องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 45 ยั่วให้เกิดโทสะ
บทที่ 45 ยั่วให้เกิดโทสะ
จวนอ๋องเย่
“ท่านอ๋อง ได้เวลาเสวยอาหารเที่ยงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อบ้านยืนเตือนอยู่ในห้อง จนถึงตอนนี้เป็นเวลาหลายชั่วยามแล้วที่พระชายาเข้าไปในวัง ท่านอ๋องยืนอยู่ที่หน้าต่างตลอด ร่างกายเพิ่งจะดีขึ้นนิดหน่อย เป็นเช่นนี้ก็คงจะแย่ลงไปอีก
สิ่งสำคัญคือเลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว แต่ก็ยังไม่กิน
“ข้าไม่หิว ไม่อยากกิน”
“แต่หากไม่เสวยก็จะกินยาไม่ได้ ท่านอ๋องจะต้องกินยาหลังอาหารเที่ยงนะพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านยังคงกล่าวเตือน และไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก พระชายาไม่เคยได้รับความชื่นชอบจากท่านอ๋อง แต่ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทรงเป็นอะไร เวลาที่พระชายาไม่อยู่ก็จะกินอะไรไม่ลง
“ข้ายังไม่หิว ออกไปเถอะ”
หนานกงเย่พูดอย่างเฉยเมย พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลังต้องการจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่กล้าพูด จากนั้นก็ถอยออกไป
ลมหนาวข้างนอกพัดเข้ามาที่หน้าต่าง หนานกงเย่เอามือไขว้หลังไว้ แอบคิดว่าในเวลานี้ผู้หญิงคนนั้นควรจะกลับมาได้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากวัง และเห็นแม่ทัพฉีรออยู่นอกวัง แม่ทัพฉีได้รับแจ้งจากจวนอ๋องเย่มานานแล้ว
เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาในวังเพียงลำพัง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แม่ทัพฉีก็รีบมาที่นอกวังในทันที เดิมทีเขาตั้งใจจะเข้าไปในวัง แต่เมื่อมาถึงประตูวัง เขาก็ได้รับแจ้งว่าฝ่าบาทต้องการให้เขารออยู่นอกวังและห้ามเข้าไปในวัง
แม่ทัพฉีร้อนใจเหมือนถูกไฟเผา และเดินเตร่อยู่ที่หน้าประตูวัง หากเกิดเรื่องขึ้นกับบุตรสาว เขาจะรีบเข้าไปในทันที
เมื่อบุตรสาวออกมาแล้ว เขาจึงโล่งใจ
มีบทเรียนจากอดีต แม่ทัพฉียิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าในวังนี้จะมีสัตว์ร้ายที่กินคน เมื่อใดก็ตามที่บุตรสาวของเขาเข้าไปในวัง เขาก็ล้วนแต่เป็นกังวล
เมื่อพ่อลูกพบกัน แม่ทัพฉีก็รีบพาฉีเฟยอวิ๋นกลับไปในทันที และนั่งรถม้าของฉีเฟยอวิ๋นไป
บนรถม้า แม่ทัพฉีได้รับแจ้งว่าเกิดเรื่องขึ้น และเมื่อได้ฟังฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ เขาก็โกรธมาก:“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร!ข้าจะเข้าไปพบฝ่าบาทในวัง!”
“ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นความเต็มใจของลูกเองเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นยับยั้งความหุนหันพลันแล่นของนาง
แม่ทัพฉีจึงสงบลง แต่เหตุใดในใจจึงสับสนวุ่นวาย
“พ่อยอมเสี่ยงตายเพื่อฝ่าบาทไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทจะทำกับพ่อเช่นนี้ พ่อช่าง……”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดซี้ซั้ว หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ลูกก็ยินดีมากเจ้าค่ะ หากเฉินอวิ๋นเอ๋อร์เข้ามา ลูกก็จะเบาลง ถือเป็นเรื่องดีและลดความยุ่งยากได้มาก”
“ฮึ พ่อไม่ยินยอม”
แม่ทัพฉียิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และกำหมัดแน่น:“พ่อจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และพูดคุยเรื่องนี้ให้ดี แล้วถามฝ่าบาทว่าสงบจิตสงบใจได้อย่างไร”
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ฝ่าบาทก็ไม่อาจทำตามพระประสงค์ได้ ในเวลานี้พระองค์ก็ทรงกังวลเรื่องแต่งคุณหนูรองของตระกูลจวิน หากท่านไปในเวลานี้จะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเปล่า ๆ ไม่สู้ทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทจะดีกว่า ให้เฉินอวิ๋นเอ๋อร์เข้ามา ลูกคิดว่าหากนางสามารถเป็นพระชายาของจวนอ๋องเย่ได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องดี”
“……” แม่ทัพฉีไม่ได้พูดมาตลอดทาง และนั่งอยู่ในรถม้าด้วยความโกรธและไม่สบายใจ
เมื่อมาถึงจวนท่านแม่ทัพก็ลงจากรถม้า และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้กลับไปที่จวนอ๋องเย่
จนกระทั่งมืด ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังอยู่เกลี้ยกล่อมแม่ทัพฉีที่จวนท่านแม่ทัพ ในเมื่อฝ่าบาททรงมอบหมายให้นางแล้ว หากนางไม่ทำตามพระบัญชา เกรงว่าจะไม่จบลงด้วยดี นางจึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมแม่ทัพฉี
ฉีเฟยอวิ๋นต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเกลี้ยกล่อม แต่ไม่ว่าอย่างไรแม่ทัพฉีก็ไม่ยอม และในขณะนี้ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่คิดจะกลับไปที่จวนอ๋องเย่แล้ว
ดึกแล้ว หนานกงเย่ก็ยังคงรออยู่
พ่อบ้านหยิบเสื้อมาคลุมให้หนานกงเย่:“ท่านอ๋อง ได้เวลาพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงเย่ถามว่า:“ทังเหอล่ะ?”
“อยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านรีบตอบ ไม่เสวยอาหารมาสองมื้อแล้ว จะกินยาลงไปก็ไม่ได้ แล้วเมื่อไหร่จะหายดี
“เรียกเขาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านไม่กล้าพูดอะไรมาก และรีบออกไปเชิญทังเหอเข้ามา หลังจากนั้นไม่นานทังเหอก็เข้ามาจากข้างนอก
“ท่านอ๋อง”
สีหน้าของหนานกงเย่ซีดเซียว และเดินกลับไปนั่งที่เตียง ร่างกายของเขาดีอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ายาของฉีเฟยอวิ๋นจะได้ผล แต่สีหน้าของเขาดูไม่ดีเลย
จนถึงตอนนี้แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่กลับมา เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“เกิดอะไรขึ้น?ไปดูมาแล้วหรือไม่?” สีหน้าของหนานกงเย่เย็นชา
ทังเหออดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋นหรือ?
“กราบทูลท่านอ๋องไปดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ รถม้าออกมาตอนเที่ยง แต่ยังไม่กลับมา” ทังเหอไปถามมาเมื่อครู่
“ไปสืบมา!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทังเหอออกไปสืบในทันที และครึ่งชั่วยามต่อมาก็สืบเรียบร้อย
“พระชายากลับไปที่จวนท่านแม่ทัพแล้วพ่ะย่ะค่ะ รถม้าอยู่ที่ด้านนอกจวนของท่านแม่ทัพ” ทังเหอกลับมารายงาน
หนานกงเย่ทำเสียงฮึ:“ไม่มีกฎระเบียบ!”
หลังจากที่พูดจบก็ไม่กินข้าวกินยา แล้วนอนพัก
ฉีเฟยอวิ๋นจากมาสองวันแล้ว พระราชโองการของฝ่าบาทก็น่าจะมาถึงจวนอ๋องเย่แล้ว
เช้าตรู่วันต่อมา ฉีเฟยอวิ๋นก็กลับไปที่จวนอ๋องเย่ หลังจากที่ลงจากรถม้าแล้ว นางก็ได้รับพระราชโองการในทันที
ในเดือนหน้าเฉินอวิ๋นเอ๋อร์จะแต่งเข้ามาในจวนอ๋องเย่ ในฐานะพระชายารองเย่
หลังจากได้รับพระราชโองการแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงไปพบหนานกงเย่
