องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 658 ท่านอ๋องกลับมาแล้ว
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 656 ท่านอ๋องกลับมาแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นไปพบพระพันปีก่อน และบอกกับพระพันปีว่าอยากไปพบมู่เหมียน
“ข้าก็ไม่ได้พบนางมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่บรรดาหมอหลวงตรวจร่างกายของนางและนางไม่ได้เป็นอะไร อีกทั้งยังไม่มีบุตร นางก็ไม่มาคารวะข้าอีกเลย เด็กคนนี้มีนิสัยฉุนเฉียวเล็กน้อย นางไม่ยอมพบเจอใคร คงเพราะกลัว
หากเจ้าต้องการพบนาง ข้าก็จะเรียกให้นางมา แต่ข้าไม่สามารถควบคุมนิสัยของนางได้
ให้นางเข้าไปในวังเพื่อปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาท นางมีความแค้นอยู่ในใจ ข้ารู้ดีว่านางก่อเรื่องวุ่นวายมาห้าหกเดือนแล้ว และมันก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์
ข้าเข้าใจอารมณ์ของนางดีที่สุด หากนางไม่มีความสุข นางก็อาจตายได้”
“เสด็จแม่ หม่อมฉันจะไปดูเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นต้องการพบมู่เหมียน
พระพันปีเลิกคิ้วและมองไป:“เช่นนั้นเจ้าจะพูดอย่างไร?”
“หลงทางแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
พระพันปีพยักหน้า:“ไปเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากตำหนักเฉาเฟิ่ง และไปที่ตำหนักหรงเต๋อ มีขันทีและนางกำนัลอยู่ที่หน้าประตูด้านนอก เมื่อฉีเฟยอวิ๋นมาถึง ขันทีและนางกำนัลก็เดินมาข้างหน้าและคุกเข่าลงเพื่อคารวะ
“คารวะพระชายาเย่”
“ลุกขึ้นเถิด หรงเต๋อเฟยอยู่หรือไม่?”
“อยู่พ่ะย่ะค่ะ ทรงกำลังเฝ้าดูต้นไม้อยู่” ขันทีน้อยรีบตอบ
“เฝ้าดูต้นไม้?” ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นมีต้นไม้อยู่ที่นี่เลย
“เมื่อวันก่อน ตอนที่พระนางทรงประทับอยู่ในสวน ทรงทอดพระเนตรเห็นรากไม้เก่าแก่ จึงให้พวกบ่าวไปนำมันกลับมาปลูก ทรงเฝ้าดูมาสองวันแล้ว และรอให้ต้นไม้เจริญงอกงาม”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจ เฝ้าดูต้นไม้เจริญงอกงาม?
“ข้าจะเข้าไปดูหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นลืมกฎระเบียบและเดินเข้าไปหามู่เหมียน
เมื่อมาถึงด้านในห้อง มู่เหมียนก็กำลังเฝ้าดูกิ่งไม้ที่ตายแล้วบนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ฉีเฟยอวิ๋นมองดูมู่เหมียนอยู่ที่หน้าประตู
ไม่ได้พบมู่เหมียนมาสองเดือนแล้ว มู่เหมียนซีดเซียวลงมาก ร่างกายของนางผ่ายผอม นางจ้องมองต้นไม้ที่ตายแล้ว และไม่รู้จะพูดอะไร ฉีเฟยอวิ๋นเห็นริมฝีปากของนางเปิดปิดแต่กลับไม่มีเสียง
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปและยืนตรงข้ามกับมู่เหมียน มู่เหมียนค่อย ๆ มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น และเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นน้ำตาของนางก็ไหลลงมา
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปใกล้และกอดมู่เหมียนไว้ในอ้อมแขน
มู่เหมียนหลับตาลง:“ข้าเหนื่อย!”
