องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 561 ขบวนราชทูตมาเยี่ยมเยียน
ท่านอ๋องหย่งจวิ้นกล่าวว่า“ฝ่าบาท ก่อนที่กระหม่อมจะมา ได้จัดวางกำลังคนแล้ว หากเมืองอู๋โยวรุกรานเข้ามาที่ต้าเหลียงหนึ่งก้าว กองกำลังทหารที่อยู่ตามแนวชายแดนจะปกป้อง และจัดการเมืองอู๋โยวให้ราบเป็นหน้ากองพ่ะย่ะค่ะ”
“ความคิดจิตใจของอ้ายชิงทั้งหลายข้าไม่รู้ได้ที่ไหนกัน แต่เรื่องการบัญชาการทหารออกศึกไม่ใช่การละเล่น เมืองต้าเหลียงของข้าไม่ใช่เมืองต้าเหลียงเมื่อสิบปีก่อน หลายปีมานี้อหิวาตกโรคเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากต้าเหลียงต้องสู้รบจริงเกรงว่าจะทำให้อาณาประชาราษฎร์ตกระกำลำบาก”
“ฝ่าบาท หากไม่สู้รบ ก็เป็นการแสดงออกว่าอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นเป็นดั่งเมืองต้าเหลียงของเราไร้ความสามารถนะพ่ะย่ะค่ะ!”
แม่ทัพหวาอายุมากแล้ว ปกป้องชายแดนมานับหลายปี สามารถพูดกล่าวได้ว่าทำงานลำบากเหน็ดเหนื่อย เปลี่ยนเป็นเขา เวลานี้ได้ถูกด่าไปนานแล้ว
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลังเลใจสักครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า“ข้าขอคิด ทุกคนออกไปเถิด”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นเดินออกไป กลับไปหาฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูทางด้านนั้น
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลงและได้รอเฉินอวิ๋นชูเดินออกมาจากด้านในห้องพระ รอเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ฮองเฮาก็ยังคงไม่ออกมา
ทุกวันฮองเฮาจะต้องท่องคัมภีร์หกชั่วยาม บทเรียนยามเช้าสองชั่วยาม
เรื่องขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้นางกำลังห่างไกลออกไป
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นได้ลุกเดินไปที่พระตำหนักหรงเต๋อ
รอจนตอนที่ฮองเฮาออกมาพอดีกับที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ได้เดินไปแล้ว
มู่เหมียนไม่ได้คิดที่อยากจะกล่าวถามเรื่องของเมืองอู๋โยวเลย เป็นฝ่าบาทที่กล่าวถามนางเองว่าทำสิ่งใดผิดหรือไม่
มู่เหมียนนั่งบนขาขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ภายในห้องไร้ผู้คน ความกล้าหาญเลยมีมาก
“ฝ่าบาทมีความอึดอัดใจของฝ่าบาท พวกเขามีความกังวลของพวกเขา ไม่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันและปรึกษากันมาก่อน ไม่มีสิ่งใดที่น่าเป็นทุกข์เพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองมู่เหมียนที่อยู่ในอ้อมกอด และตรัสด้วยความขบขันว่า“เจ้ามองได้ทะลุปรุโปร่งมาก”
“แน่นอนว่าต้องทะลุปรุโปร่งเพคะ ถึงอย่างไรเกี่ยวข้องถึงฝ่าบาท ก็ยังต้องพิจารณา”
“เช่นนั้นหากเป็นมู่เหมียนเล่า?”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสด้วยความแปลกใจ และนำมู่เหมียนแนบสนิทเข้า
มู่เหมียนจูบสัมผัสองค์จักรพรรดิอวี้ตี้อย่างไม่เขินอายเลยแม้แต่น้อย องค์จักรพรรดิอวี้ตี้คล้ายดั่งคุ้นชินแล้ว เลยลูบสัมผัสร่างกายของมู่เหมียนอย่างแผ่วเบา
มู่เหมียนกล่าวว่า“ทำได้เพียงกล่าวว่าเรื่องราวไม่เกี่ยวกับตนเองเพคะ จะไม่มีสถานการณ์คับขันชั่วคราว หม่อมฉันยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตร ไม่ได้กังวลสิ่งใดมากเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ปล่อยมือ แล้วกล่าวว่า“ข้าไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน!”
มู่เหมียนลุกขึ้นเดินไปหนึ่งอีกด้าน จัดการกับชุดคลุมที่โปร่งกว้างกล่าวขึ้นว่า“เหตุใดฝ่าบาทต้องทำเยี่ยงนี้เพคะ?นี่ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้สู้รบหรือเพคะ ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้เจอหรือเพคะ?
ต่อให้เกี่ยวดองอภิเษกสมรสจริงแล้วอย่างไรเพคะ ก็สามารถเลิกแล้วอย่างสบายใจ เหตุใดราชวงศ์หม่อมฉันถึงไม่มีองค์หญิง หากเป็นจวิ้นจู่ล้วนอยู่ท่ามกลางจงชิน
พวกเขาต้องการเกี่ยวดอง พวกเราก็ต้องมีคน
ปฏิเสธแล้วจะอย่างไรเพคะ?
