องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 540 เปลี่ยนวิธีกล่าวด่าคน
อวิ๋นหลัวฉวนออกมาจากจวนกั๋วกงฮูหยินกั๋วกงมีความรู้สึกไม่วางใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี หญิงที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว คล้ายดั่งที่น้ำสาดรดออกไป ถึงอย่างไรกลับที่เรือนมาบ่อยครั้งก็มิใช่เรื่องดี
คนหนุ่มสาวมีแรงกำลังฮึกเหิมเป็นเรื่องดี แต่พอคุยกันไม่เข้าใจจึงเกิดความโวยวายไม่พอใจกันขึ้น
แต่ฮูหยินกั๋วกงเป็นคนที่ผ่านมาก่อน ในเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ไม่สามารถหย่าร้างแยกกันอยู่ได้
เพียงแค่อยากจะขยี้พลังของอ๋องตวนเท่านั้นเอง แต่วันนี้อ๋องตวนไม่มา พระชายาเย่กล่าวพูดสักสองสามประโยคก็สามารถปลอบจนคนกลับไปได้ ภายในใจของฮูหยินกั๋วกงยังมีความรู้สึกไม่ยินดียินร้ายอยู่บ้าง
แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว นางก็พูดอะไรมากไม่ได้ สิ่งที่ถ่ายทอดก็ได้ถ่ายทอดแล้ว บวกกับส่งเด็กที่สามารถต่อสู้ได้แปดคนตามไปด้วย หากว่าอ๋องตวนกล้ากักขังห้ามอวิ๋นหลัวฉวน เช่นนั้นนางจะได้ส่งคนไปจัดการจวนอ๋องตวนให้ราบเลยเชียว
อวิ๋นหลัวฉวนกลับมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องตวน คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้นั่งรถม้า และได้เคลื่อนขบวนกลับมาแล้ว
เดิมอ๋องควรคิดว่าพรุ่งนี้ถึงจะกลับมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับมาเร็วเช่นนี้ พ่อบ้านรีบเร่งไปแจ้งอ๋องตวน อ๋องตวนถึงได้รีบเร่งเดินออกมาจากด้วนในจวน เดินได้ครึ่งทางอวิ๋นหลัวฉวนก็ได้กลับมาแล้ว และยังพาคนมาด้วย เวลานั้นอ๋องตวนรู้สึกว่าไม่ดี สงสัยว่าจะกลับมาทะเลาะกับเขาแน่
ตอนที่อ๋องตวนคิดว่าจะทำอย่างไร อวิ๋นหลัวฉวนถอนสายบัวลง จากนั้นกล่าวว่า “ถวายบังคมเพคะท่านอ๋องตวน”
ระหว่างทางที่กลับมาอวิ๋นหลัวฉวนได้ปรึกษาหารือกับสาวๆแล้ว ทุกคนล้วนเป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน พอปรึกษาหารือก็เป็นเรื่องร้อยแปดพันประการ
ปัญหาของอวิ๋นหลัวฉวนคือจะทำอย่างไรให้อ๋องตวนเลิกรากับนาง ทั้งยังสามารถไว้หน้าเขาด้วย และไม่ทำให้เหล่าอาณาประชาราษฎร์หัวเราะเยาะท่านอ๋องตวนด้วย
มีบอกว่าตีท่านอ๋องตวนสักยก ตีจนท่านอ๋องตวนโอนอ่อนขอร้องอ้อนวอนเขียนหนังสือหย่าร้างเลิกรา
และมีบอกว่าใช้ความรู้สึกมาทำให้เขาหวั่นไหวใจ ใช้พฤติกรรมวาจาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
และยังมีบอกว่าต้องใส่ร้าย ทำให้เขากล่าวปฏิเสธไม่ได้ แถมยังมีบอกต้องหาหญิงผู้หนึ่งกระตุ้นจิตวิญญาณดึงดูดเขาออกไป ทำให้เกิดความครอบงำจนต้องมาหย่าร้างกับอวิ๋นหลัวฉวน
อวิ๋นหลัวฉวนคิดไปคิดมา ตนเองเลยได้คิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นั่นคือต้องคิดหาวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเอง เปลี่ยนจนอ่อนโยนโอนอ่อน และให้ท่านอ๋องตวนแต่งพระชายารองเข้ามา จนทำให้เขาเกลียดนางมาก ถึงขั้นต้องขอเลิกราด้วยเลย
อย่างนี้ก็นับว่าไม่ร้องไห้โวยวายอะไร หลังจากนั้นนางอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้
ท่านอ๋องควรชะงักงัน ยืนอยู่เป็นเวลานานถึงได้กล่าวขึ้นว่า “กลับมาแล้วหรือ?”