ทันทีที่พบหน้ากัน อ๋องเย่ก็พุ่งเป้ามาที่นาง หมอนเอย ถ้วยชาเอย อะไรที่อยู่ข้างในโยนออกมาจนหมด ด้วยการฝึกทักษะพิเศษเป็นเวลาหลายปี ฉีเฟยอวิ๋นจึงหลบได้หมด แต่พ่อบ้านที่อยู่ข้างหลัง ได้รับความเสียหายอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน และเลอะเทอะไปทั้งตัวจนไม่กล้าขยับ
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจเรื่องส่วนตัวของข้า?” เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เมื่อเขาจ้องไปที่นาง เขากลับตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว ไม่มีการตกแต่งอื่นใดนอกจากกระเป๋าที่ด้านข้าง แต่ไม่รู้ว่าทำไม ใบหน้าของนางจึงสวยมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ไม่ได้เจอกันเพียงแค่สองสามวัน ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นจคนใหม่แล้ว
หนานกงเย่สูดหายใจเข้าด้วยสีหน้าที่เย็นชา:“ออกไปให้หมด”
พ่อบ้านกลัวแทบแย่ และรีบถอยออกไป เขาคิดในใจว่าแล้วแต่บุญกุศลของพระชายาแล้วกัน
หลังจากประตูถูกปิดแล้ว ในห้องก็เหลือเพียงแค่สองคน ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่หนานกงเย่อย่างละเอียด แต่กลับรู้สึกว่าเขาฟื้นตัวเร็วเกินไป ในเวลาเพียงแค่สองสามวัน เขาก็เกือบจะหายดีแล้ว
เพียงแต่ว่าอารมณ์ร้ายยังคงไม่เปลี่ยนไป และฉีเฟยอวิ๋นยังคิดว่าหนานกงเย่ในชาติที่แล้วคงจะเป็นผู้หญิงที่ปากคอเราะร้าย……
“มองอะไร?” หนานกงเย่ถูกจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด วันนี้เขาสวมชุดสีดำพร้อมด้วยไข่มุกเก้ามังกรและมงกุฏทองคำสีม่วง เพราะใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความโกรธ เขาจึงดูหล่อในทันที แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้ ฉีเฟยอวิ๋นทำให้เขาโกรธ
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจในทันทีว่าทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงชอบหนานกงเย่ได้ขนาดนี้
ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ชายคนนี้ไปอยู่ในยุคปัจจุบัน แม้กระทั่งในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาก็ต้องเป็นผู้ชายที่ฮอตมากอย่างแน่นอน
“ไม่ได้มองอะไรเพคะ ท่านอ๋องเกือบจะหายดีแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นเดินตรงเข้าไป หนานกงเย่ตกตะลึงเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้ตอบอะไรก็ถูกฉีเฟยอวิ๋นจับมือไว้ ฉีเฟยอวิ๋นหันไปด้านข้างเล็กน้อยเพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด
เริ่มระบบ นางกวาดสายตามองไปทั่วร่างกายของหนานกงเย่ เหมือนกับการเอกซเรย์ และทำการตรวจร่างกายทั้งหมด
ฉีเฟยอวิ๋นปล่อยมือและกล่าวว่า:“ท่านอ๋องจะหายดีภายในอีกสองสามวัน เชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะแต่งงานกับพระชายารอง”
“ฉีเฟยอวิ๋น ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ”
หนานกงเย่สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลง จากนั้นก็มองด้วยสายตาที่เย็นยะเยือการาวกับน้ำแข็ง:ข้าให้ความกล้าหาญแก่เจ้าหรือ เจ้าถึงได้กล้าทำสิ่งต่าง ๆ แทนข้า ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยูู่แล้ว”
“ข้าอยากมีชีวิตอยู่หรือไม่ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ ท่านก็รู้ว่าเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย แต่หากข้าไม่ตอบตกลง บางทีข้าอาจจะไม่ได้ออกมาจากวัง แแล้วเหตุใดต้องโกรธข้าด้วย!มีอะไรก็เข้าไปบอกปัดพระพันปีในวังเถอะเพคะ”
“ฮึ……หากบอกปัดได้เช่นนั้น ข้าก็น่าจะบีบคอเจ้าให้ตายเลยจริง ๆ!” หนานกงเย่กัดฟัน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปนั่งลงที่ด้านข้างด้วยความโกรธ
“คนที่อยากจะบีบคอข้าให้ตายนั้นมีมากมาย รบกวนพระองค์ช่วยเข้าแถวด้วยเพคะ”
“เจ้า……”
หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน ฉีเฟยอวิ๋นไม่ทันได้เห็นว่าเขาเข้ามา และคอของนางก็ถูกยกขึ้น ร่างของนางถูกหนานกงเย่ยกขึ้นมา
“เจ้ากล้าดียังไงมาโต้ตอบข้า?ข้าจะช่วยส่งเสริมเจ้า!”
หนานกงเย่ออกแรงที่มืออย่างแรง ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนไปรอบ ๆ มือของนางปัดไปมา และไร้เรี่ยวแรงที่จะช่วยตัวเองได้
**********************