พวกเขาต้องการสู้รบ รบร่วมกันก็จบเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ขมวดคิ้วมอง และตรัสว่า“อายุเพียงน้อยนิด แต่ลักษณะของเจ้าช่างแตกต่าง”
“ฝ่าบาท ใจของพระองค์ทราบดีเพคะ หากไม่มีคนชื่นชมพระองค์ถึงจะทุกข์ใจ วันนี้พระองค์ยิ้มเข้ามา ชัดเจนว่ามีความสุขอย่างมาก ตั้งแต่สองวันมานี้เมืองอู๋โยวได้เริ่มเชื้อเชิญเกี่ยวดอง วันไหนเป็นวันที่นอนพลิกไปพลิกมาจะตายแล้ว !ไม่ใช่ว่านอนไม่หลับ”
“….”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสด้วยสีหน้าอึมครึมว่า“หยุดกล่าววาจาเลอะเทอะ”
“เช่นนั้นไม่กล่าวก็จบเพคะ”
มู่เหมียนยกชาขึ้นมาดื่ม องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองมู่เหมียนด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเห็นความแข็งแกร่งดึงดูดคนของคนคนหนึ่ง
“มาหาข้าตรงนี้”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เรียกนาง มู่เหมียนลุกขึ้นไปนั่งลง องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
จากนั้นได้จูบสัมผัสนาง
มู่เหมียนยิ้ม อิงแอบบนไหล่ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ แล้วขาทั้งสองกวัดแกว่งขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นได้รับข่าว สีหน้าเปลี่ยน เธออุ้มลูกโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า“นายท่าน ท่านว่าครั้งนี้ต้องดำเนินการหรือไม่เพคะ?”
“ใหญ่ไม่เท่าฝ่าบาทแล้วจะหาผู้ใดดำเนินการหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มลงมองเจ้าห้าที่ลืมตามองเธอ เธอยิ้มให้เจ้าห้าแล้วกล่าวว่า”ท่านพ่อของเจ้าเก่งกล้า รู้อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่โชคร้าย ยังจะยืนกรานไปทำ เขาทำเพื่อพวกเจ้า เขาทำเพื่อเมืองต้าเหลียง”
เจ้าห้าหลับตาลง ไร้ความสุขเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาดึกดื่น มีฝูงอีกาบินโฉบอยู่เหนือพระราชวัง เป็นล้านตัว
ระหว่างคืนสามารถทำร้ายคนในวังจนนับไม่ถ้วนสำหรับคนที่รุนแรงถึงขั้นดวงตามองไม่เห็น คนที่ระดับเบาถูกจิกเนื้อหนังเป็นแผล
ทหารองครักษ์ขับเคลื่อนป้องกัน ถึงได้ปลอดภัยไม่น่าห่วง
ตะวันกำลังจะเบิกฟ้า เหล่าฝูงอีกาจึงได้โบยบินจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเรื่องนี้ ก็เลยมองลูกๆที่อยู่ในห้อง กล่าวว่าด้วยความโมโหว่า“เห็นพวกเจ้าที่อายุน้อย คิดไม่ถึงว่าจะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้ กล้าหาญทำร้ายชีวิตคน รอท่านพ่อพวกเจ้ากลับมา ดูว่าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร?”
เข้าเฝ้าช่วงเช้า มีคนกล่าวขึ้นเรื่องที่มีกลุ่มอีกาทำร้ายคนในพระราชวัง ทุกคนอยู่ในช่วงที่หวาดกลัว คิดว่าเป็นคนของอู๋โยวควบคุมกลุ่มอีกา เข้ามาทำร้ายคนในวัง
ท่านแม่ทัพฉีหลุบตาลง คิดในใจว่า อีกาของเมืองอู๋โยวไม่ได้ใหญ่
เรื่องของกลุ่มอีกาตรวจสอบไม่พบต้นสายปลายเหตุ จึงได้มอบหมายแก่กรมยุติธรรมให้ตรวจสอบอย่างละเอียด
“วันนี้ราชทูตของเมืองอู๋โยวจะมาถึง เหล่าอ้ายชิงมีผู้ใดจะไปต้อนรับหรือ?”
