องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 515 เจ้าห้าที่ไม่ยอมส่งเสียงออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าที่เพิ่งหลับเอาไว้ วันนี้แทบไม่ได้พักผ่อน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ไม่ได้โวยวายและไม่กินนม ให้กินก็ไม่กินปิดปากอย่างเดียวเลย
ฉีเฟยอวิ๋นแทบอดไม่ได้ที่จะตีเขา เมื่อยกมือขึ้นมาก็ทำไม่ลง
หนานกงเย่ก็อยู่ข้างๆ เฝ้ามองดูลูกน้อยที่ไม่ยอมทานอะไรและไม่ร้องไห้โวยวายอย่างเอ็นดู!
เมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นต้องการจะตีลูก เขาก็โกรธขึ้นมากลัวว่าลูกจะถูกตีจริง
“ท่านพูดหน่อยสิเจ้าคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มรู้สึกโมโห เมื่อเห็นว่าแม่นมรีบพูดขึ้นมา
แม่นมก้าวเดินเข้ามาและเหลือบมอง ยังไม่ทันที่จะพูดเรื่องที่ต้องรายการแต่กลับรู้สึกเป็นกังวลกับองค์รัชทายาท “พระชายา ให้ข้าน้อยดูองค์รัชทายาทหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?”
“ได้สิ” ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าส่งให้กับแม่นม แม่นมรีบเช็ดมือ ดูเหมือนว่าที่มือจะเปื้อนสิ่งสกปรกบางอย่างเข้า จึงรีบเช็ดมือให้สะอาดจากนั้นจึงอุ้มองค์รัชทายาท
เมื่ออุ้มเข้ามาอ้อมแขน แม่นมจ้องมององค์รัชทายาทอย่างละเอียด และขมวดคิ้วกล่าวว่า “พระชายา ท่านได้ตรวจสอบอาการให้กับองค์รัชทายาทมาก่อนหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าจะเจ็บป่วยเจ้าคะ?”
“ตรวจดูสามครั้งแล้ว แต่ก็ตรวจไม่พบอะไร เมื่อเช้าก็ยังดีดีอยู่เลย เริ่มตั้งแต่หลังรับประทานอาหารเช้า แต่ตอนเช้าก็ไม่ได้กินนม แถมไม่ร้องไห้โวยวายอีกด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อสักครู่ปิดตาลง แต่ข้ารู้สึกว่าเขาเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมาก?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกกังวลใจอย่างมาก ในฐานะที่เป็นหมอเมื่อพบเจอปัญหาก็ต้องรักษาอาการให้กับลูกของเธอ แต่ตรวจวัดชีพจรสามครั้งก็เป็นปกติ เธอจึงรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก
แม่นมกล่าวว่า “แต่ข้าน้อยเห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทเจ็บปวดอย่างมาก พระชายาเจ้าคะ ข้าน้อยขอเปิดเสื้อผ้าขององค์รัชทายาทดูหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อได้ยินว่าเปิดเสื้อผ้า เจ้าห้าก็เปิดตาขึ้นมาและแสดงทีท่าที่เย็นชา ราวกับไม่ตกลง
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าลูกหลับไปแล้ว แต่เมื่อเห็นว่ายังไม่หลับ เพียงแต่ไม่อนุญาตให้เธอกล่อม จึงทำได้เพียงปิดตาลง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าเถอะ”
หนานกงเย่รู้สึกรับไม่ได้ ลูกชายของเขามีค่ามากในสายตาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าห้าคนนี้ เขามักคิดว่าเจ้าห้าเป็นเหมือนหิมะบนยอดเขาสูง สะอาดบริสุทธิ์ไร้มลทิน นอกจากคนที่เขาไว้วางใจเพียงไม่กี่คนแล้ว ใครก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องได้
แต่เขาก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่เหลือบไปมองฉีเฟยอวิ๋นเท่านั้น
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่คิดมากกับเรื่องเหล่านี้ แม่นมรีบวางเจ้าห้าไว้บนโต๊ะข้างๆ และกล่าวว่า “พระชายาได้โปรดหยิบตะเกียงไฟมาส่องสว่างให้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จึงรีบหยิบตะเกียงไฟเดินเข้าไป
