องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 457 ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 457 ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว
ฉีเฟยอวิ๋นฟังอยู่ครู่หนึ่ง หูฟังเริ่มขยับไปบนหน้าอกของหวังฮวายอัน การหายใจของหวังฮวายอันเริ่มผันผวน เขามองหนานกงเย่ที่อยู่ด้านข้าง หนานกงเย่กำลังดื่มชาอย่างตั้งใจ เขากัดฟัน:“พวกเจ้าสองสามีภรรยากำลังทำอะไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ใบหน้าอันแดงก่ำของหวังฮวายอัน และไม่รู้ว่าทำไมใบหน้าของเขาถึงแดงเหมือนพระอาทิตย์กำลังตกดินเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นเอาหูฟังออกแล้วไปหยิบพู่กันมาเขียนใบสั่งยา ฉีเฟยอวิ๋นเขียนไปพลางและกล่าวไปพลางว่า:“นิ่วในไตนั้นรักษาได้ไม่ยาก แพทย์แผนจีนแบ่งนิ่วออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ ความร้อนชื้นอุดกั้น ลมปราณติดขัดเลือดอุดกั้น ม้ามและไตพร่อง แต่ละกลุ้มนั้นจ่ายยาแตกต่างกันออกไป
แต่ตำรับยาของหม่อมฉัน ไม่ได้ยุ่งยากเช่นนั้น เพียงแค่หลีกเลี่ยงหัวใจของพระองค์ก็พอแล้ว
นี่เป็นตำรายาดั้งเดิมที่บรรพบุรุษมอบให้ และหมอหลวงอาจจะยังไม่รู้
ฝูหลิง เจ๋อเซี่ย จูหลิง โร่วกุ้ย ไป๋จู๋ นำตัวยาตามใบสั่งยาของหม่อมฉันมาต้มรวมกัน หลังจากนั้นอีกสองสามวัน หม่อมฉันจะทำเป็นยาลูกกลอนมาให้ พระองค์จะได้ไม่ต้องเสวยที่มีรสขมเช่นนั้น วันละสามครั้ง สามวัน……พระองค์ก็จะไม่เจ็บปวดทรมานแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมอบใบสั่งยาให้กับหวังฮวายอัน หวังฮวายอันหยิบไปอ่านอยู่นานและถามว่า:“มันจะได้ผลหรือไม่?”
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าหมอประจำจวนของในจวนพระองค์ไปไหน หรือว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะรักษาพระองค์”
หากบอกเขาตรวจพบว่าพระองค์เป็นนิ่ว แต่ไม่สามารถรักษาได้ เช่นนั้นเขาก็แปลกมาก หากมีเวลาหม่อมฉันคงต้องไปดูเสียหน่อยแล้ว”
หลังจากที่พูดจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ยืนขึ้น:“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ อีกเดี๋ยวพระองค์ส่งเสี่ยวกั๋วจิ้วกลับไปแล้ว เราไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่กันนะ
เสี่ยวกั๋วจิ้ว หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับไปแล้ว ทรงเสวยยาตามที่หม่อมฉันบอกด้วยนะเพคะ
สามวันให้หลัง พระองค์ค่อยเสด็จมาที่จวนแม่ทัพ หม่อมฉันจะให้ยารักษาโรคหัวใจแก่พระองค์ แม้ว่าหม่อมฉันจะสามารถรักษาพระองค์ได้ แต่หม่อมฉันสามารถทำให้พระองค์ไม่รู้สึกวิตกกังวล และเจ็บหัวใจได้!”
หลังจากพูดจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็จากไป สีหน้าของหวังฮวายอันดูงุนงงและขวัญอ่อน นี่มันเป็นท่าทีของผู้หญิง?
หนานกงเย่ลุกขึ้น:“ไปกันเถอะ ข้าจะไปส่งท่าน”
หนานกงเย่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อมองไปที่หวังฮวายอันแล้วกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญมาก
หลังจากที่มาส่งหวังฮวายอันที่หน้าประตูแล้ว หนานกงเย่ก็เหลือบมองใบสั่งยาในมือของเขา:“ในเมื่ออวิ๋นอวิ๋นสงสัยว่าหมอประจำจวนในจวนของท่านมีจุดประสงค์อื่น ท่านก็ควรจะให้ความสนใจมากขึ้น เหตุใดท่านป่วยแล้วถึงไม่บอกข้า ในตอนนี้อวิ๋นอวิ๋นเป็นหมอเทวดา ท่านยังกลัวว่านางจะทำร้ายท่านอีกหรือ?”
