องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 670 ฟ้องกราบทูลไม่ได้
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 688 ฟ้องกราบทูลไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ค่อยจะได้นอนเท่าไหร่ จนถึงตอนเช้าถึงได้หลับลึก หนานกงเย่ถึงได้พบว่าเหงื่อบนกายของฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆลดหายไปแล้ว อีกทั้งมือเท้าของเธอก็อุ่นแล้ว
เป็นห่วงอยู่ทั้งคืน หนานกงเย่พักผ่อนครึ่งชั่วยาม เข้าเฝ้าตอนเช้าก็ไม่ได้ไป เขาอุ้มฉีเฟยอวิ๋นที่นอนหลับไปอาบน้ำที่สระกำมะถัน
ฉีเฟยอวิ๋นสัมผัสได้ว่าหนานกงเย่ถอดชุดให้เธออย่างระมัดระวัง เธอลืมตามองเขา หนานกงเย่จูบสัมผัสเธอหนึ่งครั้ง
“ข้าไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย หลังจากตื่นขึ้นมาได้พบอวิ๋นอวิ๋น ตามความเป็นจริงผ่านไปแล้วข้าก็มีความสุข แต่จะมีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ข้ากลัว ไม่กล้าที่จะนอน ตื่นมาได้พบอวิ๋นอวิ๋น ข้าก็มีความสุขทุกอย่างตามที่อวิ๋นอวิ๋นได้กล่าว”
หนานกงเย่ปลดชุดที่อยู่บนร่างกายของฉีเฟยอวิ๋นออก เหงื่อออกทั้งคืน ทั้งตัวของฉีเฟยอวิ๋นไม่มีตรงไหนที่ไม่เปียกชื้นเลย แม้เหงื่อจะไม่ออกแล้ว ผ้าห่มและเสื้อผ้าล้วนเปียกชื้น
หนานกงเย่นอนไม่หลับจริงๆ คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นเช่นนี้ก็คงเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นเลยได้อุ้มเธอมาอาบน้ำ
ฉีเฟยอวิ๋นมีลมหายใจที่ไร้เรี่ยวแรง ดิ้นรนไปก็เหนื่อย
เธออิงอยู่บนก้อนหินมองหนานกงเย่จึงไม่อยากจะกล่าวพูดอะไรแล้ว เพียงแค่มองหนานกงเย่ใจได้สงบมากขึ้นพอสมควร
“อวิ๋นอวิ๋น….สัญญากับข้านะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าไปจากข้านะ ได้ไหม?”ดวงตาคู่นั้นของหนานกงเย่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวคล้ายดั่งดวงดาวยามค่ำคืน ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงซูมู่หรงกับจวินโม่ซ่าง เฉินอวิ๋นเจี๋ยกับเฟิงอู๋ชิง ถึงพวกเขาจะหล่อเหลา มีความรูปงามที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน แต่เวลาไม่มีใครที่สามารถเทียบเทียนหนานกงเย่ได้ รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นที่สุดแห่งยุคแล้ว
โดยเฉพาะดวงตาของเขา คล้ายดั่งท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่มีเสน่ห์ดึงดูดคน
ฉีเฟยอวิ๋นเพียงแค่มอง เธอมองอยู่อย่างนั้น
หนานกงเย่ขยับกายแนบชิด โดยไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแค่ให้ร่างกายของทั้งสองแนบชิดกันเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าใจของเจ้าไม่มีความสุข รู้สึกว่าข้าทำเจ้าต้องตาย ทำผิดต่อเจ้า แต่ใจของข้าไม่สามารถรับบุคคลที่สองได้ รับได้เพียงแค่คนผู้นี้ ข้าทำเพื่อร่างกายนี้ ข้าสามารถขอร้องเจ้าให้ปล่อยอวิ๋นอวิ๋นได้หรือไม่?”
