องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 510 ช่วยชีวิตสวีกงกง
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากพระราชวังได้ทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องครั้งนี้จะจัดการดำเนินการได้เร็วอย่างนี้
คิดไม่ถึงว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะตอบตกลงอย่างง่ายดาย เรื่องต้องการให้สวีกงกงเป็นคนรับใช้ในจวนอ๋องเย่ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจมาก
แต่ว่าถึงอย่างไรก็จ้างงานมาหลายปี ก็นับว่าเป็นพระคุณแก่สวีกงกงแล้ว
พอรถม้ามาถึงก็ได้พบเจอความวุ่นวายอยู่หน้าประตูจวนอ๋องเย่ คนกลุ่มหนึ่งกำลังเกาะติดอยู่ที่นั่น ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าแล้วรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดเพิ่งจะออกไป หน้าประตูจวนก็มีคนมาชุมนุมมากมายเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแค่นี้ มันคล้ายดั่งว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนะสิ
ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้า พอดีกับที่พ่อบ้านเดินออกมา กำลังเรียกคนให้รีบเข้าพระราชวัง ได้เห็นฉีเฟยอวิ๋นพ่อบ้านน้ำตาคลอเบ้ากล่าวว่า “พระชายา ในที่สุดก็กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นท่าทีพ่อบ้านเป็นอย่างนั้น ก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ชำเลืองมองคนตรงหน้าประตูแล้วไม่มีเวลาถามสนใจอะไรมาก จึงเร่งเดินไปที่เรือนจวินจื่อ เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในจวนอ๋องเย่ต่างยุ่งวุ่นวายกันเป็นพัลวัน พอเห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วพากันทำความเคารพก็พากันวิ่ง
ทิศทางของทุกคนล้วนเป็นเรือนจวินจื่อ คนสำคัญที่สุดของฉีเฟยอวิ๋นต่างอยู่ที่นั่น ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งไปทางนั้นโดยไม่สนใจอะไรแล้ว
เข้ามาแล้วเจอเลือดนองอาบอยู่บนพื้นทั่วทุกแห่ง คนที่ยืนอยู่หน้าประตูเปลี่ยนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นลังเลใจครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไป
หนานกงเย่ที่อยู่ด้านในหันมาทางฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน ได้พบท่านอ๋องเย่เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก กล่าวว่า“ท่านอ๋อง!”
หนานกงเย่รู้ว่าเธอเป็นห่วง เอ่ยปากขึ้นว่า“ลูกๆมิเป็นอันใดหรอกนะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสาวเท้าก้าวเดินมาตรงหน้าหนานกงเย่ แล้วกล่าวยกขึ้นว่า“กั๋วจิ้วล่ะเพคะ?”
“กั๋วจิ้วก็มิเป็นไร”หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบตามเคย
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกไม่สบายใจ หากว่าไม่มีอะไร ก็ไม่มีทางมีสีหน้าเช่นนี้หอก
“เช่นนั้นผู้ใดเป็นอะไรเพคะ?”
“สวีกงกงจะไม่ไหวแล้ว เข้าไปดูเถิด”หนานกงเย่พูดจบก็เดินไปอีกด้าน ฉีเฟยอวิ๋นมองห้องกว้างปลอดโปร่งอย่างมาก
ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับสวีกงกงฉีเฟยอวิ๋นเลยมองไปด้านในห้อง มองเห็นด้านในมีคนนอนอยู่ผู้หนึ่ง อีกด้านมีคนคอยปรนนิบัติ
ฉีเฟยอวิ๋นเร่งฝีเท้าเดินไป พอมาถึงตรงหน้าของสวีกงกง ฉีเฟยอวิ๋นได้คุกเข่ารีบดู ตอนนี้สวีกงกงนอนไม่ได้สติอยู่ ฉีเฟยอวิ๋นจับชีพจรถึงกับชะงักงัน เธอรีบเปิดผ้าห่มออก ล้วนเป็นแผลจากกริช อีกทั้งมีทั้งข้างหน้าข้างหลัง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใดถึงได้หนักเช่นนี้ กริชจำนวนมาก?”
