องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 662 หวาชิงอยากแต่งงาน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 660 หวาชิงอยากแต่งงาน
“พระชายา ท่านดูสิ!”
หงเถาชี้ไปทางหนานกงเย่และหวาชิง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแวบหนึ่ง แต่นางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใด
ลี่ว์หลิ่วกล่าวถามว่า : “พระชายา ได้ยินว่าหวาชิงกลับเข้าเมืองไม่บ่อยนัก ในอดีตเคยรบชนะมาหลายครั้งหลายครา แต่ก็ไม่เคยกลับเข้าเมืองหลวง ได้ยินคนพูดกันว่าพี่น้องของนางมีความกล้าหาญ แต่ก็ฉลาดไม่ทันนาง นางใช้กำลังทหารเหมือนพระเจ้า เกินหน้าเกินตาพี่ชายอีกด้วย
ฝ่าบาทตั้งใจประทานรางวัลให้หลายครั้ง แต่นางล้วนปฏิเสธ
กลับมาครานี้ ยังต้องตามท่านอ๋อง เพราะไม่วางใจ”
“แต่พวกเขามีความสามารถทั้งคู่ หญิงก็งดงาม ชายก็หล่อเหลา เจ้าไม่คิดว่าเหมาะสมบ้างหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้จะไร้ความกังวลใด ๆ แต่กลับกลัดกลุ้มใจอย่างมาก
หากหวาชิงชมชอบอันเสี่ยวฮวน จะทำอย่างไรดี?
“พระชายา เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนี้? หากท่านอ๋องแต่งพระชายารองเข้ามา จวนของเรายังจะสงบหรือไม่ละเจ้าคะ? ยิ่งไปกว่านั้นหวาชิงก็เชี่ยวชาญไปเสียทุกด้าน นางยังเป็นแม่ทัพน้อยอวิ๋นอีกด้วยนะเจ้าคะ?” หงเถาเริ่มเป็นกังวล
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวเดินไปนั่ง และเรียกเถ้าแก่ยกขนมอาหารเข้ามาพลางจิบชา
เรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ ขอเพียงว่าในครานี้อย่าจับอันเสี่ยวฮวนได้ก็พอ
นับแต่นี้ไป นางจะพยายามปิดประตูไม่พบหน้าผู้ใดทั้งนั้น
แม้ว่าบนถนนใหญ่จะเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่หวาชิงกลับร้อนใจไม่น้อย หรือว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ อันเสี่ยวฮวนออกจากเมืองหลวงไปแล้ว?
เหตุใดถึงไม่เห็นเขาออกมาชื่นชมความคึกคักด้านนอกเลย หรือว่านิสัยเขาค่อนข้างนิ่งเงียบ ไม่ชอบความวุ่นวาย
แม้ว่าจะไม่ชอบความวุ่นวาย แต่เรื่องน่าปีติยินดีที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาไม่มีทางไม่รู้
“ท่านอ๋อง เหตุใดถึงไม่เห็นอันเสี่ยวฮวนเลยละเพคะ?” หวาชิงอดถามขึ้นไม่ได้ มาหากี่รอบก็ไม่เจอสักรอบ
หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “เรื่องของอันเสี่ยวฮวนข้าเองก็ไม่รู้หรอก เรื่องนี้ต้องไปถามพระชายาถึงจะถูก”
“อย่างนั้นหรือ?” เมื่อนึกถึงพระชายา หวาชิงก็คิดจะไปเยี่ยมเยือนทันที นางเคยล่วงเกินพระชายาอย่างเย่อหยิ่งมาแล้ว ทั้งยังกล่าวถึงเรื่องอภิเษกสมรสกับท่านอ๋อง อยากจะอธิบายให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“ใช่!” หนานกงเย่ควบม้า ด้วยท่าทางนิ่งเฉย
ต่อให้เขากลับมา หญิงผู้นั้นก็ไม่ออกมาดูหรอก เห็นได้ชัดว่าไร้มโนธรรมสำนึกสิ้นดี
