องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 499 ถึงอย่างไรก็มิใช่คนดี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 499 ถึงอย่างไรก็มิใช่คนดี
หนานกงเย่ทำหน้าบึ้งตึงออกมาจากในวัง ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงเขาเดินมาถึงรถม้า จึงเปิดม่านบนรถม้าออกไปมองหนานกงเย่ ไห่กงกงสะบัดแส้หางจามรีและเปิดพระราชโองการ:“พระพันปีทรงมีพระราชโองการ พระชายาเย่รับพระราชโองการ”
ฉีเฟยอวิ๋นลงมาจากรถม้าและคุกเข่าลงเพื่อรับพระราชโองการ ไห่กงกงกล่าวว่า:“ข้าเข้ามาในวังแห่งนี้ด้วยตัวเอง และไม่กล้ากระทำความผิด แต่วันนี้ข้าทำผิดพลาดอย่างมิอาจให้อภัยได้ เป็นข้าเองที่หละหลวมและยากที่จะลบล้างความผิด ข้าจะไปขอรับโทษจากบรรพบุรุษ
พระชายาเย่กตัญญูกตเวทีเป็นอันดับแรกเสมอ อ๋องเย่มีใจเป็นห่วงข้า และขอให้พระชายาเย่ไปเป็นเพื่อนข้า อนุญาต!”
ฉีเฟยอวิ๋นตัดสินใจไม่ถูก นี่มันอะไรกัน?
การโจมตีและการแก้แค้น?
ฉีเฟยอวิ๋นรับพระราชโองการ ไห่กงกงรีบกล่าวว่า:“พระพันปีจะเสด็จไปที่ศาลบรรพชน วันนี้พระชายาเย่กลับไปเตรียมการเถอะพ่ะย่ะค่ะ แล้วยามจื่อค่อยมา”
“ขอบคุณกงกงที่เตือน”
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มไม่ออกจริง ๆ การเป็นพระชายาทำไมถึงได้ไม่อิสระเช่นนี้
“เอาล่ะ กงกงกลับไปเถอะ ข้าก็จะกลับแล้ว”
หนานกงเย่ขึ้นไปบนรถม้า แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ตามขึ้นไป เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอลูก ๆ อันเป็นที่รักสิบกว่าวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์
นางนั่งอยู่ในรถม้าและอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่พูดอะไร
หนานกงเย่รู้สึกลำบากใจ เขากอดฉีเฟยอวิ๋นไว้และกล่าวว่า:“ข้าก็อาลัยอาวรณ์เช่นกัน!”
“……”
ทั้งสองกลับไปจวนแม่ทัพ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสารลูก ๆ นางจูบทีละคนและไปนอน
เมื่อถึงยามจื่อฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปในวัง หลังจากที่รออยู่ในวังสองสามชั่วยาม ฉีเฟยอวิ๋นเผลอหลับในขณะที่ยืนอยู่
ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังหลับ นางรู้สึกว่ามีเสื้อคลุมมาคลุมบนไหล่ของนาง ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นอย่างตกตะลึง เมื่อหันกลับไปมอง นางก็เห็นหนานกงเย่ยืนอยู่ข้าง ๆ และกำลังเอาเสื้อคลุมคลุมให้นาง เขาดึงมือของนางไปที่ริมฝีปากแล้วพ่นลมออกจากปาก จากนั้นก็เอามือของนางเข้าไปในเสื้อ
ในเวลานี้มือของฉีเฟยอวิ๋นเย็นเฉียบ ทั้งสองคนหดตัวลง หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋นไว้และมองนางอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ว่าจะหนาวสักแค่ไหนเขาก็ไม่รู้สึกว่าหนาว
“ทำไมเจ้าโง่เขลาเช่นนี้ บอกให้ยืนตรงนี้เจ้าก็ยืน หากให้เจ้าไปตายเจ้าก็คงไป ไม่มีใครอยู่ ทำไมเจ้าถึงไม่ไปพักผ่อน?”
“ไม่ถูกกฎระเบียบเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม
“ฮึ!” หนานกงเย่รู้สึกหนักใจและไม่อยากพูดอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”
ไห่กงกงรีบกล่าวว่า:“ท่านอ๋องไม่ได้หายไปไหนพ่ะย่ะค่ะ ทรงยืนรออยู่ตรงนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไห่กงกงแล้วยิ้ม:“กงกงไปพักผ่อนก่อนเถอะ ใกล้จะรุ่งสางแล้ว พวกเราจะยืนอีกสักเดี๋ยว”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงเดินตรงไป ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามองใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเย่และจูบลงบนริมฝีปากของเขา
สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง แล้วดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา เขากอดฉีเฟยอวิ๋นไว้แน่น และจ้องมองไปที่ประตูของตำหนักเฉาเฟิ่งด้วยแววตาที่เหมือนคบเพลิง
ในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจและความไม่เต็มใจของหนานกงเย่ นางเกาะแขนของหนานกงเย่:“ท่านอ๋อง พระองค์เคยคิดที่จะล้มเลิกทั้งหมดหรือไม่เพคะ?”
“ไม่เคย” หนานกงเย่กล่าวอย่างเย็นชา
“แล้วตอนนี้ท่านอ๋องทรงคิดอะไรอยู่เพคะ?”
“ข้าคิดที่จะทำให้เฉาเหวินและพวกเขาน่าสมเพช”
“……” ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากอ้อมแขนของหนานกงเย่:“ท่านอ๋องทรงเคยได้ยินเรื่องการกวาดล้างลิ่วเหอหรือไม่เพคะ?”
“ไม่เคย” หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้น เขาดูกระตือรือร้นและอารมณ์ดี
ฉีเฟยอวิ๋นกลัวว่าเขาจะกลัดกลุ้ม จึงใช้สมาธิตรวจดูร่างกายของเขา และพบว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วกว่าปกติ และเห็นได้ชัดว่าเกิดจากความโกรธ
เมื่อนึกถึงข้อเสียของหนานกงเย่เวลาที่โกรธจัดแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงหาสิ่งที่น่าสนใจมาพูดกับเขา
หนานกงเย่ไม่เคยได้ยินมาก่อนและให้สนใจเป็นอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดถึงเรื่องการกวาดล้างลิ่วเหอและหนานกงเย่ฟังอย่างตั้งใจ ไห่กงกงเดินออกมาจากข้างในและเตือนว่า:“ได้เวลาแล้ว พระชายาเย่ไปกับบ่าวเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่จับมือของฉีเฟยอวิ๋น ราวกับว่าจะมีใครมาแย่งพระชายาของเขาไป ไห่กงกงสะดุ้งตกใจ เขาไม่ได้เห็นอ๋องเย่แสดงสีหน้าและท่าทางเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ในความทรงจำของเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นตอนที่อดีตจักรพรรดิเสด็จจากไป หนานกงเย่จับมือไว้และไม่ยอมปล่อย
“ท่านอ๋อง เพียงแค่เข้าไปเป็นเพื่อนพระพันปีข้างในเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงเตือน หนานกงเย่จึงปล่อยมือ
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหนานกงเย่แล้วยิ้ม:“ท่านอ๋อง กลับไปแล้วหม่อมฉันค่อยเล่าให้ฟังนะเพคะ”
“อืม” หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมาและเดินจากไป จากนั้นหนานกงเย่ก็กลับไปทำงาน
เฉาเหวินถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์ หลังจากที่ตรวจสอบเงินของเขาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ปิดผนึกหีบในชั่วข้ามคืน หนานกงเย่จึงไปจัดการเรื่องเงิน
เมื่อจัดการเรื่องเงินเรียบร้อยแล้วก็ไปจัดการเฉาเหวิน
เฉาเหวินถูกตัดศีรษะแล้วเสียบประจาน หวังเฟิ่งอี๋แขวนคอตายในบ้าน ต้ากั๋วจิ้วไม่สามารถหลบหนีได้ หนานกงเย่ลงโทษโดยการลดดเบี้ยหวัดของเขา และมีข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