คำพูดที่กล่าวถามออกมามีความสั่นเครือเล็กน้อย ท่านอ๋องตวนไม่ได้รู้สึกตัวเลย
อวิ๋นหลัวฉวนพยักหน้าตอบรับเพียงแค่เพคะ จงใจตอบอย่างละมุนละไม เพื่อที่จะทำให้ท่านอ๋องตวนคิดว่านางเปลี่ยนไปแล้ว อวิ๋นหลัวฉวนจงใจเดินไปทางด้านหน้าของท่านอ๋องตวน เลียนแบบท่าทางของอวิ๋นหลัวฉาย ยิ้มอย่างอ่อนโยนแก่เขาก่อน จากนั้นค่อยเอื้อมมือไปแตะสัมผัสที่มือของเขา ท่านอ๋องควรชะงักงัน อ่อนยวบเปียกทั้งตัว
อวิ๋นหลัวฉวนกำลังจะชักนำมือกลับมา ก็ได้ถูกท่านอ๋องตวนกอบกุมไว้เสียแล้ว
“ฉวนเอ๋อร์ เจ้าไม่โทษข้าแล้วหรือ?”เมื่ออ๋องตวนนึกถึงเรื่องสุสานหลุมฝังศพ ยังมีความรู้สึกไม่มั่นใจตัวเองอยู่เลย
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ”อวิ๋นหลัวฉวนพยายามคิดอย่างหนัก จะอ่อนโยนอย่างไร อ่อนโยนท่านอ๋องตวนก็จะเกลียดชังแล้ว
เขาไม่ใช่ว่าอยากปราบเอาชนะนางหรือ เช่นนั้นก็ให้เขาคิดว่าเอาชนะได้แล้วเถิด
ท่านอ๋องตวนก็มิได้รู้ว่าตอนนี้เกิดสิ่งใดขึ้น คล้ายดั่งว่าหัวใจถูกจับไว้ จิตใจของเขาว้าวุ่นเตลิดเปิดเปิงอย่างมาก
ท่านอ๋องตวนชำเลืองมองคนบริเวณโดยรอบ เขาสาวเท้าก้าวไปหนึ่งก้าวแล้วโอบอุ้มอวิ๋นหลัวฉวนขึ้น อวิ๋นหลัวฉวนตกใจเหนียมอายจนใบหน้าแดงก่ำ
“ท่านอ๋องทำสิ่งใดกันเพคะ”อวิ๋นหลัวฉวนเสแสร้งดันขัดขืนทำเป็นพอพิธี
ท่านอ๋องตวนออกแรงกอดอุ้มนางแน่นขึ้น ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท่านอ๋องตวนได้มีความรู้สึกที่ไร้การควบคุมได้ไปแล้ว
“กลับกัน”ท่านอ๋องตวนโอบอุ้มอวิ๋นหลัวฉวนกลับไปที่เรือนหลังของเรือนเซี่ยวเฟิง คนในจวนอ๋องตนต่างรีบหลบทางให้ ระหว่างการเดินทางนี้อวิ๋นหลัวฉวนอดใจคิดที่จะหนีตั้งแต่ต้นจนจบ นางถูกท่านอ๋องตวนอุ้มมาถึงเรือนเซี่ยวเฟิง
พอขึ้นเตียงท่านอ๋องตวนกล่าวว่า “วันนี้มิจำเป็นต้องปรนนิบัติ ออกไปเถิด
ทุกคนต่างทยอยกลับกัน รวมถึงตงเอ๋อร์ด้วย
พูดกันดิบดีว่าเป็นกลอุบาย เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้ล่ะ
อวิ๋นหลัวฉวนตกใจพัลวัน ท่านอ๋องตวนวางนางลงแล้วปลดชุดอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นโถมตัวลงมาบนเตียง
เดิมทีอวิ๋นหลัวฉวนคิดที่จะปฏิเสธ แต่พอนึกถึงเรื่องที่จะหลอกให้ท่านอ๋องตวนตายใจเลิกรากับนาง แน่นอนว่านางจะต้องลงแรงกันบ้าง ด้วยเหตุนี้นางเลยโอบกอดท่านอ๋องตวนด้วยตนเอง
ท่านอ๋องตวนไม่สามารถรีรอได้แล้ว เขาจึงรีบโผระดมจูบสัมผัสอวิ๋นหลัวฉวน ช่วงเวลากลางวันพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งรถม้ากลับจวนอ๋องเย่ ภายในรถม้าหนานกงเย่ได้กล่าวถามว่า“กล่าวสิ่งใดบ้างหรือ?”
