องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 631 ศัตรูหัวใจของอ๋องเย่
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 631 ศัตรูหัวใจของอ๋องเย่
หวาชิงเป็นไข้ และฉีเฟยอวิ๋นก็อยู่เป็นเพื่อนนางทั้งคืน เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า ฉีเฟยอวิ๋นก็อยู่บนเตียง
หนานกงเย่กลับมาจากข้างนอก และเมื่อกลับเข้ามาในกระโจมก็ไม่เห็นฉีเฟยอวิ๋น จึงหันหลังกลับออกมา
เมื่อมาถึงด้านนอกกระโจมของหวาชิงก็ถามว่า:“คนไปไหน?”
“อยู่ข้างใน”
หนานกงเย่ถาม:“เสี่ยวฮวน”
ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยและหลับไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่หวาชิงตื่นแล้ว นางลืมตาขึ้นและเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่ข้าง ๆ นางถูกคลุมด้วยผ้าห่ม และทั้งสองก็แนบชิดติดกัน
หวาชิงมองดูใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดถี่ถ้วน และในหัวของนางก็นึกถึงภาพที่พวกเขาทั้งสองคนมีอะไรกันเมื่อคืน หวาชิงหน้าแดง และเธอพบว่าใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นมีเสน่ห์มาก โดยเฉพาะขนตาที่ยาวหนาและริมฝีปากชุ่มชื้น
หัวใจของหวาชิงเต้นตึกตัก ๆ ไม่รู้ว่านางเป็นอะไรไป นางอยากสัมผัสริมฝีปากของอันเสี่ยวฮวนมาก นางจึงยกมือขึ้นและกำลังจะสัมผัสริมฝีปากของอันเสี่ยวฮวน แต่ยังไม่ทันได้สัมผัส ก็มีเสียงตะโกนอย่างโกรธเคืองดังขึ้นที่หน้ากระโจม:“หวาชิง!”
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นในทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นและจะลงไปนั่งที่พื้น แต่ก็ล้มลงไปเสียก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นรีบลุกขึ้น และหวาชิงก็ลุกขึ้นเช่นกัน นางก้มมหน้าลง และเหลือบไปเห็นว่าคอเสื้อของฉีเฟยอวิ๋นฉีกขาด ผิวใต้ลำคอนั้นสะอาดเกลี้ยงเกลา สายตาของหวาชิงมองตรง ไป ใบหน้าของนางแดงก่ำและหายใจไม่ทั่วท้อง
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันได้ตอบสนอง นางก็ถูกหนานกงเย่ดึงขึ้นมา และใช้สายตาที่แหลมคยมองดูอย่างละอียดถี่ถ้วน จากนั้นก็มองไปที่ใบหน้าของหวาชิง
หวาชิงรีบก้มหน้าลง ในขณะนี้นางรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจ
แต่นางเติบโตมาในค่ายทหารตั้งแต่เด็ก หวาชิงเป็นคนที่ยิ่งสู้รบก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น ในเวลานี้นางไม่กลัวหนานกงเย่ แต่กลับรู้สึกไม่ยอมแพ้
“ท่านอ๋อง พระองค์บุกเข้าไปในกระโจมของข้าโดยไม่บอกกล่าว ไม่ค่อยดีนัก?”
ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าลงและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย:“ท่านอ๋องมาตามข้าแล้ว ท่านแม่ทัพน้อย พวกเราขอตัวก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก และรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก นางจึงดึงหนานกงเย่และต้องการจะออกไป แต่สายตาของหนานกงเย่เย็นชา:“ครั้งหน้าข้าจะระวัง”
หนานกงเย่ดึงฉีเฟยอวิ๋นแล้วหันกลับไป
ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงออกไป หวาชิงจึงสวมชุดคลุมแล้วตามเขาออกไป ตลอดทางจนกระทั่งไปถึงด้านนอกกระโจมของหนานกงเย่ ก็ได้ยินหนานกงเย่เอะอะโวยวายใส่ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ข้างใน และฉีเฟยอวิ๋นปริปากอยู่นาน
หนานกงเย่ถามซ้ำ ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“ข้าเพียงแค่ดูแลนาง นางเป็นไข้ ข้าจึงเช็ดตัวให้นาง และไม่มีอะไร”
หวาชิงจิตใจฟุ้งซ่าน นางหน้าแดงและหายใจไม่ทั่วท้อง
หนานกงเย่กล่าวอย่างโกรธเคือง:“ทำไมเจ้าถึงไม่ระมัดระวังเลยสักนิด ข้าทนมองไม่ได้ เจ้าอยากจะให้ข้าโมโหหรือ”
“ข้าเปล่า” ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา นางเพียงแค่ดูแลผู้ป่วยเท่านั้น
“หุบปากเดี๋ยวนี้!”
