องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 574 กวาดล้างใต้หล้า
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 572 กวาดล้างใต้หล้า
จวินโม่ซ่างเห็นฉีเฟยอวิ๋นในคุกก็ชะงักครู่หนึ่ง แต่เขาเพิกเฉยเนื่องจากฉีเฟยอวิ๋นตามติดอยู่ข้างๆหนานกงเย่
หนานกงเย่ในชุดสีแดงทั้งตัวพร้อมลวดลายสีดำ และบนหน้าอกนั้นมีมังกรผงาด!
ฉีเฟยอวิ๋นก็สวมสีแดงแต่นางไม่กล้าสวมชุดหงส์ บนร่างกายนางนั้นงดงามยิ่งนักแสดงให้เห็นถึงความสง่างามเลิศหรูของนางซึ่งสวยงามและประณีต
ทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันเป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์ทรงสร้างจริงๆทำให้จวินโม่ซ่างที่มองดูรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
เขานั่งอยู่ด้านในด้วยผมเผ้ารุงรังและที่ขาก็ถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ช่างน่าอับอายยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ข้างๆและมองจวินโม่ซ่างอย่างละเอียดครู่หนึ่ง องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวผู้เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถในวันเก่าตอนนี้กลายเป็นนักโทษและลงเอยอย่างน่าอับอายเช่นนั้น ผู้ใดยังจะกล่าวสิ่งใดได้อีก?
หนานกงเย่นั่งลง: “เจ้าต้องการพบข้าหรือ?”
“ไม่ควรรึ?” แววตาของจวินโม่ซ่างนั้นเต็มไปด้วยการเสียดสี!
ทำให้หนานกงเย่และให้ฉีเฟยอวิ๋นด้วย เขาตกหลุมพลางของหญิงผู้นี้ซะแล้ว!
หนานกงเย่ลุกยืนขึ้น: “ในเมื่อองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวไม่มีสิ่งใดจะกล่าวกับข้า ข้าก็ไม่ต้องการเห็นองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว เช่นนั้นก็ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดแล้ว”
หนานกงเย่หันกลับมาแล้วดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นทีหนึ่ง จากนัันพาฉีเฟยอวิ๋นออกไปด้านนอก
จวินโม่ซ่างไม่เคยถูกทำให้โมโหเช่นมาก่อนแล้วลุกยืนขึ้น: “ท่านหยุดนะ”
หนานกงเย่หยุดลง คู่สามีภรรยาหันกลับไปมองจวินโม่ซ่าง สีหน้าดูแคลนของจวินโม่ซ่าง: “ท่านคิดว่าข้าองค์รัชทายาทเป็นคนโง่จริงหรือ?”
“ใช่หรือไม่ใช่ นั่นเป็นเรื่องขององค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวและข้าก็คร้านที่จะสนใจ” หนานกงเย่พร้อมใบหน้าอันดูถูกเหยียดหยามและหล่อเหลานั้นยังคงเป็นเช่นดังเดิมไม่ลดน้อยลง
สำหรับจวินโม่ซ่างนั้นเคยอยู่ในสายตาเมื่อใดกัน?
จวินโม่ซ่างเฉยชา: “เมืองอู๋โยวเกิดปัญหาทั้งภายในและภายนอก เสด็จพ่อของข้าฟังคำยุยงและพยายามเปิดสงคราม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ายินยอม”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปยังหนานกงเย่ เป็นไปตามที่ชายผู้นี้คาดเดาจริงๆ
เขาเป็นผู้ที่คาดการณ์แม่นยำเช่นนี้อยู่แล้ว!
“แล้วความหมายขององค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวหล่ะ?”
“ข้าไม่อยากสู้รบอยู่แล้ว สำหรับเมืองต้าเหลียงของพวกท่านการเปิดสงครามไม่มีประโยชน์อันใด แต่พวกเราก็ไม่ได้ประโยชน์เช่นกัน
เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ตระกูลมารดาของข้าไม่มีใครจึงไม่สามารถคอยสนับสนุนข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวได้ เป็นผลข้าเป็นแค่ในนาม พวกเขาอาศัยความแข็งแกร่งของตระกูลมารดาต้องการยุยงให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองแคว้นให้ได้
ประการแรกคือต้องการโค่นล้มข้า เช่นไรก็เป็นข้าที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเมืองต้าเหลียง หากว่าคราวนี้ต่อสู้กันขึ้นมาเช่นนั้นก็โค่นล้มข้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เสด็จพ่อตั้งความหวังไว้ที่ข้ามาโดยตลอดเพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยว่าหากข้าได้เป็นจักรพรรดิแห่งอู๋โยว ภายภาคหน้าเมืองอู๋โยวจะต้องแบ่งแยกกระจัดกระจายออกไป องค์ชายทั้งหลายที่ไม่ยอมนั้นมีอยู่มากมาย
ประการที่สองเมื่อทั้งสองแคว้นต่อสู้กันขึ้นมา ผู้ที่ต้องการแย่งชิงราชบัลลังก์ย่อมใช้ประโยชน์จากความโกลาหลแย่งชิงบัลลังก์เป็นแน่
และเมืองต้าเหลียงของเจ้าใช่ว่าจะสามารถชนะได้ กองทัพห้าแสนนายกดดันชายแดนซึ่งสำหรับเมืองต้าเหลียงของพวกเจ้าแล้วก็เป็นเรื่องอันน่าปวดหัวเช่นกันใช่หรือไม่? ”
“เช่นนั้นองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวหมายความว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต่อสู้กันเพื่อท่าน?” หนานกงเย่เดินไปตรงหน้าจวินโม่ซ่างและนั่งลงจัดความเรียบร้อยของชุดคลุม ส่วนฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าประตูไปและนั่งลงตรงฝั่งหนึ่งด้วย
จวินโม่ซ่างกล่าวว่า: “ในเมื่อพวกท่านจะสู้เช่นนั้นก็สู้อย่างหนักหน่วงหน่อย สู้ไปให้ถึงยังเมืองอู๋โยวและสู้ไปถึงวังในห้องบรรทมของเสโ็จพ่อข้า ให้เขาได้รู้ว่าการยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร ให้พวกที่ลอบวางแผนชั่วและพยายามแย่งชิงราชบัลลังก์ตายไปใต้เท้าของเมืองต้าเหลียงของท่าน เช่นนี้……เมืองอู๋โยวและเมืองต้าเหลียงของพวกท่านจึงจะสามารถแก้ไขได้ตลอดไป”
“……”หนานกงเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “ท่านคือองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว จุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใด?”
“ข้าจะเป็นมกุฎราชกุมารแห่งเมืองอู๋โยวและข้าต้องการให้ท่านรับปากกับข้าว่าเพียงแค่ท่านกุมเอาเมืองอู๋โยวไว้ได้และจะส่งคืนเมืองอู๋โยวให้แก่ข้าและคืนให้ข้าอย่างออกหน้าออกตา สำหรับผู้อื่น……”
จวินโม่ซ่างเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและมองไปยังหนานกงเย่: “ข้าอยู่ภายในเมืองอู๋โยวเมื่อสิบปีก่อนก็ได้ส่งคนของข้าเข้าไปแทรกแซงอยู่และข้าก็เชี่ยวชาญในด้านการค้าด้วย แม้ว่าเงินทองจะมีไม่มากเท่าอ๋องตวนแต่มีเสบียงอาหารที่สามารถสนับสนุนการโจมตีเมืองอู๋โยวของข้า
และข้ามีข้อเรียกร้องเพียงแค่สองข้อเท่านั้น ข้อแรกท่านห้ามทำร้ายผู้บริสุทธิ์ของเมืองอู๋โยวเรา ข้อสองต้องคืนเมืองและดินแดนของเมืองอู๋โยวให้ข้า ภารกิจสำเร็จเรียบร้อยแล้วคืนเมืองอู๋โยวเช่นดังเดิมให้ข้า
ถอยกลับไปยังนอกเมืองถาถ่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นขัดจังหวะ: “องค์รัชทายาทเหตุใดถึงคิดว่าท่านอ๋องจะเห็นด้วย?”
“หากไม่เห็นด้วย เพียงแค่ข้าไม่ออกไปภายในสามวัน ผู้ที่ข้าวางแทรกแซงไว้เหล่านั้นก็จะรีบเร่งมายังเมืองหลวงของเมืองต้าเหลียง ถึงเวลานั้นผู้ใดก็อยู่ไม่เป็นสุข และหากว่าต้องสู้รบกันในครั้งนี้ พวกท่านก็ใช่ว่าจะทำเช่นไรกับเมืองอู๋โยวได้
แทนที่จะใช้กำลังคนและกำลังทรัพย์เพื่อสู้รบก็ให้ข้าช่วยจะเป็นการดีกว่า เช่นนี้พวกท่านก็ได้ศักดิ์ศรีไปทั่วทุกสารทิศและสร้างชื่อเสียงด้านเมตตาธรรมและคุณธรรมด้วย แล้วพวกท่านยังมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีก? ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ นี่เป็นการค้าที่ไม่มีต้นทุนก็แค่ออกแรงกำลังคนกำลังทหาร
ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่น้อย!