องค์จักรพรรดิมองมาทางด้านล่าง คนที่อยู่ในราชสำนักต่างมองหน้ากัน ไม่มีผู้ใดออกจากแถวเลย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองเฉินอวิ๋นเจี๋ยจากนั้นกล่าวตรัสว่า“แม่ทัพน้อย เจ้าไปเถิด”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยเดินมาด้านหน้ากล่าวว่า “ฝ่าบาท การต้อนรับราชทูตเป็นหน้าที่ของกรมพิธีการ กระหม่อมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอวิ๋นเจี๋ยไม่อยากไป
“อาลักษณ์กรมพิธีการ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางอาลักษณ์กรมพิธีการ อาลักษณ์กรมพิธีการก้าวออกมาจากแถว และกล่าวด้วยความลังเลใจว่า“ฝ่าบาท ราชทูตของอู๋โยวที่มาในครั้งนี้เป็นองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวจวินโม่ซ่าง กระหม่อมแนะนำว่าส่งท่านอ๋องเย่และพระชายาเย่ไป
มีสัมพันธไมตรีที่ดีกับเมืองอู๋โยว ก็คือท่านอ๋องเย่ที่จัดการได้
เช่นนี้ ท่านอ๋องเย่กับพระชายาไปก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อ๋องเย่ยังขังอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นให้พระชายาเย่และพระชายาตวนไป พร้อมกับแม่ทัพฉีและท่านอ๋องหย่งจวิ้น อาลักษณ์กรมพิธีการและรองเสนาบดีกรมพิธีการเช่นกัน”
ฉีเฟยอวิ๋นได้รับพระราชโองการ ได้เก็บของแต่งตัว อุ้มเจ้าห้าออกจากเรือนไป
คนกลุ่มหนึ่ง อยู่ที่นอกเมืองหลวงต้อนรับเหล่าราชทูตของอู๋โยว
การเคลื่อนขบวนของเมืองอู๋โยวได้เดินทางมาถึงใต้กำแพงเมืองแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นตบลูกที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา และก้มลงมองไปทางด้านล่างที่มีคนและรถม้าเดินไป
จวินโม่ซางสวมใส่ชุดสีดำ รูปร่างสูงโปร่งหล่อเหลา ใบหน้าราวกับหยก มองพิจารณาผู้คนอย่างถี่ถ้วน คล้ายดั่งไม่มีความสุข เขาไม่เห็นคนที่อยากจะเจอ เหตุใดหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นถึงไม่อยู่?
“องค์รัชทายาท พระองค์เสียมารยาทแล้ว”
ถังหลงกล่าวเตือน จวินโม่ซ่างกล่าวว่า“เหตุใดถึงไม่เจอหนานกงเย่กับหญิงอัปลักษณ์นั่นล่ะ?”
ถังหลงไร้คำกล่าวพูด ท่านมาเกี่ยวดองอภิเษกสมรส หรือมาดูพระชายาเย่
แต่ละคำก็คือหญิงอัปลักษณ์ ท่านยังไม่เคยลืมสักวัน?
“องค์รัชทายาทโปรดระมัดระวัง อย่าลืมจุดมุ่งหมายที่พวกเรามาพ่ะย่ะค่ะ”ถังหลงเกรงว่าจวินโม่ซ่างจะทำเรื่องที่ผิดและกล่าววาจาผิด
ในกรณีนี้คล้ายดั่งว่าจวินโม่ซ่างสามารถออกมาผ่อนคลายได้ โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ฟังคำพูดของถังหลงหรอก
กลุ่มคนติดตามมาอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นแวบเดียวจวินโม่ซ่างก็ได้มองเห็นคนที่อุ้มเด็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา เขาเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่สวยงามน่าดึงดูดนางหนึ่ง
คลับคล้ายคลับคลาว่าเจอที่แห่งไหน แต่ก็คิดไม่ออกชั่วขณะ ว่าคนที่มาคือใคร
เห็นเธอสวมใส่ชุดที่สง่างาม บนศีรษะมีปิ่นปักผม ข้างกายมีคนรายล้อม แม่ทัพฉีก็อยู่ในแถว
จวินโม่ซ่างกำลังมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความใจลอย ฉีเฟยอวิ๋นตบลูกที่อยู่ในอ้อมกอดอย่างเบาๆ กล่าวว่า“ฉีเฟยอวิ๋นถวายบังคมเพคะองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว องค์รัชทายาทเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ลำบากแล้วเพคะ”
ได้ยินเสียงของฉีเฟยอวิ๋นจวินโม่ซ่างรู้สึกหนักอึ้งที่หัวใจ จ้องมองฉีเฟยอวิ๋นอยู่เป็นเวลานานถึงได้กล่าวถามว่า “ท่านคือหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นตบเจ้าห้าเบาๆแล้วเงยหน้ามองจวินโม่ซ่าง
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวกล่าวสิ่งใดหรือเพคะ ?ข้าฟังไม่ชัดเจน”
ถังหลงรีบกล่าวว่า“องค์รัชทายาทเพิ่งจะหายจากอาการป่วย จะกล่าวไม่ดีบางครั้ง ขอพระชายาเย่อย่าใส่ใจเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบว่า“ท่านชายถังไม่เจอกันเสียนาน ยังคงเป็นผู้มีวาทศิลป์อยู่เช่นนั้น”
ถังหลงหน้าแดงก่ำ รีบกล่าวว่า“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเย่กล่าวน่าขันแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางจวินโม่ซ่าง จวินโม่ซ่างหายใจฮึดฮัด “เหตุใดถึงได้โตมาเยี่ยงนี้ล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นขำขัน หลีกทาง จากนั้นกล่าวว่า“เชิญเสด็จเพคะองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว!”
จวินโม่ซ่างจ้องมองฉีเฟยอวิ๋น หยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว