องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 609 ความจริง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 609 ความจริง
“เจ้าหอเฟิง” อวิ๋นจิ่นอุ้มเด็กอยู่แล้วโน้มตัวเข้าหาเฟิงอู๋ชิง
เฟิงอู๋ชิงมองไปโดยรอบสองครั้ง: “เจ้าก็เข้าไปเถอะ”
“เจ้าหอ”
อวิ๋นจิ่นไม่เข้าไปแต่กลับเดินไปยังตรงหน้าของเฟิงอู๋ชิง: “เชิญเจ้าหอเข้าไปในเรือน ขณะที่นายท่านจากไปได้บอกเอาไว้ว่าหากประสบปัญหาต้องให้เจ้าหอและซื่อจื่อทั้งหลายอยู่ด้วยกันคนอื่นๆไม่มีความสามารถ”
อวิ๋นจิ่นไม่เคยได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเช่นนี้แต่นางต้องนำเฟิงอู๋ชิงเอาไว้ข้างกาย
เฟิงอู๋ชิงชำเลืองมองอีกด้านของห้องจากนั้นก็เข้าไปในห้องและอวิ๋นจิ่นได้เดินตามเข้าไป
อู๋ซังอยู่ด้านนอกและอาอวี่ก็อยู่ด้านนอกด้วย
อาอวี่รู้สึกหดหู่ใจยิ่งนักที่ไม่ได้ติดตามหนานกงเย่ไปยังชายแดน
เฟิงอู๋ชิงมาถึงห้องของเด็กๆทั้งหลายเป็นครั้งแรก ในห้องนั้นว่างเปล่าและกว้างขวาง ทั้งหมดนอนพักผ่อนกันอยู่บนพื้นกันทั้งสิ้น เด็กๆทั้งหลายนอนหลับสนิทกันในเวลานี้ ยังมีจิ้งจอกหางสั้นกับเจ้าเสือน้อยหมอบนอนอยู่บนพื้นและยังมีเจ้าอีกาน้อยตัวหนึ่งด้วย
พวกเขาแต่ละคนมีที่พักผ่อนของตนเอง แต่ตำแหน่งของพวกเขานั้นอยู่รอบเด็กคนหนึ่ง
มีเด็กสี่คนนอนอยู่บนพื้น สามคนนั้นนอนหลับและอีกคนลืมตาอยู่ และนี่ก็คือคนที่เจ้าเสือน้อยและจิ้งจอกหางสั้นคุ้มครองอยู่
เห็นเฟิงอู๋ชิงแล้วเจ้าห้าก็หลับตาลง
แม่ทัพฉีก็ตื่นนอนแล้วเช่นกัน อวิ๋นจิ่นอุ้มเจ้าสามโน้มตัวไปทางแม่ทัพฉี: “ท่านแม่ทัพ”
แม่ทัพฉีตอบเสียงหนึ่งจากนั้นก้มลงอุ้มเจ้าใหญ่ขึ้น
มีคนมาจากด้านนอกประตู เปิดประตูออกสวีกงกงนั้นเข้ามาแล้ว: “ด้านนอกมีคนมาแล้ว!”