ฉีเฟยอวิ๋นบูรณะจวนอ๋องเย่อย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากการทำงาน และเฉาเหวินถูกยึดทรัพย์เพาะเอาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง
พระพันปีทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก และกักบริเวณฉีเฟยอวิ๋นให้อยู่ในวัง
เมื่อแม่ทัพฉีกลับมา เขาก็เหลือบมองหนานกงเย่ด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ:“คนข้างนอกพวกนั้นไม่กลัวว่าลิ้นจะขาด”
“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง พวกเขาควรจะถูกตัดลิ้น หลายวันที่ผ่านมา ข้ามีเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปจัดการคนปากเสียพวกนั้น”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของหนานกงเย่ก็ไม่น่ามองเป็นอย่างมาก
แม่ทัพฉีเหลือบมองและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า
“ข้าจะเข้าไปดูเจ้าใหญ่และคนอื่น ๆ” หลังจากที่แม่ทัพฉีไปแล้ว หนานกงเย่ก็กลับไปที่ห้อง จากนั้นทังเหอก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตรวจสอบแน่ชัดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หวังเฟิ่งอี๋รับสารภาพทุกอย่างและทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับจวนจิ้วพ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอยื่นจดหมายให้หนานกงเย่ แต่หนานกงเย่ไม่ได้อ่าน
“ในเมื่อตรวจสอบได้แล้ว ข้าก็จะออกไปข้างนอก ช่วยดูแลจวนให้ข้าด้วย”
“ท่านอ๋อง……”
“เหล่าทหารที่ชายแดนกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว ข้ารออีกไม่ได้แล้ว ต้องนำเงินไปเปลี่ยนเป็นของใช้ในฤดูหนาวและส่งไป
ที่นี่มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้า พระชายาไม่อยู่ หากมีอะไรก็ไปหาหวังฮวายอัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงเย่ออกเดินทางในตอนบ่ายของวันนั้น และระหว่างทางก็เตรียมข้าว ฟาง และผ้าฝ้ายไปด้วย
ที่ศาลบรรพชน
พระพันปีนั่งลงและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นฝังเข็มให้พระพันปี จนพระพันปีรู้สึกสบายขึ้นและนั่งลืมตาอยู่ตรงนั้น
“หากข้าไม่เรียกเจ้า เจ้าก็คงจะลืมข้าไปแล้ว เพราะเจ้ามีลูก ๆ อันเป็นที่รักและลืมข้าไปแล้ว”
“หม่อมฉันมิกล้า?หม่อมฉันคิดถึงเสด็จแม่เสมอเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นพูดไปพลางและถอนเข็นไปพลาง
พระพันปียิ้มในทันที:“ทำไมข้าถึงดูไม่ออกเลย?เจ้าเข้ามาในวังหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เอาเครื่องประทินโฉมมาให้ข้า แถมยังจะไม่มาคารวะอีก”
“เสด็จแม่ทรงตำหนิหม่อมฉัน เห็นได้ชัดว่าหม่อมฉันหวาดกลัว” สีหน้าของฉีเฟยอวิ๋นดูงุนงง
พระพันปียิ้มชอบใจ:“ทำไมรึ?”
“เสด็จแม่……หม่อมฉันมิกล้าพูดเพคะ”
“ความผิดของฮองเฮากลายเป็นคุณงามความดีงั้นรึ?” พระพันปีหลับตาลงและปล่อยให้ฉีเฟยอวิ๋นถอนเข็มให้นาง
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าใจ:“ในเมื่อเสด็จแม่ทรงทราบแล้ว เหตุใดถึงต้องถามอีกล่ะเพคะ?”
“ข้าเห็นว่าเจ้าทั้งฉลาดและโง่เขลา ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นฮองเฮา ขอเพียงแค่นางเชื่อฟังก็เพียงพอแล้ว หากฝ่าบาททรงมีหลักการขั้นพื้นฐาน คนฉลาดเช่นเจ้าก็สามารถเป็นฮองเฮาได้ คำนึงถึงเหล่าราษฎร จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ยังจะมีอะไรที่เป็นไม่ได้อีก
เพียงแต่……”
พระพันปีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และฉีเฟยอวิ๋นก็เงียบไม่พูดไม่จา
ถึงอย่างไรเฉินอวิ๋นชูก็มิใช่คนดี!