องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 485 ต้ากั๋วจิ้วผู้มีอำนาจเกินควร
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นคำว่าภัยแตนนั้น หัวใจของนางก็เสมือนกับว่าได้รับพิษกู่เข้าและก็หวาดกลัวต่อสองคำนี้
คำสองคำนี้นับเป็นเงินสิบล้านตำลึง
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มเจื่อนๆ: “ฝ่าบาท?”
“ไม่ต้องตกอกตกใจ เงินของครั้งก่อนนั้นได้จัดสรรลงไปแล้ว ตอนนี้ในท้องพระคลังไม่ได้มีเงินใดๆแล้วแต่กลับยังไม่ถึงมือของผู้ประสบภัย”
“มีคนสกัดไว้หรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าเกี่ยวกับความอยู่รอดของผู้ประสบภัยก็รีบถามขึ้น
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า: “สกัดเอาไว้แล้ว เงินก็ถูกยึดไปแล้ว!”
“ฝ่าบาท ผู้ใดช่างกล้าหาญถึงเพียงนี้ถึงได้ยึดเอา…….” ฉีเฟยอวิ๋นตะลึงงันและก็กำลังจะคุกเข่าลงแต่ถูกองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ดึงมือเข้ามายังตรงหน้า: “ไม่ใช่อ๋องเย่”
ฉีเฟยอวิ๋นโล่งใจ
“เช่นนั้นคือผู้ใดเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นคิดไม่ออกว่าในเมืองหลวงนั้นนอกจากหนานกงเย่ที่ช่างกล้าเช่นนี้ยังจะมีผู้ใดที่มีความกล้าเช่นนี้อีก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม: “นั่งลงเถอะ วันนี้ข้าต้องการปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้า”
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยได้ยินหนานกงเย่กล่าวถึง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้ทรงตรัสว่า: “เขาจะไม่รู้ได้หรือ เขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และเขาควบคุมดูแลสามสำนักหกภาคกระทรวง เจ้าคิดว่านั่นเป็นผู้ที่เลอะเลือนหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กล่าวสิ่งใด รู้ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องกล่าวถึงคนผู้นี้
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วเก็บความโมโหเอาไว้บ้างแล้วทรงตรัสว่า: “เป็นต้ากั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อ”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “ต้ากั๋วจิ้วรับตำแหน่งหน้าที่เสนาบดีสำนักตรวจราชการ อดีตจักรพรรดิทรงจากไปแล้วเขาอยู่ในฐานะเสนาบดี ในตอนนี้เขาได้จับกุมกระทรวงการคลังเอาไว้แล้ว”
“เงินบรรเทาทุกข์ต้องผ่านกระทรวงการคลังแต่เมื่อถึงยังกระทรวงการคลังแล้ว ต้ากั๋วจิ้วถือสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ เพียงแค่หาข้ออ้างขัดขวางฝ่าบาทก็สามารถนำเงินไปได้แล้วหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าตกใจ หวังฮวายเต๋อช่างกล้าเกินไปแล้ว เงินบรรเทาภัยพิบัติของฝ่าบาทก็กล้ายึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“อวิ๋นอวิ๋นกล่าวได้ถูกต้อง ต้ากั๋วจิ้วมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ข้าเริ่มทำราชการเองต้ากั๋วจิ้วก็ได้เกษียณแล้ว แต่เขาได้หางานสบายไว้ให้กับตนเอง อยู่ในเสนาบดีสำนักตรวจราชการกุมอำนาจของกระทรวงการคลัง เพียงแค่ว่าหลายปีมานี้มิได้เคยไปไถ่ถามด้วยตนเอง แต่เรื่องบรรเทาภัยพิบัติในครั้งนี้เขากลับไปไถ่ถามด้วยตนเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?”
ฉีเฟยอวิ๋นจำได้ว่าแม้ในช่วงเวลาที่หนานกงเย่เสแสร้งแกล้งทำเป็นโมโหก็ไม่เคยกระทำการเช่นนี้มาก่อน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั้นไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใด ในสมองของฉีเฟยอวิ๋นนั้นได้ปรากฏใบหน้าของมู่เหมียนขึ้นมา
“เพื่อมู่เหมียนหรือ?”