หวังฮวายอันเหลือบมองไปที่ใบสั่งยา และมองไปที่ด้านในจวนแม่ทัพ จากนั้นก็กล่าวว่า:“ข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เจ้ากลับไป นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทยากที่จะขัดขืน คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเจ้าให้กลับไปได้ และยังทำให้พวกเจ้าดูอาการป่วยของข้าออกอีก”
“ในเมื่อป่วยแล้วก็ควรรักษาให้หาย หากตายไปแล้วใครจะสนใจท่าน?”
หลังจากที่พูดจบ หนานกงเย่ก็หันหลังกลับเข้าไปในจวนแม่ทัพ หวังฮวายอันเฝ้ามองหนานกงเย่จากไปอย่างเหม่อลอย อากาศร้อนทำให้คนเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เลยหรือ?
จากนั้นหวังฮวายอันก็กลับไปที่จวนกั๋วจิ้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจัดเตรียมของและพาลูก ๆ ทั้งห้าคนไปที่ศาลพิเศษกลาง แม่ทัพฉีลังเลใจมาก จึงตามฉีเฟยอวิ๋นออกไปด้วยและอดไม่ได้ที่จะบ่น
“เด็กตัวเล็กเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเดินทางไปไหนมาไหน?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน:“วันนี้เพียงแค่ไปเยี่ยมองค์หญิงใหญ่และไม่ไปที่ไหนแล้วเจ้าค่ะ หากท่านพ่อไม่สบายใจก็ไปกับพวกเราสิเจ้าคะ”
เดิมทีแม่ทัพฉีไม่อยากไป แต่เมื่อคิดว่าจะต้องแยกตัวจากเหล่าหลานชายของเขา เขาก็ออกไปกับฉีเฟยอวิ๋นด้วย
องค์หญิงใหญ่ไม่ได้พบฉีเฟยอวิ๋นมาเป็นเวลาสี่เดือนแล้ว ยาก็กินไปเกือบจะหมดแล้ว และเรื่องของจวนอ๋องเจ็ดก็ค่อย ๆ เลือนหายไปแล้ว
ตอนที่รู้ว่าป่วย องค์หญิงใหญ่ก็ตกใจเล็กน้อย แต่ต่อมานางก็เข้าใจ ส่วนเรื่องโรคซึมเศร้า องค์หญิงใหญ่ไม่รู้ และคิดว่าเป็นการเจ็บป่วยธรรมดา จึงไม่มีแรงกดดันทางด้านจิตใจ
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นองค์หญิงใหญ่ นางกำลังมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นในสวน ในศาลพิเศษกลางมีต้นไม้อายุแปดร้อยปีอยู่ในสวน มันเติบโตอย่างค่อนข้างแปลก มันไม่ได้เป็นต้นไม้ใหญ่ที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แต่เป็นเหมือนเชือกที่โยนขึ้นไปแล้วห้อยอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่
ฉีเฟยอวิ๋นจะเห็นมันทุกครั้งที่มา ในตอนแรกก็รู้สึกแปลกที่ต้นไม้ใหญ่ชนิดนี้เติบโตอยู่ในสวนอย่างสง่างามเช่นนี้
องค์หญิงใหญ่กำลังมองดูใบไม้บนต้นไม้เหล่านี้
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้า องค์หญิงใหญ่ก็มองไปทางฉีเฟยอวิ๋น นางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นสองสามีภรรยากำลังอุ้มเด็ก ตามมาด้วยอวิ๋นจิ่นและสาวใช้อีกสองคน แม่ทัพฉีและอาอวี่ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นว่ามากันมากเช่นนี้ องค์หญิงใหญ่ก็ขมวดคิ้วแน่น
“มีลูกหลายคนเลย อะไรจะดีขนาดนี้ มีลูกที่เดียวหลายคน” องค์หญิงใหญ่ปากร้าย แต่สายตากลับมองไปที่เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่
หนานกงเย่เดินไปหาองค์หญิงใหญ่และให้นางดู:“ตอนที่ไปพบฮองเฮาในวัง เขาร้องไห้ แต่เมื่อเห็นพระมเหสีหวากลับหัวเราะ จึงมาให้เสด็จอาใหญ่ทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์หญิงใหญ่ไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กตัวเล็กเช่นนี้จะรู้เรื่องแล้ว
“ช่างน่าเกลียดน่าชังจริง ๆ !” องค์หญิงใหญ่มองไปที่เด็กน้อย หน้าตางดงาม เพียงแค่สองเดือนกว่า ๆ ก็เหมือนเด็กสี่ห้าเดือนแล้ว ผิวพรรณขาวผ่อง สมบูรณ์และน่ารัก และกำลังจ้องมองไปที่ดวงตาสีดำกลมใหญ่
องค์หญิงใหญ่ยิ้ม:“ให้ย่าอุ้มหน่อย!”