ด้านข้างมีลี่ว์หลิ่วที่ร้องไห้พร้อมกับกล่าวว่า“คนเหล่านั้นเข้ามาอย่างกะทันหัน พวกเราแต่ละคนปกป้องเสี่ยวซื่อจื่อ คิดไม่ถึงว่าพวกนั้นมันจะโหดร้าย ไม่ยอมละแม้กระทั่งพวกเรา สวีกงกงร้องเสียงดัง ต้องการให้คนเหล่านั้นไปหาเขา ยังกล่าวอีกว่าเขาเป็นขันทีผู้หนึ่ง พวกเขาสู้ไม่ไหวก็คือพวกขี้ขลาด ผู้ใดจะรู้ว่าพวกนั้นฟังแล้วก็โผกรูไปที่สวีกงกงเพคะ
กริชของพวกเขาแต่ละด้ามพุ่งทะยานใส่สวีกงกง เดิมพวกเราอยากจะช่วย เสี่ยวกั๋วจิ้วอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อสั่งให้พวกเรารีบหนีไป พวกเรามิกล้าทำให้เสียเวลาล่าช้า ก็วิ่งเผ่นเพคะ
เพื่อที่จะล่อถ่วงเวลาคนพวกนั้นไว้ ก็ด่าพวกมันว่าสู้มิได้กับเป็นพวกคนขี้ขลาด ก็……”
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงก่ำ สวีกงกงลืมตาขึ้นช้าๆ เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกแต่กลับกันเขายิ้มออกมาและกล่าวว่า“พระชายากลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?กระหม่อมนึกว่าจะไม่ได้เจอพระชายาเสียแล้ว?”
ฉีเฟยอวิ๋นสะอึกสะอื้น น้ำตาหลั่งรินลงมา ตามด้วยสั่งว่า“ข้าจะช่วยชีวิตเขา ออกไปกันให้หมด”
สวีกงกงส่ายหน้า “พระชายาอย่าเสียเวลาเลย กระหม่อมรู้ กระหม่อมเกรงว่าจะมิไหวแล้ว อยากจะปรนนิบัติพระชายากับเสี่ยวซื่อจื่ออีกสักหน่อย ก็ไม่มีความโชคดีนี้แล้ว…….”
“ออกไป เวลาไม่รีรอแล้ว ข้าจะช่วยชีวิตเขา ”ฉีเฟยอวิ๋นให้พวกลี่ว์หลิ่วออกไป กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม ลี่ว์หลิ่วและพวกพ้องต่างร้องไห้ถอยกันออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่ไม่ไปไหน จากนั้นเช็ดน้ำตาแล้วหยิบกริชมาหนึ่งด้าม
สวีกงกงไม่เข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม นึกถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ ความเจ็บปวดอันยาวนานมิสู้ความเจ็บปวดระยะสั้นสินะ
สวีกงกงยิ้มตาหยีทั้งสองข้างอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า“พระชายา โปรดอย่าเศร้าโศก อย่างไรคนก็ต้องตายเพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ
อาซีตาย กระหม่อมไม่อยากมีชีวิตอยู่ตั้งนานแล้ว ความหวังดีของพระชายากระหม่อมน้อมรับไว้พ่ะย่ะค่ะ แล้วจะจำไว้ในหัวใจด้วย
หากยังมีชาติหน้า กระหม่อม จะต้องเป็นข้ารับใช้พระชายาอย่างแน่นอน และอยู่ปรนนิบัติข้างกาย
…..”
“ข้ารู้แล้ว ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว “ ฉีเฟยอวิ๋นกรีดข้อมือ เปิดปากของสวีกงกงออก จากนั้นเลือดได้หยดเข้าไปในปากของสวีกงกง สวีกงกงเบิกตาโพลงขึ้น ต้องการผละออก อยากจะกล่าวว่าทำอย่างนี้ไม่ได้
แต่ไร้เรี่ยวแรง รอจนมีเรี่ยวแรงก็ดื่มเลือดเป็นจำนวนมากแล้ว
สวีกงกงรู้สึกว่าทั้งร่างกายมีพละกำลังอย่างไร้ขีดจำกัด แต่เป็นเพียงแค่วินาทีนั้น และหลังจากนั้นก็ค่อยๆจางหายไป
น้ำตาของฉีเฟยอวิ๋นยังคงหลั่งริน กล่าวว่า“ข้ารู้ ท่านอยู่ในร่างกายข้า และก็รู้ว่าให้ท่านช่วยคนที่ตายแล้วมันยากลำบาก แต่ข้าหวังว่าท่านจะช่วยสวีกงกงได้”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวคำพูดนี้ออกมา หนานกงเย่หันมอง สวีกงกงก็เลอะเลือน ที่นี่ยังมีคนอีกหรือ?