ท่านอ๋องตวนเองปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น วันนี้อวิ๋นหลัวฉวนเตรียมตัวออกนอกวังตั้งแต่เช้า ท่านอ๋องตวนไม่วางใจเป็นธรรมดา จึงยกเรื่องที่ต้องส่งพระราชสาสน์เข้าวงมาอ้าง สุขภาพร่างกายไม่ดีไม่สามารถขี่ม้าออกไปต้อนรับกองทัพที่คว้าชัยชนะกลับมาได้
จักรพรรดิอวี้ตี้เศร้าโศกเสียใจ เขาไม่เคยเจอคนเช่นนี้มาก่อน เพื่อพระชายาอะไร ๆ ก็ล้วนทำได้ทั้งสิ้น เรื่องต้อนรับกองทัพก็มักจะบ่ายเบี่ยงตลอด
จักรพรรดิอวี้ตี้ทำได้แค่ต้องพาขุนพลและขุนนางออกมาต้อนรับหน้าประตูเมือง
อวิ๋นหลัวฉวนเห็นหวาชิงก็อดชื่นชมไม่ได้ว่า :” ช่างเป็นทหารที่งดงามมาก”
“นางเป็นผู้หญิง” ท่านอ๋องตวนเอ่ยเตือนอย่างอิจฉา อวิ๋นหลัวฉวนทำได้แค่มองไปทางเขา ไม่กล่าวสิ่งใดอีก
นางไม่ได้มาหาท่านอ๋องตวน แต่มาหาหวาชิงต่างหาก
“ท่านอ๋อง พวกท่านเป็นพี่น้องกัน หลังจากที่เข้าวังเมื่อหลายวันก่อนหม่อมฉันก็เคยได้ยินเสด็จแม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เดิมทีเสด็จแม่อยากให้หวาชิงเป็นพระชายาของท่าน แต่หวาชิงไม่ยอม” อวิ๋นหลัวฉวนตั้งใจเอ่ยเรื่องนี้ เพื่อเตือนใจท่านอ๋องตวน เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ผู้อื่นไม่ชอบเช่นกัน
ท่านอ๋องตวนไม่เข้าใจ เขาเองก็ไม่สนใจ เขาโดนผู้อื่นรังเกียจไม่ใช่ครั้งสองครั้ง หรือนางจะชอบเขาแล้ว
ท่านอ๋องตวนไม่กล่าวสิ่งใด อวิ๋นหลัวฉวนไม่ได้สนใจ จึงไม่กล่าวสิ่งใดอีก
กองทัพทหารเดินมาถึงหน้าประตูวัง หนานกงเย่กระโดดลงจากรถม้า นำพาท่านแม่ทัพหวาและกองทัพรุดหน้าเข้ามาคุกเข่า : “น้อมทักทายฝ่าบาท”
จักรพรรดิอวี้ตี้โน้มตัวลงมาประคองหนานกงเย่ จากนั้นก็เข้าไปประคองท่านแม่ทัพเหล่านั้น
หลังจากทักทายกันพอสมควรแล้ว ก็พากันเข้าวัง
แม้ว่าหนานกงเย่จะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ แต่คนที่เป็นผู้นำไม่ใช่เขา ต่อให้จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่สงสัยก็ไม่สามารถประจบสอพลอไต่ขึ้นสูงได้
กลับเป็นแม่ทัพหวาและท่านอ๋องหย่งจวิ้น ที่ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิอวี้ตี้มาโดยตลอด
ท่านอ๋องหย่งจวิ้นคอยตามหลังแม่ทัพฮวาเสมอ ส่วนแม่ทัพฮวาแล้ว เขามีเรื่องจะทูลร้องขอต่อฝ่าบาท เวลานี้ไม่ใช่เวลามาปัดความรับผิดชอบ
เมื่อมาถึงตำหนักเซวียนเหอ จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เริ่มให้บำเหน็จตามความชอบทันที และไม่ลืมที่แม่ทัพหวาเอ่ยถึงหวาชิงที่ไม่ใช่เด็ก ๆ เมื่อครู่ด้วย
จักรพรรดิอวี้ตี้อยากจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าจะนำภัยพิบัติมาสู่เขา
เมื่อเอ่ยเรื่องการแต่งงานของหวาชิง จักรพรรดิอวี้ตี้จึงได้กล่าวถามว่า : “ข้าไม่มีวันจำผิดเรื่องที่แม่ทัพหวาปรารถนาเด็ดขาด ปีนี้ก็อายุครบสิบหกปีแล้วใช่หรือไม่?”