หนานกงเย่กล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างกกหูของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง นางไม่อยู่เพคะ”
หนานกงเย่หายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า“ข้ารู้ว่านางอยู่”
ฉีเฟยอวิ๋นไร้คำบรรยาย ผละออกจากหนานกงเย่อิงแอบอยู่บนโขดหิน เธอเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไร
หนานกงเย่อาบน้ำให้ฉีเฟยอวิ๋น เขาอาบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ว่าพยายามแสดงออกว่าสงบ แต่ตอนที่เขาขึ้นไปบนขอบฝั่งแทบจะตกลงไป แสดงให้เห็นว่าเขาเกร็งกดดันอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าชายผู้นี้กลัว
เปลี่ยนชุดนอนแล้ว หลังจากนั้นหันกลับไปโอบไหล่กว้างของชายหนุ่ม ใครบอกว่าหญิงสาวทำได้เพียงให้ชายหนุ่มโอบกอด เธอก็กอดชายหนุ่มได้เช่นกัน
แต่หนานกงเย่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดี เลยหมุนตัวโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้
ก่อนนอนหนานกงเย่ทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก กล่าวว่า“นอนเถิด ข้าอยู่ตลอดเวลา”
ฉีเฟยอวิ๋นตลกขบขัน เธอหมอบฟุบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเย่ไม่นานจึงได้หลับเสียแล้ว
เป็นเวลาเที่ยงวันที่ด้านในพระราชวังมาส่งพระราชโองการ ขันทีน้อยรออยู่ด้านหน้าประตู แล้วก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปรบกวนในสวนดอกกล้วยไม้
ฉีเฟยอวิ๋นตกใจตื่น หนานกงเย่หน้าดำอึมครึมเหมือนเปาบุ้นจิ้น สวมใส่ชุดแล้วเดินออกไปหยิบพระราชโองการมาดู จากนั้นได้สั่งให้ขันทีน้อยกลับไปแล้วเข้ามาในห้อง
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามหนานกงเย่ได้เข้าพระราชวังเพียงลำพัง
วันนี้ราชสำนักค่อนข้างคึกครื้น คนแรกเป็นราชครูจวินที่กราบทูล เรื่องเกี่ยวกับพระชายาเย่เกือบจะถูกรถม้าเหยียบตาย ต่อมาเป็นอาลักษณ์อาวุโสโจวที่จะกราบทูลรายงานเรื่องของหนานกงเย่
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เพิ่งจะได้หยุดพักไปไม่กี่วัน คนก็หาเรื่องมาอีกแล้ว แน่นอนว่าหงุดหงิดมาก ชำเลืองมองคนที่ควรมาก็ไม่มาสักคนเดียวเลย
อ๋องตวนไม่มา อ๋องเย่ก็ไม่มา นี่ถึงได้มีพระราชโองการเรียกทั้งสองคนมา
หนานกงเย่ถึงก่อนไม่เห็นอ๋องตวน
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นหนานกงเย่เลยกล่าวถามด้วยความหงุดหงิดใจว่า“อ๋องเย่เหตุใดถึงไม่เข้าเฝ้า”
“กราบทูลฝ่าบาท เมื่อวานพระชายาถูกรถม้าของจวนราชครูชน เลยตกใจอย่างมาก ไม่ได้นอนทั้งคืน กระหม่อมอยู่ด้วยทั้งคืน เลยไม่ได้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?”องค์จักรพรรดิก็ไม่รู้จะกล่าวตรัสอะไรดี คนอื่นเข้าเฝ้าล้วนมีกฎเกณฑ์ระเบียบ ส่วนอ๋องเย่กับอ๋องตวนไม่เข้าเฝ้าอยู่บ่อยครั้ง
หนานกงเย่ไม่กล่าวพูดอะไรมาก องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสถามว่า“ในเมื่อราชครูมีเรื่องจะกล่าว เช่นนั้นกล่าวขึ้นมาเถิด”
ราชครูจวินเลยกล่าวพูดเรื่องรถม้าเมื่อวานขึ้น สมุดเล่มเล็กถูกส่งขึ้นไป เขาพูดอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
รถม้าเป็นของจวนราชครู คนขับรถม้าก็เป็นคนของจวนราชครู แต่คนขับเกวียนรถม้าอยู่เกิดเรื่องขึ้น กลับเป็นคนจงใจทำมัน
ผู้ใดเป็นคนทำได้ตรวจสอบแล้ว คนผู้นี้มีควาเกี่ยวข้องกับจวนเสนาบดี อีกทั้งเป็นญาติพี่น้องของจวนเสนาบดีด้วย
องค์จักรพรรดิสีหน้าอึมครึม จวนเสนาบดีไม่จบไม่สิ้นเลย ทุกคนล้วนดึงรั้งจวนเสนาบดีไม่ปล่อย
“มีหลักฐานหรือไม่?”
“เดิมมีพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมจับคน เขาก็ลงนามตามความเป็นจริงแล้ว ใครจะรู้เล่าเพียงแค่คนของจวนเสนาบดีเข้ามาดู คนได้กลืนยาพิษตายเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ราชครูจวินเอื้อนเอ่ยอย่างไพเราะน่าฟัง ทั้งราชสำนักเต็มไปด้วยเสียงเกียวกราวอื้ออึง
จวนเสนาบดีสังหารคนปิดปากอย่างโจ่งแจ้ง!