สวีกงกงรู้สึกกังวลมากในเวลานี้แล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าประตูมา และไม่ว่าจะเป็นคนใดก็อุ้มขึ้นมาหนึ่งคนไว้ในอ้อมแขนเลย
หวังฮวายอันก็เข้ามาแล้ว เข้าประตูมาก็เปลี่ยนรองเท้าจากนั้นเดินไปตรงหน้าเจ้าสองแล้วอุ้มขึ้น
อวิ๋นจิ่นหนึ่งคน สวีกงกงหนึงคน แม่ทัพฉีหนึ่งคน หวังฮวายอันหนึ่งคน
สี่คนคนละหนึ่งคน เหลือเจ้าห้าที่ไม่มีใครดูแล
ราวกับว่าอวิ๋นจิ่นรู้อยู่แล้วจากนั้นมองไปยังเฟิงอู๋ชิง: “ได้ยินมาว่าเจ้าหอเฟิงได้รับซื่อจื่อที่ห้าเป็นลูกศิษย์ ลำบากเจ้าหอเฟิงแล้ว”
เฟิงอู๋ชิงเดินไปแล้วก้มลงอุ้มเจ้าห้าขึ้น เจ้าห้าหลับตาอยู่ราวกับว่าไร้ซึ่งการตอบสนอง
สวีกงกงอุ้มเจ้าสี่แล้วตบเบาๆ: “เจ้าพวกนักฆ่าเหล่านี้ ท่านอ๋องพระชายาเพิ่งจากไปไม่กี่วันก็วิ่งมารนหาที่ตาย”
อวิ๋นจิ่นขบขัน: “กงกงกล่าวได้ถูกต้อง”
อวิ๋นจิ่นเป็นคนนำนั่งลงก่อน หงเถาลี่ว์หลิ่วก็มาแล้ว พวกเขานั้นไม่กลัวทั้งสิ้นตระเตรียมเครื่องดื่มและของว่างจากนั้นจัดวางโต๊ะกลมโต๊ะหนึ่ง ทั้งห้าคนนั่งลงดื่มชาและทานของว่างกัน
เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายอวิ๋นจิ่นยังออกปริศนาโคมไฟด้วยและทายปริศนาโคมไฟด้วยกัน
ด้านนอกเริ่มต่อสู้กันขึ้นและใช้เวลาต่อสู้กันครึ่งชั่วยามจึงสงบเงียบลง
แต่ไม่นานก็มีเสียงดังจากผู้คนบางส่วนจากนั้นอวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น: “ดูเหมือนว่าผู้ที่มีความสามารถอยู่บ้างมาแล้ว”
เฟิงอู๋ชิงมองดูเจ้าห้าซึ่งไม่มีการตอบสนองใดๆอยู่ในอ้อมแขนและรู้สึกประหลาดใจต่อเด็กคนนี้อยู่บ้าง เด็กคนอื่นๆอย่างน้อยก็ลืมตาขึ้นมอง ขยับเขยื้อนแล้วนอนต่อ ส่วนคนนี้หลับตาไม่ยอมลืมแต่ว่าเขาไม่ได้หลับเป็นแน่
ข้างกายมีเจ้าเสือน้อยหมอบอยู่ เจ้าเสือน้อยนั้นดูเหมือนจะคุ้นเคย ตั้งแต่เฟิงอู๋ชิงเริ่มอุ้มเจ้าห้าเจ้าเสือน้อยก็นอนหมอบอยู่ข้างๆขาของเฟิงอู๋ชิง จิ้งจอกหางสั้นก็อยู่ในระยะของเขาแล้วยังเจ้าอีกาน้อยซึ่งจ้องมองเจ้าห้าอยู่ข้างๆตลอด
นอกห้องสงบลง อู๋ซังตะโกน: “ผู้ใดกัน ช่างบ้าคลั่งเช่นนี้?”
“จงชินอ๋อง!” มีคนค่อยๆกล่าว อวิ๋นจิ่นหันตัวไปมองแล้วหันหลังลุกยืนขึ้น
อู๋ซังกับอาอวี่พุ่งตัวออกไปพร้อมกันและต่อสู้กับคนสิบกว่าคนที่อยู่ด้านนอก อวิ๋นจิ่นรู้ว่าคนของนางนั้นย่ำแย่ซะแล้ว
อวิ๋นจิ่นมองไปยังเฟิงอู๋ชิง: “ลำบากเจ้าหอแล้ว”
เฟิงอู๋ชิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้เลย ประตูเปิดออกด้วยเสียงโครมเสียงหนึ่ง เฟิงอู๋ชิงก้าวย่างไปยังตรงหน้าประตูอวิ๋นจิ่นก้มลงหยิบผ้าห่มแล้วโยนไป: “เจ้าหอ ผ้าห่ม”
เฟิงอู๋ชิงคว้าผ้าห่มพันเอาไว้รอบๆตัวเจ้าห้า มือหนึ่งอุ้มเจ้าห้าเอาไว้แล้วเดินออกไป
