องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 518 พระพันปีประชวร
พระพันปีเหลือบมองไห่กงกง จากนั้นไห่กงกงจึงโบกมือไล่จนทุกคนออกไปหมด
ตอนนี้เองฉีเฟยอวิ๋นจึงบอกว่า “เสด็จแม่ กองสอดแนมเคยตรวจสอบชุนเหมยผู้นี้แล้วและบอกว่าไม่ใช่คนของจงชิน แต่ลูกคิดขึ้นมาได้ว่า ในเวลานี้ผู้ที่กำลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อรับมือกับจวนอ๋องเย่ ทั้งยังคิดจะลงมือกับเด็กๆ โดยเฉพาะ และไม่ใช่การจัดการเป้าหมายอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา มีเพียงแค่ตระกูลเดียวเท่านั้น”
“หวังเฟิ่งอี๋รึ” พระพันปีช่างปราดเปรื่องเหลือเกิน อันที่จริงพระองค์รู้อยู่แล้วเมื่อตอนที่ถอนตัวออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “หวังเฟิ่งอี๋ตายแล้วนะเพคะเสด็จแม่ และคนในตระกูลของนางก็ตายไปหมดสิ้น แต่ใครเล่าจะมาแก้แค้นให้พวกเขาได้”
พระพันปีสงบพระทัยลงและทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์หงส์ ฉีเฟยอวิ๋นรีบตรงเข้าไปประคองพระพันปี จากนั้นมารดาและลูกสะใภ้จึงเดินไปที่โถงห้องบรรทม ระหว่างนั้นพระพันปีทรงถามว่า “เจ้าสงสัยว่าต้ากั๋วจิ้วเป็นคนทำหรือ”
“อย่างที่กราบทูลเสด็จแม่ เรื่องนี้ยังไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือของท่านต้ากั๋วจิ้ว แต่ท่านต้ากั๋วจิ้วอาจจะมีความเกี่ยวข้องด้วย”
“นั่นก็จริง ใครบ้างไม่มีสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลอยู่ในจวน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมจึงไม่เป็นไร ก็เพียงแค่เก็บไว้เพื่อให้ง่ายต่อการลงมือเมื่ออยู่ในความปกครอง”
“ลูกมิรู้เรื่องของจวนกั๋วจิ้วเพคะเสด็จแม่ ยังไม่กล้าจะด่วนสรุปด้วย แต่เกรงว่าเรื่องของจวนอ๋องเย่จะแยกออกจากจวนกั๋วจิ้วไม่ได้”
“…หวังเฟิ่งอี๋ แต่เขาไม่กล้าพอและไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าจะมีใครอื่นที่วางแผน ไปตรวจสอบตระกูลเฉาเสีย”
พระพันปีทรงให้แนวทาง ความจริงฉีเฟยอวิ๋นไม่ควรจะพูดอะไรอีก แต่จะให้นางยอมแพ้โดยไม่พูดอะไรนางก็ไม่อยาก
“เสด็จแม่… ถ้าท่านต้ากั๋วจิ้วเป็นคนทำล่ะเพคะ” ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำแต่ถ้าทำก็ทำจนถึงที่สุด ฉีเฟยอวิ๋นถาม
พระพันปีทอดพระเนตรอย่างเย็นชา “นับวันเจ้ายิ่งหาญกล้าขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงว่าจะคิดทำตัวเสมอข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบคุกเข่า “ลูกมิบังอาจ!”