แม่นมปลดกระดุมเสื้อผ้าของเจ้าห้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “องค์รัชทายาทอย่าถือโทษโกรธข้าน้อยเลยนะเจ้าคะ แต่ข้าน้อยเนื้อตัวสะอาดจริงๆ ก่อนมาก็ได้ล้างทำความสะอาดเนื้อตัวอย่างดีแล้ว เสื้อผ้าก็เป็นเสื้อผ้าใหม่ที่เพิ่งเปลี่ยน”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองแม่นมและรู้สึกว่าแม่นมคนนี้เป็นคนที่สามารถใช้งานได้
สายตาของเจ้าห้าดูเยือกเย็น ราวกับถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง จากนั้นจึงปิดตาลงอย่างช่วยไม่ได้
ไม่นานแม่นมก็ปลดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกหมด
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “หรือว่าในชุดเสื้อผ้าเหล่านี้มีสิ่งแปลกประหลาด?”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ต้องลองดูเจ้าค่ะ” แม่นมก็ไม่กล้ายืนยัน นางกล่าวว่า “ข้าน้อยจำได้ว่าเมื่อตอนยังลูกของข้าน้อยยังเป็นเด็กได้อาบแดดอยู่ในเรือนและข้าน้อยกำลังนวดหญ้า เขาก็เป็นเช่นนี้ เกือบจะเสียชีวิต”
“อะไรนะ?” ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนมือสั่น ตะเกียงไฟในมือเกือบจะตกลงมา หนานกงเย่มีไหวพริบที่รวดเร็วจึงได้คว้าตะเกียงเอาไว้ได้ ฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่กอดเข้าไปในอ้อมแขน
เมื่อเงยหน้าขึ้นฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของหนานกงเย่ “ท่านอ๋อง……”
“กลัวอะไรหรือ?” หนานกงเย่ทำสีหน้าเย็นชาและใช้สายตาทำให้ฉีเฟยอวิ๋นสงบลง ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าและฝืนใจตัวเองให้สงบลง
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองลูก แม่นมได้วางเสื้อผ้าทุกชิ้นไว้อีกฝั่งหนึ่ง เจ้าห้ากลับกลายเป็นนอนตัวเปลือยเปล่าอยู่บนโต๊ะ เด็กน้อยมีร่างกายอ่อนแอ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเอ็นดูอย่างมาก มองไปแล้วก็ดูดี แต่ผอมเกินไปสักนิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกมากเกินไปหรือเปล่าเขาเป็นคนที่ตัวเล็กที่สุด ฉะนั้นจึงมีร่างกายที่ไม่ค่อยดีเท่าไร
และในตอนนี้เขาก็ยังเป็นเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งรู้สึกเสียใจ
แม่นมเริ่มทำการตรวจสอบทั้งร่างกายอย่างละเอียด แต่ทั่วร่างกายกลับไม่เป็นอะไร แม่นมเริ่มรู้สึกแปลกใจ “ช่างน่าแปลก ทำไมถึงไม่มีนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย “แม่นม ท่านกำลังหาอะไรหรือ?”
“พระชายาเจ้าคะ มันคือแมลงเจ้าค่ะ ข้าน้อยกำลังหาแมลงที่สามารถทำร้ายชีวิตของคนได้เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนใบหน้าซีดเซียว ร่างกายของลูกชายมีแมลงอย่างนั้นหรือ?
แม่นมตรวจสอบร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถึงขนาดตรงอวัยวะตรงกลางขาก็ได้ทำการตรวจสอบ เจ้าห้าลำบากใจแทบตาย เป็นครั้งแรกที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าลูกชายคนเล็กของเธอลืมตามองเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ หากไม่ใช่เป็นเพราะความกังวลใจในตอนนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็อยากจะหัวเราะออกมา
เด็กน้อยตัวเล็กเช่นนี้ เขาก็รู้สึกอายกันแล้วหรือ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