หนานกงเย่ครุ่นคิด: “เงื่อนไขสองข้อของท่านข้าสามารถยอมรับได้ แต่วันนี้ในขณะที่อยู่ในพระตำหนักบำรุงฤทัยข้าได้กล่าวไว้ว่าจะตีไปจนถึงเมืองหลวงของอู๋โยวของท่าน ไม่เพียงเช่นนี้ต้องให้เมืองอู๋โยวส่งส่วยเป็นเวลาสิบปีมิเช่นนั้นก็ปราบเมืองอู๋โยวของท่าน
คำพูดที่กล่าวออกไปเสมือนน้ำที่ราดออกไปเกรงว่ากลับคำได้ยาก”
“ง่ายดาย ท่านยึดเอาเมืองอู๋โยวของข้า เมืองอู๋โยวของข้ารับปากว่าจะจ่ายส่วยให้แก่ท่าน แล้วท่านก็คืนคูเมืองและกำแพงเมืองให้ข้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การซื้อขายครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและจวินโม่ซ่างก็ลุกขึ้นด้วย: “พรุ่งนี้คนของข้าจะเตรียมเสบียงอาหาร ท่านแค่คิดหาวิธีปล้นชิงระหว่างทางก็พอ ถึงเวลานั้นห้ามทำร้ายผู้คน พวกเขาจะพยายามทิ้งเสบียงเอาไว้แล้วจากไป ทุกคนอย่าได้แตกคอกัน”
“ท่านเขียนตำแหน่งที่ตั้งเอาไว้ แล้วข้าค่อยหาทางจัดการ”
หนานกงเย่กล่าวจบก็จากไป ส่วนฉีเฟยอวิ๋นนั้นเดินตามหลังออกไป
ประตูห้องขังปิดลงฉีเฟยอวิ๋นก็หันกลับมามองและเดินตามหลังหนานกงเย่จากไป
ทั้งสองคนขึ้นรถม้าฉีเฟยอวิ๋นก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเย่ ส่วนอาอวี่ขับรถม้าออกไป ฉีเฟยอวิ๋นมองขึ้นไปยังใบหน้าของหนานกงเย่แล้วถามว่า: “จะทำเช่นนี้จริงหรือ?”
“สู้รบในครั้งนี้จะต้องใช้กำลังทรัพย์เป็นจำนวนมากเป็นแน่แล้วเงินก็เป็นสิ่งที่เมืองต้าเหลียงเราขาดแคลนที่สุด จวินโม่ซ่างเตรียมการเรื่องนี้มาแม้แต่ถังหลงก็ไม่รู้เรื่อง แสดงว่าคนผู้นี้ไม่สามารถเป็นศัตรูด้วยได้ เป็นได้เพียงแค่สหายเท่านั้น
หากว่าวันนี้ข้าไม่สังหารเขาเช่นนั้นต่อไปภายภาคหน้าเขาก็จะเป็นศัตรูกับข้า แต่หากว่าเขาสามารถเป็นศัตรูของข้าได้ก็แสดงว่าเขามีความสามารถ
ข้าจะเลี้ยงเขาเอาไว้ให้เขามีชีวิตอยู่ ให้เขานั้นช่วยให้ข้าแข็งแกร่ง รอเมื่อถึงเวลาที่เมืองต้าเหลียงสามารถกวาดล้างไปทั่วทุกสารทิศ ข้ายังคงสามารถใช้การเขาได้ ถึงเวลานั้นข้าจะให้ทั่วทุกสารทิศยอมจำนน”
ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วออกจากแขนของหนานกงเย่ มองไปยังใบหน้าอันเพิกเฉยของหนานกงเย่ด้วยสายตาหมองหม่น
ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า: “ท่านอ๋อง ท่านจะเป็นอิ๋งเจิ้งหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหนังสือที่นางนำมานั้นมีอิทธิพลต่อหนานกงเย่เป็นอย่างมาก แต่นางไม่เคยคิดว่าหนานกงเย่จะมีความคิดเช่นนี้ เขาจะเป็นอิ๋งเจิ้งคนที่สอง
หนานกงเย่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยสายตาอันล้ำลึก: “อวิ๋นอวิ๋นหากว่าข้าต้องการเป็นอิ๋งเจิ้ง อวิ๋นอวิ๋นจะยินดีช่วยเหลือข้าและผนวกแผ่นดินเข้าด้วยกันหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นลังเล: “อิ๋งเจิ้งผู้ที่กวาดล้างหกแคว้นนั้นไม่ได้ใจผูัคน แม้ว่าเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิโดยตลอดยุคสมัยเขาก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในราชวงศ์นั้น เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างยากเย็นท่านอ๋องยินดีที่จะเป็นคนเช่นนั้นหรือ? ที่จริงนั้นในประวัติศาสตร์ไม่มีราชวงศ์ของท่านอ๋อง เมืองต้าเหลียงที่เป็นอยู่อาจเป็นเพียงราชวงศ์ในอีกมิติหนึ่งและคนรุ่นหลังก็ไม่ได้ประเมินสิ่งใดต่อท่านอ๋อง!”
“ข้าไม่ได้เสียดายในการประเมินนี้ แต่ข้าต้องการผนวกแผ่นดินเพื่อให้แผ่นดินใต้หล้านี้เกิดสงครามน้อยลงและสงบสุขมากขึ้น หากว่าคนผู้หนึ่งสามารถแบกรับการถูกก่นด่าเพื่อให้ทุกคนมีความมั่นคง ข้าเต็มใจที่จะเป็นคนผิดบาปผู้นี้!”
หลังจากที่หนานกงเย่กล่าวคำพูดนี้แล้วฉีเฟยอวิ๋นก็หันหน้าหนีพร้อมกับสงบเงียบไป
หมายเหตุ
อิ๋งเจิ้ง หมายถึง จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิพระองค์แรกของประเทศจีนที่ทรงผนวกรวมกันให้เป็นหนึ่ง