แม่ทัพฉีและคนอื่นๆอุ้มเด็กเอาไว้โดยห่อด้วยผ้าห่มแล้วเดินตามออกไป แต่สวีกงกงกับหวังฮวายอันไม่กล้า เมื่อเดินถึงตรงหน้าประตูก็หยุด เด็กสำคัญพวกเขานั้นไม่กล้าโอ้อวด
อวิ๋นจิ่นใจกล้าโดยที่ยืนอยู่นอกห้องและไม่ออกไปเท่าใด มีเพียงแม่ทัพฉีกับเฟิงอู๋ชิงที่ออกไปด้านนอก
อาอวี่ถูกคนเตะทีหนึ่งบินกระเด็นไปและล้มลงบนพื้นแล้วกระอักเลือด
อู๋ซังผู้เดียวจัดการกับคนสิบกว่าคนก็รู้สึกว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
เฟิงอู๋ชิงชำเลืองมองผู้คนในลาน เหยียบกระบี่ที่อาอวี่ทิ้งเอาไว้ทีหนึ่งกระบี่ดีดขึ้นมาจากบนพื้น เฟิงอู๋ชิงยกมือขึ้นแล้วกระบี่ก็ตกลงในมือของเขา เขาทำแขนแนวนอนแล้วจ้องมองผู้ที่สวมหน้ากากอย่างเฉยเมย
“เดิมทีเป็นสิ่งของที่เจอแสงไม่ได้แล้วยังกล้าที่จะมาสร้างปัญหาในจวนอ๋องเย่” เฟิงอู๋ชิงยิ้มอย่างเย็นชาทีหนึ่ง
จงชินอ๋องชักดาบออกมา: “เจ้าเป็นผู้ใด?”
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ วันนี้เจ้ามาแล้วกลับไม่ได้ก็แล้วกัน”
เฟิงอู๋ชิงกำลังคิดที่จะลงมือก็มีเสียงดังมาจากหน้าประตูของเรือนจวินจื่อ: “จงชินอ๋อง?”
อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบจงชินอ๋องที่จวนอ๋องเย่
จงชินอ๋องผงะไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆมองไปทางหน้าประตูของเรือนจวินจื่อ เขาหยุดชั่วครู่และหันหน้าไปทางอวิ๋นหลัวฉวน
อวิ๋นหลัวฉวนส่ายศีรษะและขบขำจนอยากจะร้องไห้: “ข้าคิดว่าท่านตายแล้วเหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ขณะที่อวิ๋นหลัวฉวนกล่าวนั้นมองไปยังบนพื้น บนพื้นคือศพทั้งนั้นที่นอนอยู่และเป็นคนของจวนอ๋องเย่ทั้งสิ้น นางเคยเห็นอวิ๋นจิ่นฝึกฝนผู้คนเหล่านี้
จงชินอ๋องลดหน้ากากลง ใบหน้าของเขายังเป็นเขาไม่ผิด
อวิ๋นหลัวฉวนถามว่า: “เหตุใดท่านถึงกลับมา? ท่านตายแล้วไม่ใช่หรือ? เพราะเหตุใด?”
“ฉวนเอ๋อร์ข้ารู้สึกไม่เป็นธรรม ไม่ช้าก็เร็วข้าจะพาเจ้าไปจากนั้นแต่งงานกับเจ้าอย่างเปิดเผย ให้เจ้าเป็นฮองเฮาของข้าและให้เจ้าอยู่เหนือทุกสารทิศเป็นสตรีที่รุ่งโรจน์ที่สุด”
จงชินอ๋องแขวนหน้ากากในมือไว้ที่เอว อวิ๋นหลัวฉวนมองดูหน้ากากอยู่ครู่หนึ่งด้วยความมึงงง: “ท่านเป็นผู้ที่ทำลายหลุมศพ? เป็นท่าน?”
อวิ๋นหลัวฉวนรู้จักหน้ากาก
จงชินอ๋องหัวเราะ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาไม่ได้อึดอัดใจเลย: “ฉวนเอ๋อร์ ยังจำที่ข้าเคยบอกเจ้าว่าข้าสามารถละทิ้งใต้ปฐพีนี้แต่ข้าไม่สามารถละทิ้งเจ้าได้
หากเจ้าไปกับข้าต่อจากนี้ไปข้าจะไม่กลับมาแผ่นดินก็ละทิ้งลงได้ เมืองต้าเหลียงก็จะสงบสุขตลอดไป เจ้ายินยอมหรือไม่? ”
อวิ๋นหลัวฉวนเม้มริมฝีปาก: “เป็นท่านที่ทำลายหลุมศพ ท่านเป็นผู้ที่เอาหน้ากากไป?”