“กราบทูลฝ่าบาท ปีที่แล้วสิบหกปี บัดนี้ก็สิบเจ็ดปีแล้วเพคะ” หวาชิงใจกว้างกับเรื่องนี้มาก ไม่รู้สึกละอายใจสักนิด
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า : “จริง ๆ แล้ว ข้าว่าก็ถึงเวลาที่ต้องหาคู่แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าแม่ทัพหวามีผู้ใดในดวงใจแล้วหรือไม่ ข้าจะได้จัดงานอภิเษกสมรสแก่แม่ทัพน้อย?”
ความหมายของจักรพรรดิอวี้ตี้ชัดเจนมาก ขอแค่หวาชิงเอ่ยปาก ก็จะพระราชทานอภิเษกสมรสทันที ไม่ว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ใด
จักรพรรดิอวี้ตี้เคยได้ยินว่าหวาชิงมีใจให้แก่ท่านอ๋องเย่
กองสอดแนมก็กล่าวเช่นนี้ ชิงหวาอยากเป็นพระชายารองของท่านอ๋องเย่ ถึงขนาดเคยเอ่ยปากกับฉีเฟยอวิ๋นตรง ๆ
เมื่อครั้งอยู่ในกองทัพทั้งสองคนแทบจะเหมือนเงาตามตัวกันอยู่แล้ว
หวาชิงยกมือขึ้นมาแสดงความเคารพ : “กราบทูลฝ่าบาท มีคนในดวงใจแล้วเพคะ หวาชิงเคยเจอกับคนผู้นี้มาก่อน และเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้ว
ครานี้หวาชิงจึงปรารถนาจะสนับสนุนเรื่องนี้ ได้โปรดฝ่าบาททรงพระราชทานอภิเษกสมรสด้วยเพคะ”
เมื่อแม่ทัพหวากล่าวเช่นนี้ออกไป จักรพรรดิอวี้ตี้ก็นึกถึงหนานกงเย่ขึ้นมาทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ขอเชิญแม่ทัพหวานี้เล่าเรื่องของคนผู้นี้หน่อย ข้าเองก็อยากจัดงานแต่งให้พวกเจ้า!”
“ทูลรายงานฝ่าบาท คนผู้นี้แซ่อัน เป็นลูกบุญธรรมของท่านแม่ทัพฉี นามว่าอันเสี่ยวฮวน!”
จักรพรรดิอวี้รวมทั้งเหล่าทหารในราชสำนักพากันฮือฮา ทยอยกันมองไปทางท่านแม่ทัพฉี
ท่านแม่ทัพฉีเพิ่งจะปรากฏตัวออกมา จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ด้าน : “ทูลรายงานฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบว่าแม่ทัพหวากำลังกล่าวสิ่งใด กระหม่อมมีบุตรสาวเพียงผู้เดียว ไม่มีบุตรบุญธรรม”
เหล่าทหารในราชสำนักพากันฮือฮาอีกครั้ง จักรพรรดิอวี้ตี้เองก็สับสนไม่น้อย
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางแม่ทัพหวา และมองไปทางท่านแม่ทัพฉีอีกครั้ง
หวาชิงจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ : “ท่านแม่ทัพฉี ท่านลืมไปแล้วใช่หรือไม่?”
ท่านแม่ทัพฉีมองไปทางหวาชิง : “แม่ทัพน้อย ข้าไม่ได้ขี้หลงขี้ลืมเช่นนั้น”
“แต่….”
หวาชิงร้อนใจ
ดูไม่ออกว่าอันเสี่ยวฮวนเองก็ร้อนใจมากเช่นกัน ตอนนี้ดันมาเจอกับเรื่องนี้อีก
ท่านแม่ทัพฉีไม่ยอมรับ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
“เอ่อ…..ท่านแม่ทัพฉี ท่านก็เป็นสหายที่ทำงานด้วยกันมาตั้งหลายปี แต่เรื่องนี้คงเอามาหยอกล้อกันไม่ได้” แม่ทัพหวาเองก็แปลกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนเคยเจออันเสี่ยวฮวนมาก่อน ยอมรับกันไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?