พระพันปีทอดพระเนตร “ฮึ เจ้ายังจะมาไม่พอใจอีก ตอนนี้เจ้าเรียกลมก็ได้ลมเรียกฝนก็ได้ฝน ข้าคิดจะยอมให้เจ้าหมด แต่เจ้ายังไม่ยอมปล่อยข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอะไร พระพันปีจึงตรัสว่า “เจ้าคิดว่านี่เป็นฝีมือของต้ากั๋วจิ้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าเสี่ยวกั๋วจิ้วรักษาหน้าให้ต้ากั๋วจิ้วหรอกหรือ เพียงแค่บอกเจ้าว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเครือญาติก็ถือเป็นการเตือนเจ้าแล้วหรือ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ที่มีท่าทีเหยียดหยามของพระพันปี นางเอ่ยว่า “ท่านต้ากั๋วจิ้วเกลียดที่ฝ่าบาททรงไม่โปรดปรานพระสนมเต๋อเฟย เงินแปดล้านตำลึงที่ฝ่าบาทระดมมาและควรใช้ไปบรรเทาทุกข์พื้นที่ประสบภัยพิบัติฝูงตั๊กแตนทางตอนใต้ กลับให้ท่านต้ากั๋วจิ้วใช้ประโยชน์จากฐานะในกรมการคลังมาระงับไว้ ประชาชนทางใต้จึงทั้งอดอยากและหนาวเหน็บ จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดของโรคห่า คนตายไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
เวลานี้ท่านต้ากั๋วจิ้วไม่เพียงแต่กำเริบเสิบสาน แต่เขายังทำร้ายเจ้าห้าเพราะเรื่องของเฉาเหวิน
ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปลูกไม่ยอม ลูกยังต้องระดมเงินให้ท้องพระคลังของฝ่าบาท แล้วลูกควรจะทำอย่างไร
เดิมทีลูกไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ แต่นี่มันเกี่ยวกับชีวิตบุตรของลูก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดีเลย
เสด็จแม่ทรงปราดเปรื่อง เมืองต้าเหลียงของเราไม่มีการเก็บภาษีจากประชาชนจึงไม่มีเงินส่งเข้าไปในท้องพระคลัง ถ้าหากจับคนที่รีดนาทาเร้นจากประชาชนอย่างเฉาเหวินไม่ได้ จะทำให้ความโกรธของประชาชนสงบลงได้อย่างไร
แทบฝ่าพระบาทแห่งองค์จักรพรรดิ พวกเขายังกล้ากำเริบเสิบสานรวบรวมทรัพย์สินโดยมิชอบ ช่างเหิมเกริมเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขากินอยู่อย่างฟุ้งเฟ้อหรูหราราวกับอยู่ในพระราชวัง ถามหน่อยเถิดเพคะว่าประชาชนจะคิดเช่นไร
ที่ที่เฉาเหวินอาศัยอยู่นั้นฟุ้งเฟ้อหรูหราเป็นอย่างมาก เขาไม่จงรักภักดี คนแถวนั้นรู้กันหมดว่ามีคนของรองเสนาบดีอาลักษณ์อยู่เป็นสิบๆ คนบนถนนสายนั้น แต่กลับไม่มีใครสักคนกล้าแจ้งความให้ผิดใจเขา
เมื่อถามดูจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นคนจากจวนต้ากั๋วจิ้ว
ขอถามหน่อยเถิดเพคะ ต้ากั๋วจิ้วเป็นคนในตระกูลของเสด็จแม่ แล้วเช่นนี้ประชาชนจะมองเสด็จแม่อย่างไร
แม้ว่าเสด็จแม่จะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วย แต่ในสายตาของประชาชนอย่างไรนั่นก็คือพระเกียรติของเสด็จแม่
ลูกสาวของอนุภรรยาคนหนึ่งในจวนกั๋วจิ้วแต่งงานกับรองเสนาบดีกรมพิธีการและให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนซึ่งเหมือนกับรองเสนาบดีกรมพิธีการ และรองเสนาบดีกรมพิธีการผู้นี้ก็หยิ่งยโสและกำแหงอวดดีจนทำให้ทั้งถนนสายนี้มีใครกล้าแจ้งทางการ เป็นเพราะเหตุใดกันเล่าเพคะ”
สีพระพักตร์ของพระพันปีเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ พระองค์ทรงมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างเหยียดหยามและกลับไปประทับนั่งบนบัลลังก์หงส์
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอีกว่า “เสด็จแม่ การที่ต้ากั๋วจิ้วสังหารซื่อจื่อและการที่เขาทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยกลัวคืออาชญากรรมร้ายแรง การยึดเงินไว้คือปล้นฆ่า จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการนำเงินออกมา ขอถามเพคะว่า…ขุนนางในราชสำนักจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร มันเป็นการเคารพต่อฝ่าบาทและต่อเสด็จแม่อย่างไรเพคะ
ในเมื่อกองสอดแนมตรวจสอบเรื่องของจวนอ๋องเย่แล้ว เช่นนั้นจะต้องมีคนรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดต่อๆ กันไป ราชวงศ์จะยังมีเกียรติอยู่อีกหรือ
ประชาชนจะพูดถึงเสด็จแม่ว่าอย่างไร”
“ฮึ เอาละ ความไม่พอใจของเจ้าเทียบไม่ได้กับเจวี๋ยเอ๋อร์ เขาไม่มีทางพูดแบบนั้น แต่เรื่องนี้มันเกินไปจริงๆ หลายปีมานี้ข้าอยู่แต่ในวังและไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ว่า… ต้ากั๋วจิ้วเป็นญาติของข้า ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอะไรออกนอกลู่ แต่เวลานี้ดูแล้วไม่น่าใช่เด็ดขาด
ไปตรวจสอบเสีย ถ้าคนผู้นี้เปลี่ยนไปก็คงง่าย ส่วนคนอื่น…
ฝ่าบาทเองก็เหลือเกินจริงๆ มู่เหมียนก็เข้าวังมาระยะหนึ่งแล้ว มิน่าเล่าต้ากั๋วจิ้วจึงกระวนกระวายใจ
คนเราเห็นแก่ตัวก็จริง แต่ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็ไม่คู่ควรจะเกิดมาเป็นคน
เจ้าไปเถอะ”
“ท่านแม่ประสงค์จะตรวจสอบหรือเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นเขลา
พระพันปีทรงรำคาญ “ถ้าไม่ตรวจสอบหลานๆ ของข้าจะได้ถูกกัดตายนะสิ!”