“มู่เหมียนเข้าวังมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และช่วงเวลานี้ก็ถือได้ว่าเป็นการจำกัดเวลาให้ข้า จนถึงขณะนี้ทางด้านมู่เหมียนยังไม่มีความเคลื่อนไหวอันใด ต้ากั๋วจิ้วก็ต้องวิตกกังวลเป็นธรรมดา”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา เป็นฝ่าบาทนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ มีลูกยังต้องถูกคนบังคับ
“ฝ่าบาท เรื่องนี้นั้นเช่นไรก็ไปหาต้ากั๋วจิ้วจะดีกว่าไม่เช่นนั้น……” ให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงโปรดปรานมู่เหมียนนั้นฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถเอ่ยปากออกมาได้
มู่เหมียนไม่ได้ชอบพอองค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั้นฉีเฟยอวิ๋นรู้ดี
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระสรวล: “เช่นนั้นข้าไปหามู่เหมียนยังดีซะกว่า หากต้ากั๋วจิ้วพูดคุยได้ง่ายดายเช่นนั้นจะกระทำการเช่นนี้หรือ?”
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงตรัสเรื่องนี้กับหม่อมฉัน ไม่ทราบว่าหมายความว่าสิ่งใดเพคะ?”
“ฮูหยินกั๋วจิ้วเคยได้รับความช่วยเหลือจากอวิ๋นอวิ๋น อวิ๋นอวิ๋นลองดูจะเป็นเช่นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธในทันที: “เรื่องที่ฝ่าบาททรงจัดการไม่สำเร็จหม่อมฉันไปก็เกรงว่าจะไม่ได้การ ฝ่าบาททรงได้โปรดคืนพระบัญชาอย่าได้ทำให้หม่อมฉันลำบากใจเลยเพคะ”
“เช่นนั้นควรทำเช่นไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสถามจนฉีเฟยอวิ๋นอึดอัดขึ้นโดยไร้ซึ่งการโต้ตอบใดๆ
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงลุกขึ้น: “ข้าไม่ต้องการถูกผู้ใดควบคุม”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงหันไปทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นยืน: “ฝ่าบาทภัยพิบัติจากตั๊กแตนนั้นหม่อมฉันมีวิธีจัดการ แต่ว่า…….”
“ว่ามา”
“ต้ากั๋วจิ้วนั้นกระทำการเกินเลยต่อภาระหน้าที่ของกษัตริย์และขุนนางจริงๆ แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายที่จะจัดการเขาในตอนนี้ ประการแรกท่านอ๋องไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ เชื่อว่าท่านอ๋องไม่ได้ลำบากในการจัดการเรื่องของต้ากั๋วจิ้ว แต่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควร ปัญหาทั้งภายในและภายนอก ทหารที่ชายแดนต้องการเงินเพื่อใช้ผ่านพ้นฤดูหนาว ทางใต้เกิดภัยพิบัติโหมกระหน่ำใส่แล้วยังต้องตามสืบหาผู้ทรยศท่านอ๋องต้องการจัดการทีละเรื่องๆเป็นแน่
และภาระงานเร่งด่วนที่สุดคือกระทำสามเรื่องตรงหน้าซะก่อนถึงจะสามารถจัดการกับต้ากั๋วจิ้วได้
ได้ยินมาว่าต้ากั๋วจิ้วก็มีอำนาจในราชสำนักส่วนหนึ่งด้วย เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าเป็นการตระเตรียมเพื่อฝ่าบาทเป็นการลับ แต่เมื่อดูในตอนนี้นั้นมีดเล่มนี้ใข้ได้ดีก็เตรียมไว้สำหรับฝ่าบาท ใช้ได้ไม่ดีก็ไม่ใช่
าิ่งสำคัญอยู่ที่มู่เหมียน แต่เรื่องบางเรื่องใช่ว่ารีบร้อนแล้วจะจัดการเรื่องราวได้
หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ที่ขาดแคลนก็คือเงิน จะดีกว่าหรือไม่หากนำเงินไปบรรเทาทุกข์ ประการแรกจะไม่มีผู้ใดยึดเอาไว้ ประการที่สองจะไม่มีขุนนางโลภมากนำเข้ากระเป๋าส่วนตัว”
“ข้าคิดว่าครั้งนี้ข้าจะนำฎีกานี้ให้อวิ๋นอวิ๋นดู อวิ๋นอวิ๋นคงจะขัดขวางข้าเอาไว้” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสได้ตรงประเด็นถึงความรู้สึกคับข้องใจฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นจะกล่าวสิ่งใดได้ ผู้ใดใช้ให้นางถูกจับได้ว่ากล่าวลับหลังตรงหน้าประตูวัง
“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ”
“เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นว่าเงินนี้จะรวบรวมมาจากที่ใด ก่อนหน้านี้ระดมอีกสิบล้านตำลึงก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้เกรงว่าจะไม่พอ เดิมทีสิบล้านตำลึงของอ๋องตวนได้เก็บเข้าในท้องพระคลัง นำเงินออกมาแปดล้านตำลึงไปบรรเทาทุกข์ เงินจำนวนนี้ข้าได้ถามแล้ว กระทรวงารคลังแจ้งข้าว่ากำลังจัดการอยู่ เรื่องนี้รอช้าไม่ได้เขายังจะจัดการอยู่อีก”
“ฝ่าบาท พระองค์คือฝ่าบาทหรือว่าไม่สามารถลงมือโหดร้ายสักหน่อย ผู้ใดยึดเอาไว้ก็ทรงจัดการกับผู้นั้น หากเขาไม่นำเงินออกมาก็จัดการทีละคน ท้ายที่สุดแล้วก็สามารถจัดการจนถึงตัวของต้ากั๋วจิ้วได้โดยไม่เชื่อว่าเขาจะไม่กลัว!”