น้ำตาของอวิ๋นหลัวฉวนไหลวนอยู่ในหางตา
“ใช่ ข้าเอง” จงชินอ๋องเดินไปทางอวิ๋นหลัวฉวน อ๋องตวนนั้นเดินไปบังอยู่ตรงหน้าของอวิ๋นหลัวฉวน
“เจ้าต้องการผู้หญิงของข้าเจ้าได้ถามข้าแล้วหรือยัง?” แววตาของอ๋องตวนนั้นเฉียบคม มือนั้นถือกระบี่เล่มยาวส่วนมืออีกข้างหนึ่งกุมมือน้อยๆอันเย็นชาของอวิ๋นหลัวฉวน เขาเจ็บปวดใจและยิ่งโกรธเกลียดมากกว่า
จงชินอ๋องเฝ้าคิดถึงผู้หญิงของเขา
“หนานกงเหยี่ยน เจ้าแค่มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าข้าหนึ่งขั้นเจ้านั้นไม่ได้สูงส่ง ผู้ที่ไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของจวนกั๋วกงเลย เจ้าไม่คู่ควรกับฉวนเอ๋อร์”
อ๋องตวนขบขัน: “คู่ควรหรือไม่เจ้ากล่าวไม่นับ จวนกั๋วกงกล่าวก็ไม่นับ ข้ากล่าวจึงจะนับได้”
อ๋องตวนพาอวิ๋นหลัวฉวนที่กำลังเหม่อลอยเดินไปทางฝั่งอวิ๋นจิ่นและคนอื่นๆจากนั้นหันไปมองอวิ๋นหลัวฉวน: “ไม่มีสิ่งใดที่ต้องร้องไห้ เขาไม่คู่ควร รอข้าอยู่ตรงนี้
ทุกคนดูถูกข้าแต่ข้าไม่เชื่อ วันนี้ข้าจะเอาชนะเขา”
อวิ๋นหลัวฉวนปาดน้ำตา: “ในเมื่อท่านถูกปรักปรำ เหตุใดข้าถึงจะไม่ยินดีแล้วท่านก็ยังไม่บอกข้าด้วย?”
อ๋องตวนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง: “ข้าแค่ฟังพวกเขา เป็นอ๋องเย่ที่ต้องการให้ข้าเก็บเป็นความลับ ในโลกนี้ไม่ต้องการจงชินอ๋อง เดิมทีจงชินอ๋องนั้นก็สมควรตาย”
“……”อวิ๋นหลัวฉวนไม่เชื่อ นางแค่มองอ๋องตวนและไม่ได้กล่าวสิ่งใด
จงชินอ๋องโกรธเคือง: “ฉวนเอ๋อร์ เจ้าจำได้หรือไม่ว่าใต้ต้นดอกท้อเรื่องที่ได้ให้สัญญาไว้กับข้า เจ้าบอกว่าหากมีวันหนึ่งเกิดสิ่งใดขึ้นกับข้าเจ้ายินดีที่จะอยู่เคียงข้างข้า?”
“……” อวิ๋นหลัวฉวนมองไปยังจงชินอ๋อง: “ที่ผ่านมานั้นยังเยาว์วัยข้ายังดูท่านไม่ออก แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ข้าไม่ควรรู้จักกับท่าน!”
“……”จงชินอ๋องผงะครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เย็นยะเยือก
“หนานกงเหยี่ยน วันนี้ข้าจะให้เจ้าตายได้น่าเกลียดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก” จงชินอ๋องยกกระบี่ขึ้นส่วนอ๋องตวนตะโกนเสียงหนึ่งว่าคุ้มครองพระชายาแล้วพุ่งตัวออกไป
อวิ๋นหลัวฉวนชักกระบี่ออกมาทันทีแล้วเดินตามออกไป