จู่ๆ แม่นมก็กล่าวขึ้นมาว่า “หรือว่าจะเป็นบนเส้นผม?”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “วันนี้เขาไม่สบายและข้าก็ได้ตรวจสอบร่างกายแล้วสองครั้ง ถึงแม้จะไม่ละเอียดเช่นนี้ แต่ก็ตรวจอย่างระมัดระวัง แต่ก็ตรวจสอบไม่พบอะไร มีเพียงแต่เส้นผมเท่านั้นที่ยังไม่ได้ทำการตรวจสอบ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นพูด แม่นมก็รีบอุ้มเจ้าห้าขึ้นมาและรีบตรวจสอบบนศีรษะให้กับเจ้าห้า ในที่สุดหาค้นพบหลังจากตรวจสอบอย่างยาวนาน
“พระชายารีบดูสิเจ้าคะ” ตอนที่แม่นมพูดขึ้นฉีเฟยอวิ๋นก็ได้เห็นแล้ว เธอตกใจจนดวงตาแทบหลุดออกมาจากเบ้า ดวงตาของเธอแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาออกมา
หนานกงเย่ถือตะเกียงไฟยกขึ้นและจ้องมองอย่างละเอียด เห็นเพียงแค่บนศีรษะของเจ้าห้ามีเม็ดเล็กๆ กลมๆ มีความมันเงา สีเทาๆ ขาวๆ มีความแข็ง เมื่อมองไปมันกำลังกลับหัวอยู่
หนานกงเย่ยื่นมือออกไปต้องการจะหยิบออกมา ฉีเฟยอวิ๋นและแม่นมตะโกนออกมาพร้อมกันว่าอย่า
หนานกงเย่ตกใจจนรีบเอามือกลับ เขาเงยหน้าขึ้นไปมองฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นจึงฝืนใจสงบลง “หยิบออกเช่นนี้ไม่ได้เพคะ”
“ใช่เจ้าค่ะ” แม่นมกล่าว
หนานกงเย่โมโหจนแทบไม่กล้าหอบและมองไปที่ลูกชายที่กำลังหลับตาอยู่ หนานกงเย่รู้สึกโกรธจัดและด่าออกมา “เจ้าแค่ร้องไห้ออกมาหรือจับเกาๆ สักเล็กน้อยก็สามารถรู้ได้ว่าเจ้าเจ็บปวดที่ตรงไหน แมลงสองสาวตัวนี้ทำให้เจ้าตกใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เจ้าห้าได้ยินเข้าจึงลืมตาขึ้นมาและมองไปที่หนานกงเย่ เขาจ้องมองจนหนานกงเย่รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ยากนักที่หนานกงเย่จะพูดเสียงเบากับลูก “พ่อก็แค่รู้สึกโมโหจนใจร้อน ไม่กลัวนะ พ่อจะไปตามคนมา”
หนานกงเย่ต้องการจะตะโกนออกมาก็ได้ยินเสียงของแม่นมกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่สามารถเอาออกอย่างง่ายดาย ต้องทำการพ่นควัน แต่อยู่บนศีรษะ ซึ่งไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี?”
ฉีเฟยอวิ๋นถามแม่นม “พวกท่านใช้การพ่นควันหรือ?”
แม่นมพยักหน้า “แมลงชนิดนี้เรียกว่าแมลงดูดเลือด โดยปกติจะมีมากในทุ่งหญ้า ฉะนั้นจึงเรียกว่าแมลงดูดเลือด
พวกม้าวัวแกะและสุนัขของพวกเราที่นั่นมักจะขึ้นไปบนเขาและมักจะนำติดตัวมา งูก็สามารถถูกคุกคามได้ง่าย แม้กระทั่งสัตว์มีหนามก็ยังมีมาติดได้
ตัวเดียวก็ไม่เป็นไร เกรงว่าจะเยอะ มีครั้งหนึ่งหูทั้งสองข้างของสุนัขข้างบ้านมีติดเต็มไปหมด สุนัขตัวนั้นเรียกเท่าไรก็ไม่ขยับหรือตอบโต้ สิ่งนี้จะมีขนาดเล็กราวกับปลายเข็มแทบหาไม่เจอ หลังจากนั้นก็ใหญ่ขึ้นราวกับเมล็ดถั่ว และมีเต็มใบหูของสุนัข และสุนัขตัวนั้นก็ตายไปอย่างน่าสงสาร
หลังจากนั้นหลานก็เป็นเช่นนี้ ที่ท้องของหลานมีอยู่ตัวหนึ่ง ข้าน้อยต้องการเอาออก ยิ่งดึงออกมามันก็ยิ่งเข้าไปข้างใน สุดท้ายก็มุดทะลุผิวหนังเข้าไป แม่นมรีบร้อนไปเรียกคนมา หลังจากนั้นหญิงชราคนหนึ่งก็บอกกับข้าน้อยว่าให้ใช้การรมควัน ตอนนั้นนึกวิธีอื่นไม่ได้แล้วจึงกลับไปทำการรมควัน ไม่คิดเลยว่าจะตาย
แต่บนท้องของหลานนั้นก็เป็นแผลเป็นขึ้นมา เป็นเพราะว่าข้าน้อยใช้มีดผ่าออกมา”
“ทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” หนานกงเย่มองไปที่ศีรษะของลูกชาย “ศีรษะเล็กเช่นนี้ หากใช้มีดผ่าเข้าไปจะได้หรือ? ใช้การรมควันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นจะทำให้เสียหายเอาได้”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “หม่อมฉันมีวิธีเพคะ”