หลังจากที่พูดจบ องค์หญิงใหญ่ก็อุ้มไป เจ้าใหญ่หัวเราะและหรี่ตา และหัวเราะจนน้ำลายไหลออกมา เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นก็ตกตะลึง:“หัวเราะได้จริง ๆ ด้วย?”
“กระหม่อมบอกแล้ว” หนานกงเย่อิ่มอกอิ่มใจจนออกนอกหน้า และมองลงมาที่บุตรชายของเขา
องค์หญิงใหญ่ยิ้ม นางอุ้มเด็กน้อยและตบเบา ๆ ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มบุตรชายคนเล็กขอนางไปข้าง ๆ องค์หญิงใหญ่:“ยิ้มให้ท่านย่าหน่อย”
ใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ทรุดลง:“เขาจะไปรู้อะไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลง บุตรชายของนางไม่ได้ยิ้มจริง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจ นางมองไปที่บุตรชายอย่างไม่สบอารมณ์:“หากไม่ยิ้ม ต่อไปแม่จะไม่อุ้มเจ้าแล้วนะ แม่จะไปอุ้มพี่รองของเจ้า!”
ในท้ายที่สุดเจ้าห้าก็ยิ้มให้องค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่ตกตะลึง:“เป็นไปได้อย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ค่อนข้างภูมิใจเช่นกัน:“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากเสด็จอาใหญ่ไม่ทรงเชื่อจะตามหม่อมฉันไปดูก็ได้นะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไป องค์หญิงใหญ่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า:“นับว่าเป็นโชคดีของเจ้า คนอื่นต้องให้กำเนิดถึงห้าครั้ง แต่เจ้าให้กำเนิดเพียงครั้งเดียว และได้บุตรถึงห้าคน”
“ก็ดีเพคะ หม่อมฉันคิดว่าครั้งหน้าจะให้กำเนิดอีกสักหกคน” ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มลูกเข้าไปข้างใน เดิมทีองค์หญิงใหญ่อยากจะตำหนิ แต่เมื่อเห็นแม่ทัพฉี นางก็กลืนคำพูดกลับไป
“องค์หญิงใหญ่” แม่ทัพฉีทักทายก่อน
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า:“เข้าไปเถอะ”
หนานกงเย่มองและเดินตามเข้าไป
หลัจากที่วางเด็กน้อยลงแล้ว ผู้คนในศาลพิเศษกลางก็มาดูเด็กน้อยกันไม่น้อยเลย แม้แต่อวิ๋นหลัวฉายก็มาด้วยเช่นกัน
อวิ๋นหลัวฉายเข้ามาและถวายบังคมทีละคน ฉีเฟยอวิ๋นรีบตอบว่าไม่ต้องหรอก องค์หญิงใหญ่ส่งเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนให้อวิ๋นหลัวฉาย:“ดูว่าชอบหรือไม่ หากเป็นบุตรสาวก็จะให้แต่งงานกัน แล้วให้พวกเขามาอยู่บ้านเรา”
เมื่อหนานกงได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเขาก็น่าเกลียดราวกับก้อนน้ำแข็ง
“เสด็จอาใหญ่ นี่มันมากเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายของหนานกงเย่จะไม่แต่งเข้าบ้านใครเด็ดขาด!”
องค์หญิงใหญ่มองไป:“เช่นนั้นข้าก็ให้เขาแต่งเข้ามาไม่ได้แล้วสิ!”
ฉากนี้ดูอึดอัดทำตัวไม่ถูก และแม่ทัพก็ไม่เต็มใจเช่นกัน
“ฮึ!”
แม่ทัพฉีอุ้มหลานชายขึ้นมาคนหนึ่งและหันหลังกลับไป จากนั้นก็ตะโกนบอกอวิ๋นจิ่นว่า:“จิ่นเอ๋อร์ ไปกันเถอ!”
อวิ๋นจิ่นอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา นางถอนสายบัวและหันหลังเดินจากไป
แน่นอนว่าหนานกงเย่ไม่รอช้า เขาอุ้มลูกที่อยู่ในอ้อมแขนของอวิ๋นหลัวฉายแล้วจากไป
หงเถาและลี่ว์หลิ่วหันไปมองเจ้านายและหันหลังจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นพบว่านางถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยว!