องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 602 ยั่วโมโหแม่ทัพฉี
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 600 ยั่วโมโหแม่ทัพฉี
ไม่รู้ว่าลูกๆมาอยู่ในรถม้าได้อย่างไร ฉีเฟยอวิ๋นรีบขึ้นรถม้า ทั้งยังอุ้มเจ้าเสือน้อยไว้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือว่าเด็ก ครอบครัวของเธอก็ปานหนีภัยไม่มีผิดเพี้ยน พวกเธอขึ้นรถม้ากลับไปยังจวนอ๋องเย่
ภายในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นอยากให้หนานกงเย่หายเร็วไว จึงอยากให้ดื่มโลหิตตนสักหน่อย ทว่าเขาทักท้วง เขาไม่อยากให้ฉีเฟยอวิ๋นเฉือนข้อมือตัวเอง
แม้นเธอจะหายได้เอง ทว่าเมื่อมีดลงข้อมือก็ยังคงรู้สึกเจ็บมากอยู่ดี
คนนอกอาจไม่ใส่ใจจุดนี้ ทว่าเขาไม่ใช่ ใครใช้ให้เป็นสตรีของเขากันล่ะ
เขาไม่ทะนุถนอมแล้วใครจะทำ?
ฉีเฟยอวิ๋นเถียงหนานกงเย่ไม่ไหว ได้แต่เชื่อฟังคำพูดของหนานกงเย่
และทำแผลบนศีรษะให้เขาแบบง่ายๆ
“เจ็บหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นมองใบหน้าของหนานกงเย่ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดก็อดสงสารไม่ได้อย่างแปลกประหลาด
หนานกงเย่กุมมือฉีเฟยอวิ๋นมาไว้ในอ้อมอก พลางพิงหลังที่ผนังรถม้า บรรดาบุตรชายที่ก่อนหน้านี้กำลังส่งเสียงร้องไห้ ยามนี้ไม่ร้องแล้ว
หนานกงเย่โอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ พร้อมกับลูบแหวนนิ้วหัวแม่มือเล่น พอฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองเขาอีกที เขาก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
“ท่านอ๋องจำเป็นต้องเอาให้ถึงตายเชียวหรือเพคะ? ฝ่าบาทปกป้องฮองเฮาด้วยความรัก ส่วนทำปกป้องพระพันปีด้วยความกตัญญู อันที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างกันนะเพคะ ฝ่าบาทแทรกอยู่ตรงกลาง จะทำใจลำบากนะเพคะ นับแต่โบราณกาล สายสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้เป็นหลุมที่ยากจะก้าวผ่านพ้น ทว่ายามนี้เกิดขึ้นมารั้ววัง จึงเกิดการนองเลือดเล็กน้อยเพคะ
ท่านไม่ยุ่ง ฝ่าบาทก็คงไม่นิ่งนอนใจแน่เพคะ
ยิ่งไปกว่านั้น คนร้ายเมื่อคืนไม่ใช่เสียชีวิตแล้วหรือเพคะ แต่ท่านดันบอกว่าเป็นฝีมือฮองเฮา ท่านกำลังทำให้ฝ่าบาททำตัวไม่ถูกนะเพคะ”
หนานกงเย่กระชั้นมือ “นางมีบุตร ไม่ถึงกับตายหรอก แต่ข้าก็ไม่ใช่คนดี แม้นภรรยาของข้ามีเมตตาไม่เข้ายุ่ง แต่อวิ๋นอวิ๋น เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นจะเป็นเช่นเจ้า?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดจา เธอคิดไม่ตก จึงไม่คิดให้ปวดหัว
อวิ๋นจิ่นทราบข่าวก็มารอหน้าประตูจวนอ๋องเย่แต่เช้า ส่วนแม่ทัพฉีเดินวนไปวนมาด้วยความกลัดกลุ้ม เดินไปพลาง ถามไปพลาง “ยามไหนแล้ว ไยจึงไม่กลับมาเสียที?”
“ยามอู่เจ้าค่ะ ใกล้จะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” อวิ๋นจิ่นก็กลุ้มใจเช่นกัน ได้ยินว่ามีคนลอบทำร้ายองค์ชายเล็ก ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายเล็กเป็นเช่นไรบ้าง
แม่ทัพฉีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ข้าว่าวันหล้งไม่ต้องเข้าวังแล้ว ที่นั่นไม่เหมาะกับพวกเขา”
อวิ๋นจิ่นไม่ตอบ ทว่าอวิ๋นจิ่นก็คิดเหมือนท่านแม่ทัพฉี ต้องบอกนายเหนือหัวว่าอย่าพาเข้าวังอีกเลย
ทันทีที่รถม้าจอดหน้าประตูจวนอ๋องเย่ แม่ทัพฉีก็รีบเดินผลุนผลันไปหา อาอวี่กระโดดลงจากรถม้าพลันแหวกม่านรถม้าออก
ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มบุตรคนหนึ่งให้แม่ทัพฉี อวิ๋นจิ่นก็เดินเข้ามาสมทบ วันนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว
หวังฮวายอันและสวีกงกงก็อยู่ด้วย ทุกคนทำหน้าที่อุ้มลูกคนละหนึ่งคน โดยอุ้มไปยังลานเรือนจวินจื่อ
หนานกงเย่มีเลือดเต็มตัว บริเวณศีรษะก็ใช่ ทว่าทุกคนสนใจแต่ลูกๆ คล้ายกับไม่มีคนสนใจไยดีกับความเป็นตายร้ายดีของหนานกงเย่เลย ฉีเฟยอวิ๋นประคองหนานกงเย่เข้าไปด้วยห้วงอารมณ์จนปัญญา
พวกแม่ทัพฉีอุ้มเด็กๆเข้าเรือนจวินจื่อ อวิ๋นจิ่นสั่งให้สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นและถังน้ำมา เพื่ออาบน้ำให้กับเด็กๆทั้งห้าคน ทั้งยังแช่อ้ายเยี่ยเพื่อปัดรังควาน เผื่อว่าจะมีสิ่งอัปมงคลติดร่างกายกลับมา
เด็กๆสวมเสื้อผ้าด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน กระทั่งเจ้าเสือน้อยก็ยังต้องอาบน้ำ และเจ้าอีกาน้อยจึงไม่ได้รับการยกเว้นเช่นกัน
เจ้าเสือน้อยเชื่อฟังกว่า ยอมแช่อยู่ในน้ำแต่โดยดี แม่ทัพฉีอาบน้ำให้เจ้าเสือน้อยอย่างไม่เต็มใจ เพราะคนอื่นไม่กล้าลงมืออาบให้ มีเพียงแม่ทัพฉีที่ไม่ครั่นคร้าม ซึ่งเจ้าเสือน้อยก็เชื่อฟังแม่ทัพฉีมาก
ในสายตาแม่ทัพฉี อย่าว่าแต่เสือตัวน้อยๆเลย กระทั่งเสือตัวใหญ่ แม่ทัพฉีก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา แค่เขาปล่อยหมัดเดียวก็ตายแล้ว
เจ้าเสือน้อยอาบน้ำเสร็จก็นอนกลิ้งบนผ้าผื้นใหญ่ที่สะอาดเอี่ยม เพื่อเช็ดตัวให้แห้ง
แม่ทัพฉีเช็ดตัวให้เจ้าเสือน้อย หลังมองอวิ๋นจิ่นปราดหนึ่งแล้วก็ออกไปด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ไปที่สระกำมะถัน เธออาบน้ำและทำแผลให้เขาในเวลาเดียวกัน
แม่ทัพฉีมายืนหน้าประตูแล้วเตรียมจะเอาไป อาอวี่รีบขัดขวาง “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านอ๋องกำลังทำแผลอยู่ขอรับ”
แม่ทัพฉีกล่าว “หลบไป”
สิ้นเสียง แม่ทัพฉีก็ผลักประตูเข้าไป อาอวี่รีบเดินตามเข้าไป บัดนี้ประตูสระกำมะถันกำลังปิดอยู่ ซึ่งตรงบานประตูแขวนป้ายที่เขียนว่า ห้ามเข้า ไว้หนึ่งอัน
ใบหน้าเหยี่ยวย่นของแม่ทัพฉีเขียวคล้ำ โดยปกติใบหน้าแม่ทัพฉีจะต้องแดงก่ำ เพราะยามนี้ลูกเขยกับบุตรีกำลังอาบน้ำด้านใน เขาในฐานะพ่อตาไม่ควรเข้าไป
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน แม่ทัพฉีอารมณ์เสียยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินว่ามีคนมา ทว่าก็ไม่สนใจว่าจะเป็นใครหน้าไหนทั้งนั้น นาทีนี้ต้องทำแผลให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเสื้อออกไป
โดยเฉพาะยามที่ฉีเฟยอวิ๋นรับรู้ว่าอารมณ์หนานกงเย่ก็ไม่สู้ดีนัก
ฉีเฟยอวิ๋นทำแผลให้หนานกงเย่อย่างรวดเร็ว และช่วยสวมอาภรณ์ให้หนานกงเย่ด้วยตัวเอง
หนานกงเย่หลุบตาลง “ข้าอยากพักผ่อน วันสองวันก็ยังดี”
คล้ายกับฉีเฟยอวิ๋นฟังไม่เข้าใจ มองใบหน้าหล่อเหล่าของหนานกงเย่ ที่ยามนี้สูญเสียเลือดมากเกินไป “ท่านอ๋องอยาก…….”
“สามวัน” หนานกงเย่หน้าเปลี่ยนสี พลางตัดสินใจอย่างเบิกบาน
กล่าวจบหนานกงเย่ก็เดินออกจากประตูห้องสระกำมะถัน เมื่อเห็นคนนอกประตูเป็นแม่ทัพฉี หนานกงเย่ก็รีบกล่าวทักทายขานเรียกว่าพ่อตา จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนที่เตียงอุ่น ฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมาแล้วเห็นแม่ทัพฉีก็ไม่แปลกใจ เป็นถึงท่านพ่อของเธอ จึงแกร่งกล้ากว่าผู้ใดอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ” ฉีเฟยอวิ๋นเรียกท่านพ่อเสร็จก็หมุนกายเดินไปหาหนานกงเย่ จากนั้นก็หย่อนกายนั่งลงข้างเตียง ก่อนจะลูบจับใบหน้าหนานกงเย่ แล้วเอาเครื่องเป่าผมที่ตัวเองประดิษย์ขึ้นมาเป่าผมให้หนานกงเย่
แม่ทัพฉียืนมองด้านข้างสักพัก จากนั้นก็ถามอย่างอดรนทนไม่ไหว “ใครทำเขาเป็นแบบนี้?”