“เช่นนั้นเจ้าก็นอนพักสักหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นตบมู่เหมียนเบา ๆ แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าความหยิ่งยโสของนาง และไม่อยากที่จะยอมรับความจริง นางไม่ได้ยินการหัวเราะเยาะของผู้อื่น เช่นเดียวกับต้นไม้ต้นนี้ และไม่มีใครสนใจต้นไม้ที่เหี่ยวแห้ง
มู่เหมียนนอนหลับไปหนึ่งชั่วยาม และฉีเฟยอวิ๋นก็ยืนอยู่หนึ่งชั่วยามจนปวดเมื่อยขา
ขันทีน้อยยืนเช็ดน้ำตาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเศร้าใจ
มู่เหมียนหลับไม่ตื่น และฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถอยู่ได้ทั้งวัน
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบเข็มเงินมาปักที่จุดแก้อาการนอนหลับใหลของมู่เหมียน และให้พามู่เหมียนไปวางไว้บนเตียง จากนั้นนางก็จับข้อมือของมู่เหมียน และตรวจดูร่างกายของมู่เหมียน
แต่ร่างกายของมู่เหมียนไม่ได้มีปัญหาอะไร
เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ตรงไหน?
ฉีเฟยอวิ๋นเอาเข็มออก แล้วมู่เหมียนก็ฟื้นขึ้นมา
มู่เหมียนไม่ยอมพูดอะไร นางเพียงแค่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นด้วยความงุนงง
“ข้าต้องกลับแล้ว อีกสองวันข้าจะมาหาเจ้าอีก นี่คือยาที่ข้าเอาไว้ให้เจ้า เจ้าอย่าลืมกินหนึ่งเม็ดทุกคืน ต้องดูแลสุขภาพให้ดี การมีบุตรไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากเจ้าเชื่อข้า อีกไม่นานก็จะมี”
แววตาของมู่เหมียนไม่มีความตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสงบนิ่งมากยิ่งขึ้น
“ตอนนี้ข้าเป็นเช่นนี้ คงไม่ง่ายที่จะตั้งครรภ์ ใช่หรือไม่?” มู่เหมียนเป็นคนที่เข้าใจง่าย และนางก็เห็นอย่างชัดเจน
ฉีเฟยอวิ๋นทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่:“มู่เหมียน ความสามารถของข้ามีเพียงการตรวจรักษาโรคเท่านั้น และไม่สามารถทำอะไรได้อีก แต่มีคนที่สามารถทำได้”
“เจ้าต้องการรอท่านอ๋องเย่?”
“อืม”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ ระวังตัวด้วย!”
“ได้!” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและกชับว่าคนในตำหนักหรงเต๋อให้ดูแลมู่เหมียนเป็นอย่างดี และหยิบตั๋วเงินออกมา ตั๋วเงินแต่ละใบเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง มอบให้ขันทีน้อยที่อยู่ใกล้ชิด
“เจ้าเอาไปแบ่งให้ทุกคนด้วย ส่วนที่เหลือยกให้เจ้า จำไว้ว่าหรงเต๋อเฟยต้องไม่เป็นไร และพวกเจ้าก็จะไม่เป็นไร แต่หากหรงเต๋อเฟยเป็นอะไรไป พวกเจ้าคงจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก
ข้าไม่ได้ข่มขู่ แต่เป็นการขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งนางจะกลายเป็นคนเช่นเดียวกับหนานกงเย่ สังหารอย่างเด็ดเดี่ยวและควบคุมทุกอย่างไว้ในมือ
แต่หากไม่เคยพบเจอก็จะไม่เข้าใจ ทุกการสังหารอย่างเด็ดเดี่ยว ต่างเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
เมื่อเห็นว่ามู่เหมียนทุกข์ใจ ฉีเฟยอวิ๋นก็ร้อนใจดังไฟเผา และไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
หลังจากที่ออกจากตำหนักหรงเต๋อแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปที่ตำหนักเฉาเฟิ่งก่อน หลังจากที่รู้สถานการณ์แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกจากวัง
จักรพรรดิอวี้ตี้เฝ้ามองฉีเฟยอวิ๋นจากไปอยู่บนแท่นชมจันทร์และหันหลังจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่จวนอ๋องเย่และรีบไปดูเด็ก ๆ หลังจากที่เข้าไปแล้วก็เห็นคนสองสามยังคงนั่งอยู่บนพื้น เจ้าเสือน้อยก็นอนอยู่ที่นั่นด้วย ราวกับว่ามันรู้จักกฎระเบียบ
แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นอวิ๋นจิ่นและท่านพ่อของนาง นางเปลี่ยนรองเท้าและถอดเสื้อคลุมออก ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูเด็ก ๆ ในขณะที่กำลังเดินก็รู้สึกว่ามีคนดินตามหลังมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่าน
นางจึงหันกลับไป หนานกงเย่ใช้สองมือกอดนางไว้ และจูบปากของนางอย่างเสน่หา นางต้องการจะดิ้นรน แต่ก็ยอมแพ้ในทันที
หัวใจของฉีเฟยอวิ๋นเต้นแรง และเอามือทั้งสองข้างโอบด้านหลังศีรษะของหนานกงเย่ไว้ จากนั้นก็ออกแรงกดจนคอของหนานกงเย่แทบหัก
แต่เขาก็มีความสุขมาก และหัวเราะเหมือนตัวร้าย
ฉีเฟยอวิ๋นจูบหนานกงเย่อย่างบ้าคลั่ง และหนานกงเย่ก็ไม่สามารถต้านทานได้
“อืม……”
หนานกงเย่ทำเสียงต่อต้านและผลักฉีเฟยอวิ๋นออก
“ข้า……”
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นน้ำตาซึม หนานกงเย่ก็กอดนางไว้ในอ้อมแขน จนกระทั่งแขนของฉีเฟยอวิ๋นที่โอบรอบเอวของเขาคลายออก
ทั้งสองก็ปล่อย หนานกงเย่เช็ดน้ำตาให้ฉีเฟยอวิ๋น:“ข้าสบายดี เจ้าร้องไห้ทำไม?”
“หม่อมฉันไม่ได้ร้องไห้เสียหน่อย” น้ำตาของฉีเฟยอวิ๋นถูกหนานกงเย่เช็ดจนแห้ง แล้วนางก็ไม่ยอมรับ
หนานกงเย่จึงไม่ได้เปิดโปงนาง และยื่นมือออกไปจับมือของนาง จากนั้นก็เดินไปดูบุตรชาย:“อืม เจ้าไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ร้องไห้ก็ดีแล้ว”
หนานกงเย่เดินไปนั่งลงบนพื้น โดยไม่มีอะไรมารอง
เขาสวมชุดสีขาวราวหิมะ และเสื้อคลุมของเขาก็ถูกแขวนไว้ที่ประตู
เด็ก ๆ ล้วนอยู่ที่นี่ อามู่และเสี่ยวเฉียวก็อยู่ข้างในด้วย เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นเด็กทั้งสองคน ใบหน้าของนางก็ลุกเป็นไฟ
นางเงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงเย่อย่างดุร้าย:“ล้วยแต่เป็นพระองค์ที่กระทำเรื่องดีงาม”
หนานกงเย่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ:“ทำไมถึงเป็นข้าที่กระทำเรื่องดีงาม ข้าเพียงต้องการให้อวิ๋นอวิ๋นแปลกใจ ดังนั้นจึงกอดอวิ๋นอวิ๋นจากด้านหลัง ใครจะรู้ว่าอวิ๋นอวิ๋น……อะแฮม……”
หนานกงเย่กำหมัดขึ้นมาและไอ จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็กำหมัด:“หนานกงเย่ ท่านอยากตายหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นโกรธมาก และแทบจะแทรกแผ่นดินหนี เขาช่างเป็นคนที่มีความประพฤติไม่เที่ยงธรรมเสียจริง
หนานกงเย่เงยหน้าขึ้น และจับมือฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็นอนลงและหัวเราะ
เด็ก ๆ มองไปที่พวกเขาแล้วทำตาปริบ ๆ และยังไม่เข้าใจเรื่องราว
มีเพียงอามู่เท่านั้นที่ก้มหน้าลงและหน้าแดง
ฉีเฟยอวิ๋นดิ้นออกจากอ้อมแขนของหนานกงเย่ และมองหนานกงเย่อย่างเย็นชา นางต่อว่าเขาเป็นชุด จากนั้นก็รู้สึกสบายใจ
“อวิ๋นจิ่นกับท่านพ่อของหม่อมฉันล่ะเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถามหนานกงเย่
“ข้ากลับมาแล้ว และอยากอยู่กับลูก ๆ สักพัก พวกเขาจึงกลับไป แต่อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับอวิ๋นอวิ๋น ตามข้ามา”
หนานกงเย่ลุกขึ้นและรีบร้อนกลับไปที่สวนดอกกล้วยไม้ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเขินอาย คงจะพูดเรื่องบนเตียง?