เสนาบดีเฉินรีบออกไปคุกเข่ากล่าวว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้เรื่องนี้จริงๆพ่ะย่ะค่ะ นี่ไม่ใช่การที่ราชครูจวินยัดความผิดให้คนอื่นหรือ?ต่อให้กระหม่อมมีความกล้าหาญมากมาย ก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ!”
เสนาบดีเฉินโดดลงแม่น้ำหวงเหอก็ไม่สามารถชะล้างให้สะอาดได้ โดยรากฐานแล้วไม่รู้ว่าเกิดเรื่องนี้เลย
และแต่ไหนแต่ไรมาราชครูจวินกล่าวโดยไม่มีหลักฐานนั้นไม่มีทางที่จะถูกยัดเยียดความผิดหรอก
เสนาบดีเฉินขมขื่นมากกว่ากลืนสมุนไพรหวงเหลียนอีก
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้มองราชครูจวิน กล่าวว่า“ราชครู นี่เป็นการตายที่ไร้หลักฐาน ข้าควรจะทำเยี่ยงไรดี?”
“ฝ่าบาท คำให้การได้ทำการลงนามแล้ว สีดำบนกระดาษนั้นไม่ทีทางผิดเพี้ยนไปได้ คนผู้นั้นแม้จะถูกปิดปากแล้ว แต่เขาอยู่ที่ด้านในที่ทำการปกครอง สามารถเรียกคนไปดูได้ ว่าใช่ญาติพี่น้องของจวนเสนาบดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ “
ทั้งราชสำนักต่างวุ่นวายปั่นป่วน ในเมื่อโทษฐานได้กำหนดไว้แล้วจวนเสนาบดีสังหารคนปิดปาก เช่นนั้นฮองเฮาต้องถูกลงโทษปลดใช่หรือไม่!
ราชครูจวินไม่ใช่คนที่พูดโดยไร้เหตุผลหลักฐาน!
ทุกคนล้วนมองไปทางเสนาบดีเฉิน เสนาบดีเฉินตัวสั่นระริก เหงื่อเม็ดโตไหลหยดลงที่บนพื้น
เสนาบดีเฉินที่คุกเข่าอยู่เป็นลมล้มพับไป
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นทันที แต่คนอื่นส่งเสียงครู่หนึ่งจึงหลีกออก ทำให้มองเสนาบดีเฉินที่เป็นล้มอยู่บนพื้นมองแล้วโดดเดี่ยวเหลือเกิน
“ทหาร เรียกหมอหลวง”สุดท้ายองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องเข้าข้าง เพราะเสนาบดีเฉินคือพ่อตาของพระองค์
ส่วนคนอื่นคล้ายดั่งดูความคึกครื้น ก้มศีรษะโดยไม่เอื้อนเอ่ย
มองไปที่หนานกงเย่ ที่หล่อเหล่าอกผายไหล่ผึ่ง คล้ายดั่งเขาเป็นไก่ตัวผู้และสถานะไม่มีคนสั่นคลอนได้อย่างนั้นแหละ
และไม่กี่วันมานี้ทุกคนล้วนรอโจวอี้เหรินกราบทูลเรื่องหนานกงเย่ คิดไม่ถึงว่าจะวุ่นวายจนโจวอี้เหรินไม่มีจังหวะเอ่ยปากได้
น่าสงสารเขาอายุขนาดนี้แล้ว นั่งสั่นระริกอยู่บนท้องพระโรงอยากจะเอ่ยปากก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้ ไม่สามารถเอ่ยแทรกแซงได้นึกถึงหลานแล้วโกรธเคืองอย่างมาก
โจวอี้เหรินกล่าวว่า“ฝ่า…..ฝ่า….”
อีกคำหลังนั้นไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ
เหล่าหมอหลวงขึ้นมาบนราชสำนัก เพื่อดูอาการของเสนาบดีเฉิน
คนบริเวณโดยรอบมีจำนวนมาก บรรยากาศเลยไม่ถ่ายเท โจวอี้เหรินอายุมาก เขารู้สึกว่าหายใจไม่ออก นั่งอยู่บนเก้าอี้หายใจโรยราเป่าหนวดเคราของตนเอง เบิกตาค้างอยู่เป็นเวลานานไม่มีคนเห็น
รอคนเห็น คนได้ล้มตึงลงไปเสียแล้ว คนจำนวนมากตกใจจนต้องพากันหลีกออก ไม่มีใครยอมล่าช้ากว่าใครเลย