สวีกงกงดึงมือฉีเฟยอวิ๋นต้องการให้เธอออกไป ฉีเฟยอวิ๋นรั้งสวีกงกง กล่าวว่า“ข้าต้องการช่วยท่าน”
ปากของสวีกงกงเต็มไปด้วยเลือดส่ายศีรษะอยู่ รอยยิ้มที่ยิ้มออกมานั้นเป็นฟันที่เต็มไปด้วยเลือด กล่าวว่า“อย่าสิ้นเปลืองแรง ตอนนี้กระหม่อมดื่มสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์ กระหม่อมใกล้ตายแล้ว น้ำมันใกล้หมดตะเกียงย่อมหรี่แสง แต่กระหม่อมไม่เศร้าโศกเสียใจเลยสักนิดหนึ่ง ก่อนตาย กระหม่อมสามารถปกป้องเสี่ยวซื่อจื่อไว้ได้ กระหม่อมมีความสุข…….”
“ไม่ได้ หากว่าวันนี้ท่านตาย ข้าจะเอาเลือดทั้งหมดในร่างกายปล่อยออกมา!”
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังยืดหยัดดื้อรั้น เธอไม่เชื่อว่าตนจะช่วยชีวิตของสวีกงกงไว้ไม่ได้ แต่สวีกงกงเหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้ายนั้นเธอรู้อย่างแจ่มแจ้ง เพราะฉะนั้นเลยสามารถรอจนถึงตอนนี้ และนั่นก็เพราะต้องการรอเธอกลับมา
สวีกงกงปฏิเสธไม่ยอมดื่มเลือดมาโดยตลอด แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ดึงมือกลับเช่นกัน หนานกงเย่เดินมานั่งลงข้างกายกล่าวว่า“อย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย!”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงแขนเสื้อ เอาเลือดให้สวีกงกงดื่ม สวีกงกงเม้มปิดริมฝีปากไว้ เลือดเลยไหลไปอีกด้าน
หนานกงเย่รีบเอาผ้ามาพันให้ฉีเฟยอวิ๋น กล่าวว่า“เจ้าหยุดก่อความวุ่นวายให้ข้าได้แล้ว!”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ให้ดูมือเธอ ข้อมือรักษาหายแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจ้องมองด้วยความเกรี้ยวกราด เลยหยิบกริชมากรีดที่ข้อมืออีกครั้ง และกล่าวว่า“ท่านอ๋องไม่ช่วยก็ช่าง หม่อมฉันทำเอง!”
ฉีเฟยอวิ๋นดื้อรั้นขึ้นมาใครก็รั้งไว้ไม่ได้ หนานกงเย่จับที่ข้อมือของเธอและมองด้วยความโมโหแต่เธอก็ไม่ยอมหยุดกระทำ
“หากวันนี้ช่วยชีวิตของสวีกงกงไว้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยเลือดออก ก็นับว่าเกี่ยวพันแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นบีบปากของสวีกงกง เอาเลือดให้เขาดื่ม สวีกงกงร่ำไห้ขึ้นมา ร่ำไห้จนฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจเขาแล้ว
แต่ตอนที่สวีกงกงร่ำไห้รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรง เขาก็แปลกใจ ฉีเฟยอวิ๋นกดมือของสวีกงกง จับแมะชีพจรของเขาพบว่ากำลังฟื้นฟูคืนมา
ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อีกทั้งให้สวีกงกงดื่มเลือดอีกสักหน่อย รอยบาดแผลกำลังสมานกันอย่างเหนือความคาดหมาย เพื่อให้สวีกงกงดีขึ้นไว ฉีเฟยอวิ๋นเลยรออีกครู่หนึ่ง
จนถึงตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นอ่อนแรง เป็นลมอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเย่
รอฉีเฟยอวิ๋นตื่นมาก็เป็นช่วงดึกแล้ว ข้างกายเป็นเสียงร้องสะอื้นไห้
ฉีเฟยอวิ๋นถูกทำให้ตื่น หันไปมอง ข้างกายมีลูกๆนอนอยู่ และอวิ๋นจิ่นที่กำลังร้องไห้คุกเข่าอยู่บนพื้น
เดิมฉีเฟยอวิ๋นอยากจะแอบลักลอบไม่สนใจอวิ๋นจิ่นแต่นางร้องร่ำไห้ไม่จบไม่สิ้น ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้ลุกขึ้นนั่ง