“เพคะ ลูกทูลลา” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและจากไป ไห่กงกงรีบเดินมาหาพระพันปีช่วยทุบบ่าให้พระองค์
“พระพันปี… เป็นต้ากั๋วจิ้วจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ””
“ไปกราบทูลฝ่าบาทว่าข้าป่วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่จักรพรรดิอวี้ตี้ไล่หนานกงเย่ไป พระองค์ก็ได้รับพระราชเสาวนีย์จากพระพันปี จากนั้นพระองค์จึงรีบเสด็จไปยังพระตำหนักเฉาเฟิ่ง
แต่กลับไม่เข้าไปข้างใน
ไห่กงกงรออยู่ที่ประตูพร้อมกับถือถาดเอาไว้ ในถาดนั้นมีแผ่นป้ายวางไว้ บนป้ายเขียนว่า ‘หรงเต๋อเฟย’
“ฝ่าบาท ต้ากั๋วจิ้วดำเนินงานโดยไม่เกิดผลประโยชน์ พระพันปีจึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ตรวจสอบอย่างเคร่งครัด” ไห่กงกงกล่าว
จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรจานในถาด ทรงหยิบขึ้นมาทอดพระเนตรนิดหนึ่งและตรัสว่า “เสด็จแม่เป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นไข้ใจและยังต้องรักษาอีกหลายวันพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงเข้าใจ โรคใจนี้ย่อมต้องใช้ยาใจรักษา หลายวันแล้วที่มู่เหมียนเข้าวัง ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปนานๆ ย่อมจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยากจะจัดการ
เพียงแต่… จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปที่พระตำหนักเฉาเฟิ่งและหันไปทอดพระเนตรไห่กงกง “ไปกราบทูลว่าข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้จะมาใหม่!”
เมื่อจักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จออกไป พระองค์ก็เสด็จไปยังตำหนักหรงเต๋อ ไห่กงกงมองอยู่จากด้านหลังไกลๆ เมื่อแน่ใจแล้วจึงกลับไปกราบทูลพระพันปี
“พระพันปี ฝ่าบาทจะทำอย่างนั้นจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงรู้สึกว่าอุปนิสัยของฝ่าบาทดูเหมือนจะไม่เหมาะ
“จะทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ไม่สำคัญหรอก โอกาสย่อมมีเสมอ เวลานี้ทั้งสองตำหนักกำลังมีครรภ์ ฝ่าบาทจำเป็นต้องมีใครสักคนคอยเคียงข้าง ถ้าพระองค์ปฏิเสธ ข้าย่อมไม่มีทางอยู่เฉยแน่!”
พระพันปีทรงเล่นกับสร้อยไข่มุกมรกตและค่อยๆ ปิดพระเนตรลง
ไห่กงกงโบกมือให้คนอื่นออกไป เขาหยิบผ้าแพรคลุมพระวรกายให้พระพันปี พระพันปีทรงลืมพระเนตรมองไห่กงกง ตรัสเบาๆ ว่า “เวลานั้นจักรพรรดิพระองค์ก่อนเองก็ไม่ชอบพระมเหสีหวา เป็นข้าที่เห็นแก่สถานการณ์โดยรวมจึงอยากให้ฝ่าบาททรงรับพระมเหสีหวาไว้
ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าคิดไม่ผิด ถ้าไม่มีพระมเหสีหวา จะรักษาสายเลือดของข้าที่มีอยู่ในวังหลังได้อย่างไร
พระมเหสีหวาต้องสูญเสียมากมายเพื่อช่วยเหลือผู้คน
เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด”
***เต๋อเฟยคือชื่อยศพระสนมยศหนึ่ง