หนานกงเย่โกรธ
ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายผิด นางจึงหุบปาก
หนานกงเย่เดินไปนั่งลง เขาเหนื่อยจากข้างนอกมาทั้งคืน แววตาของเขาดูไร้เรี่ยวแรง ยังเทียบไม่ได้กับการที่หวาชิงชอบเขา
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปข้าง ๆ หนานกงเย่:“ข้าไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ”
“ข้าไม่อยากฟัง”
ปากบอกว่าไม่อยากฟัง แต่มือกลับดึงฉีเฟยอวิ๋นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน และหันกลับไปกอดนางไว้บนเตียง
ฉีเฟยอวิ๋นจึงทำได้เพียงนอนลง
สีหน้าของหวาชิงที่อยู่นอกกระโจมดูไม่พอใจ และหันหลังจากไป
เมื่ออู๋กั่วเห็นว่าหวาชิงเดินจากไป นางก็รู้สึกแปลกใจ
ดูเหมือนว่าหวาชิงจะอิจฉาริษยาอันเสี่ยวฮวนมาก!
หลังจากพักผ่อนแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น หนานกงเย่มีธุระต้องไปตรวจตรารอบเมือง คราวนี้มีผู้คนค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงพาฉีเฟยอวิ๋นไปด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นสะพายกล่องยาไปทุกที่ที่นางไป เพื่อเตรียมพร้อมไว้
เมืองถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้คนในเมืองยังคงหวาดกลัว เมื่อเห็นหนานกงเย่และคนอื่น ๆ ต่างก็หลบซ่อน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหลังไป และหวาชิงก็ชำเลืองมองนางเป็นระยะ ๆ ปกติแล้วนางมักจะพูดคุยกับหนานกงเย่บ่อย ๆ แต่วันนี้กลับดูเฉยเมย
แม่ทัพหวาจึงวางใจ เป็นเช่นนี้ดีที่สุด
หวาชิงลูบคอและกล่าวว่า:“หมออัน ข้าอยากจะตรวจดูคอหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น:“ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะหาสถานที่เพื่อตรวจอาการให้ท่านปม่ทัพน้อย”
หนานกงเย่กล่าวว่า:“แม่ทัพน้อยอวิ๋น เจ้าจัดหาทหารเสนารักษ์มาให้แม่ทัพน้อยหวาหน่อย ข้ามีธุระ และอีกเดี๋ยวจะพาหมออันไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนล้วนแต่ทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อู๋กั๋วเดินไปข้าง ๆ ฉีเฟยอวิ๋น วันนี้อากาศดี นางอยากพูดคุยกับฉีเฟยอวิ๋น แต่ยังไม่มีโอกาส
หวาชิงหยุดและถามอย่างไม่พอใจว่า:“ท่านอ๋องเย่ หรือว่าข้าแค่ต้องการหาหมอก็ต้องให้พระองค์มาคอยจัดการ?เมื่อวานก็เป็นหมออันที่ตรวจดูอาการให้ข้า วันนี้ข้าต้องการหาหมออันมีปัญหาอะไรหรือไม่?”
“ปัญหา?” หนานกงเย่หรี่ตาลง:“ข้าไม่อนุญาต!”
“ท่านอ๋องจงใจจะหาเรื่อง หมออันเป็นทหารเสนารักษ์ ข้าฉันต้องการให้เขาตรวจดูอาการให้ข้า เขาเป็นคนตรวจ ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องมาตัดสินใจแทน”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้น?
“แม่ทัพน้อยหวา อีกเดี๋ยวข้าจะตรวจให้ท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว และหนานกงเย่หันไปมองอย่างโกรธเคือง
ระงับความตื่นตระหนก!
หนานกงเย่ยกมือขึ้นมากดหน้าอก และฉีเฟยอวิ๋นก็เดินไปหาในทันที:“พระองค์ทรงเป็นอะไรไป?”