“ไม่ได้กล่าวพูดสิ่งใดมากมายเพคะ เพียงแค่เล่าเรื่องปัจจุบัน เอาเรื่องของมู่เหมียนที่อยู่ในพระราชวังมาเล่าเพคะ”
พอพูดถึงเรื่องของมู่เหมียน หนานกงเย่เลยกล่าวว่า“ข้าได้เรียกคนสอบถามแล้ว มู่เหมียนตีฝ่าบาท ฝ่าบาทกริ้วมาก ได้ส่งคนเข้าพระตำหนักเย็นเสียแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน จากนั้นกล่าวว่า“ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ”
หนานกงเย่กล่าวอย่างตลบขบขันว่า” นี่ก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด มีสิ่งใดน่าแปลกใจหรือ?”
“มิใช่แปลกประหลาดใจเพคะ ต่อให้มู่เหมียนมีความกล้าหาญชาญชัย ก็ไม่ไปไกลถึงขั้นตีฝ่าบาทนะเพคะ ใช่หรือไม่ว่ามีสาเหตุ?”ฉีเฟยอวิ๋นมีความมั่นใจมากว่ามู่เหมียนไม่มีทางทำให้ฝ่าบาทกริ้วโกรธอย่างไร้เหตุผลหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายในครอบครัว ด้วยลักษณะนิสัยของมู่เหมียนแล้ว นางเกลียดชังต้ากั๋วจิ้วมาก หากไม่แอบดีใจเงียบๆถือว่าเป็นเรื่องดี จะเป็นเพราะเรื่องนี้ถึงไปทำร้ายฝ่าบาทได้อย่างไร
หนึ่งคือไม่มีความกล้า สองคือไม่ใส่ใจ แต่ทว่าก่อนที่ต้ากั๋วจิ้วจะถูกคุมขังสำหรับเรื่องนี้ พอที่จะสามารถนำมาคิดรวมกันได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องราวปกติ
“สาเหตุมันมีแหละ วันนั้นมู่เหมียนไม่สบายเป็นไข้ เป็นไข้จนเลอะเทอะ ตอนที่ฝ่าบาทไปดูนาง นางเลยลุกมาตีฝ่าบาท หลังจากที่ตีแล้วนางก็ได้รู้ว่าผิด รีบคุกเข่าลง แต่ก็มิสามารถทดแทนได้เสียแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยจิตใจห่อเหี่ยวว่า“พูดอย่างนี้เวลานั้นหากไม่ลุกมาแล้วคุกเข่าลงจะยังดีหน่อย มันกลับกลายเป็นแย่ตอนที่ลุกมาคุกเข่า หากว่านางไม่ลุกขึ้นมาโวยวายก็ดีไป ที่เรียกว่าไม่รู้ไม่ผิดนั่นเอง พวกเราไปขอร้อง เวลานี้เสด็จแม่ก็รู้แล้วว่าสาเหตุเพราะอะไร แต่เสด็จแม่ไม่มีทางออกหน้า พูดอย่างชัดเจนสำหรับเรื่องนี้คือ มู่เหมียนไม่มีเหตุผล”
“ข้าก็คิดเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ จากนั้นกล่าวว่า“เพราะฉะนั้นท่านอ๋องเลยไม่ได้ช่วยใช่หรือไม่เพคะ?”