ราชครูจวินกล่าวว่า : “อาจารย์รู้จักกับท่านแม่ทัพฉีมาก็ไม่ใช่แค่วันสองวัน ท่านแม่ทัพฉีผู้ซึ่งให้ความสำคัญต่อบุตรสาวดั่งชีวิตก็เคยได้ยินมาบ้าง และพยายามเข้าใจอย่างดี แต่จะมาบอกว่าเขามีบุตรบุญธรรมอีกหนึ่งคน ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ช่วงนี้ก็อยู่แต่ในจวนอ๋องเย่ เพื่อเฝ้าดูอาการป่วยของฮูหยิน ท่านแม่ทัพฉีก็เฝ้าดูหลานเหล่านั้นโดยตลอด
ก็ไม่เคยเห็นผู้ใดไปเยี่ยมเยือนเขา”
จักรพรรดิอวี้ตี้เองก็กล่าวว่า : “โดยแท้จริงแล้ว ข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่าท่านแม่ทัพฉีมีบุตรบุญธรรมด้วยหนึ่งคน”
หวาชิงไม่เชื่อ : “เป็นไปไม่ได้”
อู๋กั่วทอดถอนใจ นางรู้ดีว่าผู้หญิงอยากจะแต่งงานจนเนื้อตัวสั่นเพียงใด โชคดีที่นางแต่งงานไปแล้ว ทั้งยังได้แต่งงานกับท่านอ๋องดั่งสมปรารถนา
แต่หวาชิงในตอนนี้ ต้องลำบากใจอย่างมาก
คนก็หาไม่เจอ
อู๋กั่วก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้ามอง
อวิ๋นเซวียนอี้คิดว่าอู๋กั่วหวาดกลัว จึงจับมือของอู๋กั่วอย่างเงียบ ๆ อู๋กั่วมองไปทางอวิ๋นเซวียนอี้อย่างระมัดระวัง หัวใจเต้นแรงรัว จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างงดงามออกมา
หวาชิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก : “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้โกหก หากไม่เชื่อถามท่านอ๋องเย่และท่านอ๋องหย่งจวิ้นดูสิ แม่ทัพน้อยอวิ๋น…มีอันเสี่ยวฮวนแล้วจริง ๆ อีกอย่างเขามักอยู่ข้างกายของท่านอ๋องเย่ ออกจากกระโจมของท่านอ๋องเย่ เข้าไปเป็นแพทย์ทหารในกองทัพ ต่อมาในช่วงที่พวกเราบุกโจมตีเมืองอู๋โยวนั้น นางเป็นผู้นำทัพกองกำลังทหารฝ่ายหลังมาสมทบ ไม่มีนาง เราก็คงไม่ชนะสงครามในครานี้อย่างง่ายดาย”
เวลานี้จักรพรรดิอวี้ตี้เริ่มสงสัยแล้ว ราชครูจวินก็รู้เรื่องนี้ แม้แต่กั๋วกงอาวุโสอวิ๋นก็รู้ดี
ท่านอ๋องเย่ออกศึก พระชายาเย่จึงเดินทางไปพร้อมกัน สิบวันก่อนหน้า พระชายาเย่เพิ่งจะกลับมา จวินโม่ซ่างจึงหนีไป
กองทัพทหารเคลื่อนทัพกลับมา พร้อมกับถือสันติภาพระหว่างสองเมือง จวินโม่ซ่างจะขึ้นครองราชย์ในอีกไม่กี่วัน ทั้งยังยอมชดใช้เสบียงอาหารของทหารทั้งหมด ส่งเครื่องบรรณาการด้วยวิธีการเก็บภาษีสิบปีในทุกปี
เช่นนี้ เท่าที่เห็นจากรอบตัว คนผู้นี้ต้องเป็นพระชายาเย่อย่างไม่ต้องสงสัย
ราชครูจวินมองไปทางหนานกงเย่ หนานกงเย่ยังคงมีสติ
หวาชิงไม่พอใจ : “ฝ่าบาท คนผู้นี้ลั่นวาจาให้สัญญากับหม่อมฉันแล้ว รอให้หม่อมฉันเคลื่อนทัพกลับ จะต้องยินยอมแต่งงานกับหม่อมฉันเป็นแน่”
ราชครู่จวินก็จนปัญญา หลอกลวงสิ้นดี!