ถึงยามนี้ฉีเฟยอวิ๋นก็ยังไม่เข้าใจว่าที่แม่ทัพฉีอารมณ์เสียเพราะเป็นห่วงหนานกงเย่
“ฝ่าบาท” เพราะอยู่ในช่วงอารมณ์ขุ่นเคือง ซึ่งฉีเฟยอวิ๋นสามารถแบกรับอารมณ์ขุ่นเคืองได้ ทว่าสิ่งเดียวที่ยอมไม่ได้คือ ทำร้ายบุรุษของเธอ
บัญชีนี้ ขอจดจำไว้ชั่วคราวก่อน
แม่ทัพฉีสบถหนึ่งเสียง “พ่อคิดแล้วว่าต้องเป็นเขา”
กล่าวจบแม่ทัพฉีก็หมุนกายเดินออกไป ถึงตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นพึ่งฉุกคิดได้ว่าแม่ทัพฉีหมายถึงอะไร
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเพื่อตามแม่ทัพฉีกลับมา ทว่าเรื่องที่แม่ทัพฉีตั้งมั่นไว้ว่าจะทำ ไหนเลยจะตามกลับมาได้?
ฉีเฟยอวิ๋นออกนอกประตูก็ไม่เห็นเงาบิดาเสียแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมยังไม่แห้งดี อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เธอกลัวยิ่งนัก จึงไม่คิดจะอินังขังขอบ เมื่อท่านพ่อของเธอเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง เลือดขึ้นหน้าแล้วอย่างไร ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเสียหน่อย
หากจักรพรรดิอวี้ตี้อยากตัดหัวพ่อของเธอคงทำไปนานแล้ว คงไม่รอถึงทุกวันนี้หรอก
ถือเสียว่าสหายประลองฝีมือกันก็พอ ฉีเฟยอวิ๋นปลอบตัวเองแล้วเดินกลับเข้าไป
เมื่อปิดประตู ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นหนานกงเย่กำลังหลับตาอยู่ เขาทำตัวเหมือนเด็กเล็กที่กำลังงอน แกล้งหลับอยู่บนเตียง
ฉีเฟยอวิ๋นไปเอายาน้ำมาหนึ่งขวด แล้วฉีดให้เขา เพราะยังจำเป็นต้องฆ่าเชื้อ
เขาไม่ยอมดื่มโลหิตเธอ เช่นนั้นก็ย่อมต้องฉีดยา
แม่ทัพฉีเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิอวี้ตี้ ซึ่งจักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ยอมให้เข้าพบ ทว่ายามนี้จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่ใช่จะอยู่เย็นเป็นสุขนัก เพราะฮองเฮาถูกกักบริเวณ เวลานี้เขายังคงอิดออดว่าควรละเว้นโทษปล่อยออกมาดีหรือไม่?
เพราะเรื่องของหนานกงเย่ มู่เหมียนจึงอ้างไม่สบายพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักหรงเต๋อ เขาจึงไม่มีที่ให้ไป
ท่ามกลางความสลดใจ พระพันปีมีพระเสาวนีย์ให้เขาไปหา จักรพรรดิอวี้ตี้จึงไปตามรับสั่ง
ครั้นออกจากพระตำหนักหรงเต๋อไปยังพระตำหนักเฉาเฟิ่ง จักรพรรดิอวี้ตี้พึ่งถึงหน้าประตูตำหนักเฉาเฟิ่งก็เห็นแม่ทัพฉียืนอยู่ตรงนั้น จักรพรรดิอวี้ตี้ลอบพูดในใจว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ ทว่าถึงอย่างไรเขาเป็นก็จักรพรรดิ ยังมีศักดิ์ศรีของจักรพรรดิอยู่ ดังนั้นจึงอยู่ต่อ
แม่ทัพฉีเข้าไปทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้ยังรู้จักประมาณการ ขานรับหนึ่งเสียง จากนั้นก็ถามว่า “มีธุระหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมอยากขอคุยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพฉีกล่าวเสียงทุ้มต่ำ จักรพรรดิอวี้ตี้รู้ว่าเขาอารมณ์เสีย จำเป็นต้องอธิบายสักหน่อย ใครใช้ให้เขาทำร้ายลูกเขยอีกฝ่ายกัน จักรพรรดิอวี้ตี้จึงย่างเท้าไปยังสระดอกบัว
จักรพรรดิอวี้ตี้หารู้ไม่ว่า สิ่งที่รอคอยเขาอยู่เป็นฉากมหันตภัยครั้งใหญ่