“เมื่อคืนข้าได้รับบาดเจ็บ” เมื่อหนานกงเย่เห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นห่วง เขาก็พูดจาซี้ซั้ว
ฉีเฟยอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนและกล่าวในทันทีว่า:“เช่นนั้นข้าจะช่วยพยุงพระองค์”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ให้หนานกงเย่กินยาหนึ่งเม็ด และจับข้อมือเพื่อใช้สมาธิตรวจดู
หนานกงเย่ใช้กำลังภายใน ฉีเฟยอวิ๋นจึงตรวจพบความผิดปกติบางอย่าง
“เจ้าระวังหน่อย!”
หวาชิงมองไปที่หนานกงเย่ด้วยสีหน้าที่เย็นชา และคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก
“ไปกันเถอะ”
หนานกงเย่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เขาเพียงแค่อยากรั้งฉีเฟยอวิ๋นไว้
คนอื่น ๆ ยังคงลาดตระเวนต่อ เมื่อเดินไปถึงข้างหน้าเด็ก ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็ปล่อยหนานกงเย่ และเข้าไปดูเด็กเหล่านั้น เด็กเหล่านั้นรวมตัวกัน อากาศหนาวเย็น เด็ก ๆ สามเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและสกปรกจนดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา
เป็นขอทานและเด็กกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไปในสงคราม
คนรอบข้างก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ และไม่มีใครสนใจเด็กเหล่านี้
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งยอง ๆ และถามว่า:“พวกเจ้ากินข้าวแล้วหรือไม่?พ่อแม่ของพวกเจ้าล่ะ?”
เด็ก ๆ ต่างพากันหวาดกลัวและถอยไปรวมกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองคนที่อยู่ข้างหลัง:“ไปหาของกินมา”
ไม่นานก็นำขนมเปี๊ยะมาให้ ฉีเฟยอวิ๋นให้ขนมเปี๊ยะแก่เด็ก ๆ คนละอัน ในตอนแรกไม่มีใครกล้ากิน ต่อมาเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งก็มาคว้าไปหนึ่งอัน เด็กอายุห้าขวบ ช่วงแขนและขาเปลือยเปล่า อากาศที่หนาวเย็นทำให้ผิวหนังกลสยเป็นสีม่วง ผมพันกันยุ่งเหยิง และใบหน้าสกปรกมากจนมองไม่เห็นรูปลักษณ์หน้าตา
ฉีเฟยอวิ๋นวางขนมเปี๊ยะที่เหลืองไว้ข้างหน้าเด็ก ๆ และลุกขึ้นไปนั่งตรงหน้าเด็กหญิงตัวเล็ก นางเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวขอบคุณ
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม:“ไม่เป็นไร เจ้าเป็นคนที่นี่หรือ?”
เด็กหญิงตัวเล็กส่ายหัว:“พ่อแม่ของข้าหนีไปแล้ว และไม่รู้ว่าไปที่ไหน ตอนที่ข้าเดินไปกับพวกเขา เราก็พลัดหลงกัน”
เด็กหญิงตัวเล็กบอกกับฉีเฟยอวิ๋นอย่างเป็นระเบียบ ฉีเฟยอวิ๋นเอาน้ำออกมา เดิมทีต้องการจะล้างบาดแผลให้นาง ฉีเฟยอวิ๋นใส่น้ำอุ่นลงในกระติกน้ำร้อนมาเป็นพิเศษ
ฉีเฟยอวิ๋นเปิดแล้วเทออก จากนั้นก็เป่าให้เด็กหญิงตัวเล็ก:“เจ้าดื่มน้ำหน่อย ไม่ต้องกังวล หากเจ้ายินยอม ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ และรอให้พ่อแม่ของเจ้ามาหาเจ้า”
เด็กหญิงตัวเล็กมองฉีเฟยอวิ๋น นางไม่ได้ตอบตกลงและก้มหน้ากินต่อ
มีเด็กคนอื่น ๆ อีกสิบกว่าคน ในขณะนี้พวกเขาเริ่มกินขนมขนมเปี๊ยะแล้ว แต่พวกเขายังคงซ่อนตัวอยู่ด้วยกันและไม่กล้าเข้าใกล้