยอมมอบให้ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
พูดจบเขาก็วางขาของฉีเฟยอวิ๋นลงและลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น “อื้ม”
ทั้งสองคนไม่สนใจสายตาของใครต่อใครและตรงกลับไปยังที่พัก
จวินโม่ซ่างกำพัดแน่นด้วยความโกรธจัด ถังหลงทำสีหน้าอย่างจนปัญญา
ตัวเขาไม่ได้สนใจเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดองค์รัชทายาทจึงโกรธขนาดนี้
ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนเมื่อกลับไปถึงที่พัก แต่พอตกบ่ายก็มีคนมาเคาะประตู หนานกงเย่บอกให้เข้ามาได้และพบว่าคนผู้นั้นคือถังหลง
ถังหลงคารวะอย่างให้เกียรติก่อนจะเดินเข้ามาใกล้และกล่าวว่า “องค์รัชทายาทรับสั่งให้ข้าน้อยมาเชิญท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่ไปพบ พระองค์ยอมมอบภาพวาดพู่กันของข้าน้อยแล้ว”
เดิมทีหนานกงเย่ไม่ได้คิดจะรับไว้ ฉีเฟยอวิ๋นเองก็รู้ว่าเขาไม่ได้ขาดเหลืออะไร แต่นางกลับมีความคิดบางอย่าง
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นตามไป หนานกงเย่จึงตามนางไปด้วย
ภายในห้องมีหมึก พู่กันและกระดาษเตรียมไว้พร้อมแล้ว
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้ามาใกล้ ถังหลงก็เริ่มเตรียมการ จากนั้นจวินโม่ซ่างจึงเอ่ยว่า “เชิญพระชายาเย่”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่นิดหนึ่ง นางเดินไปพลางถลกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นจึงเริ่มตวัดพู่กัน
ฉีเฟยอวิ๋นวาดรูปดอกโบตั๋นที่กำลังอวดประชันความงามลงบนแผ่นกระดาษ
จวินโม่ซ่างตาเป็นประกาย เขาตกใจมากที่ฉีเฟยอวิ๋นวาดภาพได้สวยขนาดนี้
ถังหลงเองก็ตกใจเช่นกัน เขามองภาพของฉีเฟยอวิ๋นและอดประหลาดใจไม่ได้ “ฝีมือในการวาดรูปของพระชายายอดเยี่ยมยิ่งนัก เป็นศิลปะขั้นสูงที่สมบูรณ์แบบ มีชีวิตชีวาเสมือนจริงจนเอามาหลอกว่าเป็นของจริงได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย ภาพวาดจีนนางก็เคยฝึกวาดมาก่อน
หนานกงเย่มองทุกอย่างตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ารู้มานานแล้ว ทว่าเขาก็ทึ่งมากจริงๆ แม้จะรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นมีฝีมือในการวาดภาพ แต่เขาไม่รู้ว่านางจะวาดภาพโบตั๋นได้ดีขนาดนี้
ถังหลงมอบภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาและแม่น้ำที่งดงามให้ฉีเฟยอวิ๋น “เชิญพระชายา”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว ขอใช้ตราประทับของท่านประทับลงไปได้หรือไม่”
ฉีเฟยอวิ๋นชี้ไปยังจุดจุดหนึ่ง จวินโม่ซ่างหยิบตราประทับมาประทับลงไปอย่างไม่ลังเล ฉีเฟยอวิ๋นมองถังหลงและเอ่ยอีกว่า “ท่านชายถัง ขอใช้ตราประทับของท่านได้หรือไม่”
ถังหลงหยิบตราประทับมาประทับลงไป ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นก็พอใจมาก
หลังจากเก็บภาพไปแล้วนางจึงหยิบพู่กันให้หนานกงเย่ “เชิญท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่ฝนหมึก “เขียนอะไรหรือ”
“แล้วแต่ท่านอ๋อง!”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากรู้เหมือนกันว่าหนานกงเย่จะเขียนอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่งหนานกงเย่จึงเริ่มลงมือเขียน
ดื่มด่ำกับยามเช้างดงาม ค่ำครามกลิ่นหอมแห่งสวรรค์อบอวล ชวนลุ่มหลงด้วยทิวทัศน์แห่งวสันต์สีชาด จันทร์กระจ่างทวงถามวันหวนคืน
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขำ กวีบทนี้คือบทกวีชมดอกพุดตาน นางเคยเขียนให้เขาดูมาก่อน และเขาก็จำได้เสียด้วย
จวินโม่ซ่างรู้สึกผิดหวังมาก เขาไม่ชอบบทกวีของหนานกงเย่ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากแลกเปลี่ยนกันแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่า “ภาพวาดนี้ถือเป็นหลักฐานการเจริญสัมพันธ์ไมตรีระหว่างทั้งสองเมือง ข้าจะถวายภาพนี้ให้ฝ่าบาทของเรา”
“ข้าไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น ตามสบายเถิด” จวินโม่ซ่างไม่รู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นคนคิดวิธีนี้และรู้สึกว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนไว้แล้ว