“ไม่ใช่ว่าไม่ช่วยหรอก เพียงแต่ข้าไม่อยากแทรกแซงเรื่องพระตำหนักหลังของฝ่าบาท คล้ายดั่งข้าที่ไม่อยากให้ผู้ใดมาแทรกแซงเรื่องเรือนด้านหลังของข้านั่นแหละ
เรื่องภายในครอบครัวของฝ่าบาท ฝ่าบาทมีลำดับความสำคัญ เหตุใดจะต้องให้คนนอกแทรกแซง”
“แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่พระตำหนักหลังของฝ่าบาทมีความสัมพันธ์กับใต้หล้า มู่เหมียนเป็นสหายของหม่อมฉัน หากว่าให้หม่อมฉันทำเป็นไม่เห็นไม่รู้ เรื่องนี้หม่อมฉันทำไม่ได้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นโอบอุ้มเจ้าห้าแล้วตบหลังเบาๆ
หนานกงเย่ทำอะไรเธอไม่ได้เลยกล่าวว่า“ไม่กี่วันมานี้ในพระราชวังเงียบสงบ แต่ไห่กงกงแพร่ข่าวออกมา ว่าเสด็จแม่ไม่พึงพอใจที่ฝ่าบาทเอามู่เหมียนไปไว้ที่พระตำหนักเย็น”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่สักพักหนึ่งถึงได้กล่าวว่า“เช่นนั้นเรื่องนี้พวกเราก็ไม่ง่ายไม่ดีที่จะแทรกแซง มู่เหมียนเป็นหลานสาวของเสด็จแม่ ฝ่าบาทแหกหน้าเสด็จแม่ อย่างนั้นพวกเราก็รอก่อนเถิด เพียงแค่ไม่ทำร้ายมู่เหมียนเป็นพอเพคะ”
หนานกงเย่มองไปแล้วกล่าวว่า“ความหมายของอวิ๋นอวิ๋นคือหากมู่เหมียนถูกทำร้าย แล้วจะไปคิดบัญชีกับฝ่าบาทในพระราชวังหรือ?”
“ไม่ถึงขนาดต้องคิดบัญชี แต่หม่อมฉันจะคิดหาวิธีช่วยมู่เหมียน หากว่ามู่เหมียนถูกทำร้าย หม่อมฉันไม่สามารถช่วยคนมีชีวิตออกมาได้ แต่สามารถทำให้หายไปได้เพคะ”
“ความกล้าไม่น้อยจริงเชียว คำพูดเช่นนี้ก็กล่าวพูดต่อหน้าข้า หากได้ยินไปถึงด้านในพระราชวัง จะไม่ถูกตัดศีรษะหรือ?”
หนานกงเย่ปากบอกว่าตัดศีรษะ แต่ทว่าใบหน้ากลับมีความลำพองใจ ลองถามสิว่าใครจะกล้ายุ่งวุ่นวายเรื่องในพระราชวัง แต่อวิ๋นอวิ๋นของเขากล้า
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้กลัว เข้าหาอ้อมกอดของหนานกงเย่ด้วยตนเองเลย และกล่าวอย่างสบายใจว่า“ราชวงศ์ไร้ความรู้สึก ได้พบเจอกับท่านอ๋อง ก็นับว่าเป็นความโชคดีทั้งสามชาติแล้วเพคะ เมื่อเทียบกับอ๋องตวน ท่านอ๋องเป็นหนึ่งในชายชาตรีเพคะ เมื่อเทียบกับฝ่าบาทท่านอ๋องก็เป็นผู้มีบุคลิกที่ดี หม่อมฉันพึงพอใจอย่างมาก”
หนานกงเย่หัวเราะทั้งน้ำตา นี่เป็นการเปลี่ยนวิธีกล่าวว่าด่าฝ่าบาทว่าไม่มีบุคลิกที่ดี แล้วด่าอ๋องตวนว่าไม่ใช่ชายชาตรีหรือ?