“เช่นไรเขาก็เป็นลุงของข้า จัดการเรื่องนี้แล้วก็เป็นการจัดการตัวข้าเองไม่ใช่หรือ? พระพักตร์ของเสด็จแม่ข้ายังต้องการอยู่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นทำได้เพียงถอนหายใจ: “เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรวบรวมเงินให้เพียงพอ แต่ฝ่าบาทจะคิดคำนวณเงินนี้เช่นไร? ให้อ๋องเย่นำออกมาหรือว่ารวบรวมจากเบื้องล่างให้ครบ?”
“ข้าจะรู้ได้เช่นไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเช่นนี้ฉีเฟยอวิ๋นนั้นยังคงรู้สึกอักอั้นตันใจ รู้สึกว่าถูกคาดการณ์เอาไว้เช่นดังเดิม
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงวางพระทัยหม่อมฉันจะเร่งรวบรวมเงินออกมาให้ครบ ” ฉีเฟยอวิ๋นกระตือรือร้นที่จะกลับไปให้เร็ว แม้ว่าจะทุกข์ทรมานจนกระอักเลือดแต่สามารถทำให้นางออกจากวังหลวงไปได้นั้นดีซะยิ่งกว่าสิ่งใด หากว่าอยู่ต่อจริงๆนางไม่กล้าคิดเลยว่าจะมีเงินสิบล้านตำลึงอีกกี่ตัว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กลับไม่รีบร้อน: “เช่นไรก็มาแล้วเจ้าออกจากวังผู้เดียวข้าก็ไม่วางใจ มิเช่นนั้นอยู่ต่อเถอะ รออ๋องเย่มารับเจ้าแล้วกลับไปด้วยกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สะดวกเจรจาจึงได้รับปาก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้ขันทีน้อยเข้ามานำอาหารออกแล้วเดินไปยังตู้ตำราส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นฝนหมึก ฉีเฟยอวิ๋นฝนหมึกส่วนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เขียนคำอุทาน
ฉีเฟยอวิ๋นมองตัวอักษรตัวใหญ่นั้น จู่ๆก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น ตัวอักษรของผู้สูงศักดิ์นางไม่เข้าใจ
“ตัวอักษรนี้ดีหรือไม่?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสถามฉีเฟยอวิ๋น
“ดีเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นหนื่อยยิ่งนัก นางไม่เหมาะที่จะคอยปรนนิบัติผู้อื่นและประจบสอพลอ เกรงว่าไม่ทันได้ระวังจะวางยาพิษอีกฝ่ายไปแล้ว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงพระสรวล: “อืม!”
ดูเหมือนว่าจะทรงพอพระทัย องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่งสัญญาณให้ฉีเฟยอวิ๋นจัดการเก็บให้เรียบร้อยจากนั้นจึงนั่งลงแล้วทรงเริ่มอ่านฎีกาฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง มองดูองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงอ่านฎีกา
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่มีสิ่งใดพูดคุย ฉีเฟยอวิ๋นจะได้ไม่ต้องคิดหาสิ่งใดมาตอบโต้
กระทั่งถึงตอนค่ำ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้ทรงวุ่นจนเสร็จสรรพ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองดู จากนั้นทรงลุกขึ้นรับสั่งให้จัดพระกระยาหาร
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าค่ำมืดแล้วจึงต้องการไปน้อมทักทายพระพันปีรวมถึงจากไปจากองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ได้
“รับอาหารแล้วข้าส่งเจ้าไป” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตัดสินพระทัยเอง ฉีเฟยอวิ๋นนั้นก็ไม่สะดวกกล่าวสิ่งใด จึงต้องนั่งลงและทานอาหารกับองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ให้เรียบร้อย
ทั้งสองออกมาจากพระคำหนักบำรุงฤทัยไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าลังเลนี่ไม่ได้ไปตำหนักเฉาเฟิ่งหรอกหรือ?