แต่เมื่อมองภาพวาดดอกโบตั๋นของฉีเฟยอวิ๋นเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวลาและกลับไปพร้อมกับหนานกงเย่
ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่นั่งรถม้าออกจากเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยมีกองทหารห้าร้อยนายคอยคุ้มกัน ฉีเฟยอวิ๋นมองภาพเขียนทั้งสองแผ่นในมือและกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ท่านอ๋องนำรูปดอกโบตั๋นกลับมาด้วยได้อย่างไรเพคะ”
“ข้าย่อมมีวิธีอยู่แล้ว” หนานกงเย่หยิบภาพดอกโบตั๋นขึ้นมามองอย่างพินิจพิจารณา “อวิ๋นอวิ๋น ต่อไปอย่าวาดภาพให้ใครอีก”
“ก็แค่ภาพวาดภาพหนึ่งเท่านั้น แค่นี้ท่านอ๋องก็ยอมไม่ได้แล้วหรือ”
“อืม” หนานกงเย่ไม่ยินยอม
ฉีเฟยอวิ๋นมองภาพภูเขาและแม่น้ำของถังหลง “ท่านอ๋อง เมื่อมีภาพนี้อยู่ในมือ ต่อจากนี้ไปองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว เขาเพียงแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ ไว้เมื่อเขาคิดขึ้นมาได้ก็สายไปเสียแล้ว”
“เขาไม่ได้เลอะเลือนหรอก มันเป็นเพราะการแลกเปลี่ยนระหว่างอวิ๋นอวิ๋นกับเขา เมื่อมีภาพวาดของอวิ๋นอวิ๋นกับลายมือของข้า เขาจึงคิดแล้วว่าพวกเราเองก็ไม่มีทางรุกรานเขาได้”
“แต่เมื่อท่านอ๋องนำภาพกลับมา ก็ยากที่จะพูดเสียแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน นางคิดมากเกินไปแล้ว
“ไม่มีอะไรที่ยากที่จะพูด ต่อจากนี้ไป ตราบใดที่เมืองอู๋โยวของเขาไม่มารุกรานเมืองของเรา ข้าก็จะไม่ส่งกองกำลังไปรุกรานเมืองอู๋โยว
สำหรับภาพวาดภาพนี้เดิมทีก็เป็นของข้าอยู่แล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะใช้ประโยชน์จากมัน!”
“ท่านอ๋อง ท่านไม่คิดว่าท่านใจแคบมากไปหรอกหรือ พูดเสียดิบดีว่าเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ท่านกลับแอบหยิบกลับมา ไว้จวินโม่ซ่างรู้เมื่อไหร่จะต้องโกรธจนบ้าตายเป็นแน่!”
“ตายไปเสียได้ก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเห็นเขาให้ขัดตา!”
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งเงียบ คนผู้นี้ช่างโหดร้ายจริงๆ!
ในไม่ช้าก็เข้ามาถึงเขตชายแดนเมืองต้าเหลียง ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าและหันกลับไปมอง เวลานี้อยู่ลับตาจวินโม่ซ่างมานานแล้ว แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็พอจะจินตนาการได้ว่าตอนที่เขาพบว่าภาพวาดหายไป เขาจะคลั่งแค่ไหน
แม่ทัพฉีพาคนมารับฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็นอวิ๋นจิ่นมาแต่ไกล นางอุ้มจิ้งจอกหางสั้นเอาไว้และบนบ่าก็มีเจ้าอีกาน้อยยืนอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นทักทายแม่ทัพฉีและหันไปมองอวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นรีบเข้ามาทำความเคารพ “อวิ๋นจิ่นคารวะนายท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ “อวิ๋นจิ่น เหตุใดเจ้าจึงเพิ่งมารึ”
“อวิ๋นจิ่นกำลังรออยู่ รอจนท่านแม่ทัพฉีจัดการทางด้านนี้เรียบร้อย หากไม่เรียบร้อยและมีความขัดแย้งภายในก็อาจจะเกิดเรื่อง แล้วสิ่งที่พยายามมาทั้งหมดอาจสูญเปล่า
แต่ไม่คิดว่าเมื่อข้ามาเยี่ยมที่ค่ายทหารยามค่ำคืนจะพบเข้ากับเจ้าจิ้งจอกน้อยกับเจ้าอีกาน้อย ข้าเลยพาพวกมันมาด้วย
เลยไม่ทันปรากฏตัว ขอนายท่านโปรดอภัย!” อวิ๋นจิ่นอธิบายให้ฟังและฉีเฟยอวิ๋นก็พยักหน้า
“ไม่เป็นไร เจ้าคงจะเหนื่อยแล้วด้วย”
“อวิ๋นจิ่นไม่เหนื่อยเลย”
เมื่ออวิ๋นจิ่นปล่อยเจ้าจิ้งจอกหางสั้น ฉีเฟยอวิ๋นจึงอุ้มมันขึ้นมา จากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันอย่างมีความสุขก่อนจะกลับไป
เรื่องทางชายแดนได้รับการจัดการอย่างเรียบร้อย จวินเจิ้งตงจัดการกับญาติที่ทำผิดเพื่อความชอบธรรม นำจวินอีเซี่ยวไปตัดหัวประหารชีวิตต่อหน้าทั้งสามเหล่าทัพ ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเรื่องนี้แล้วได้แต่ถอนหายใจ
คนที่นี่บางทีก็วิปริตจริงๆ แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองก็ฆ่าได้!