องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 671 หวาชิงตามรังควาน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 671 หวาชิงตามรังควาน
ฉีเฟยอวิ๋นมอบไข่มุกให้กับเสี่ยวเฉียวและให้หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าไว้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถแยกจากเจ้าห้าได้เลย แต่เพื่อเป็นการปกป้องเสี่ยวเฉียว และเพื่อให้คนในจวนรู้ถึงตำแหน่งฐานะของเสี่ยวเฉียวในจวนแห่งนี้ ฉีเฟยอวิ๋นจึงจำเป็นต้องพาเสี่ยวเฉียวออกไปเดินเล่นหนึ่งรอบ
หลังจากกลับมาจากการเดินไปรอบๆ ตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นจึงนำเสี่ยวเฉียวไปส่งที่ห้องนอนของเด็กๆ จากนั้นจึงกลับไปหาหนานกงเย่เพื่อปรึกษาหารือ โดยใช้โอกาสที่อากาศดีๆ เตรียมสร้างเรือนขึ้นมาให้กับเสี่ยวเฉียว
อย่างไรเสียก็เป็นเด็กผู้หญิง หากไม่สร้างเรือนแยกออกมา ก็เกรงว่าจะไม่ถูกต้องเหมาะสม
ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันจนดึกดื่น ตามที่ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวนั้น สร้างเรือนให้กับเสี่ยวเฉียวหนึ่งหลังข้างๆ เรือนสวนดอกกล้วยไม้
ฉีเฟยอวิ๋นคิดชื่อเอาไว้แล้ว นั่นก็คือเรือนหลินหลาง
หนานกงเย่ตื่นขึ้นแต่เช้าและเรียกช่างฝีมือเข้าพบ หลังจากฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก็เริ่มวาดภาพและนำภาพวาดมอบให้กับช่างฝีมือ ช่างฝีมือต่างรู้สึกตกใจในพรสวรรค์การวาดภาพของฉีเฟยอวิ๋น นับเป็นการออกแบบที่วิจิตรและวิเศษอย่างมาก
มีความสวยงามพอๆ กับเรือนหลักและเรือนจวินจื่อ แต่การตกแต่งภายในนั้นมีความละเอียดและประณีตกว่าเรือนจวินจื่ออยู่มาก
ไม่นานช่างฝีมือจำนวนสามพันคนก็เริ่มดำเนินการตามที่ได้รับสั่ง ฉีเฟยอวิ๋นเรียกเสี่ยวเฉียวมาหาและถามนางว่ามีความเห็นตรงไหนหรือไม่ เสี่ยวเฉียวกล่าวว่าต้องการแขวนระฆังแปดเหลี่ยมไว้ที่บนยอดของตัวเรือนและอยากได้ยินเสียงระฆังดังในเวลาที่มีลมพัด
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงออกแบบระฆังแปดเหลี่ยมเข้าไปบนยอดสุดของตัวเรือน
เรื่องที่จวนท่านอ๋องเย่ต้องการสร้างเรือนหลินหลางนั้นก็ถูกแพร่ข่าวออกไป มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนและจึงได้ทราบว่าหนานกงเย่มีลูกสาวบุญธรรมหนึ่งคน
ถึงขนาดว่ามีบางคนแพร่ข่าวออกไปว่า เมื่อหลายปีก่อนหนานกงเย่ได้พบกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งเข้า และหญิงสาวคนนั้นก็ให้กำเนิดลูกสาวของเขา เขาได้พบกับหญิงสาวคนนั้นขณะไปออกรบที่เมืองอู๋โยวและตอนนี้หญิงสาวคนนั้นก็จากไปแล้ว แต่นางได้ทิ้งลูกสาวไว้หนึ่งคน เขาจึงนำกลับมา
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเรื่องนี้เธอเกือบจะสำลักออกมา จากนั้นจึงรีบวางถ้วยชาลงและลูบหน้าอกไปมา
หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าและเห็นว่าเธอสำลักจึงรีบเดินเข้ามาหา “เกิดอะไรขึ้นหรือ ทำไมจู่ๆ ก็สำลักล่ะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เป็นอะไร แต่รู้สึกน่าขบขันเท่านั้น
หนานกงเย่นั่งลงและถามอาอวี่ “ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?”
“ไม่มีแล้วขอรับ มีเพียงแค่เรื่องนี้ที่ฟังดูมีเหตุผลขอรับ” อาอวี่ไม่ได้ติดตามหนานกงเย่ไปที่เมืองอู๋โยว และมักรู้สึกว่าความเป็นมาของเสี่ยวเฉียวนั้นแปลลกประหลาด
ถึงแม้จะไม่สามารถมีลูกกับหญิงสาวคนอื่นได้ แต่อาอวี่เห็นว่า การที่เสี่ยวเฉียวได้รับการปรนนิบัติอย่างดีเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลอื่นอย่างแน่นอน
หนานกงเย่ขมวดคิ้วและทำสีหน้าเคร่งขรึม “ดูเหมือนเจ้าจะต้องถูกโบยสักหน่อยเสียแล้ว”
จากนั้นอาอวี่จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามองหนานกงเย่ “เรื่องในเรือนหม่อมฉันจะยกให้เป็นหน้าที่ของท่านอ๋องนะเพคะ ตอนนี้เรื่องของเมืองอู๋โยวก็แก้ไขปัญหาได้แล้ว ประชาชนในเมืองต้าเหลียงอย่างใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุขแล้ว อวิ๋นจิ่นก็จัดการกิจการการค้าได้ดี ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของหวาชิงเพคะ”
“ตอนนี้อวิ๋นอวิ๋นรู้สึกเสียใจแล้วหรือ?” หนานกงเย่นึกถึงเรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นชอบทั้งผู้หญิงผู้ชายก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะท่านอ๋องหรือเพคะ ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันมีความสุขหรือเพคะ”
“ไม่มีความสุขแล้วยังไปสนใจ ไม่สนใจก็จบไปแล้ว” หนานกงเย่อุ้มเจ้าห้าเดินไปมา
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “เรื่องนี้ท่านยังไม่ต้องยุ่ง ไหนบอกว่าจวินโม่ซ่างจะนำคณะทูตมาเยือน กี่ไม่กี่วันท่านอ๋องก็จะต้องยุ่งกับเรื่องนั้นแล้ว”
“อืม”
“เช่นนั้นเรื่องของหวาชิงหม่อมฉันจะจัดการเองเพคะ”
“ข้ารู้ หากมีอะไรก็มาหาข้า”
“เรื่องอื่นหม่อมฉันไม่กังวล เพียงแต่ท่านอ๋องหยุดทำเป็นเล่นได้แล้ว ฝ่าบาทอยากจะทำอะไรก็ให้เขาทำไป เขาต้องการปกป้องฮองเฮาก็เป็นเรื่องที่ใครๆ ต่างก็รู้กัน
เพียงแต่ท่านอ๋องสัญญากับหม่อมฉันได้หรือไม่ว่าจะต้องปกป้องมู่เหมียน?”
“เรื่องปกป้องมู่เหมียน ต่อให้อวิ๋นอวิ๋นไม่พูด ข้าก็จะทำ”
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ มู่เหมียนไม่เป็นอะไร หม่อมฉันก็วางใจเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและตัดสินใจจะไปหาเฟิงอู๋ชิง เมื่อเช้าหมอเทวดามาหาก็ได้บอกไว้ว่าเฟิงอู๋ชิงได้รับบาดเจ็บ และต้องการให้เธอไปดูอาการ
“อวิ๋นอวิ๋น จะไม่มอบเด็กให้กับมู่เหมียนสักหนึ่งคนหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถึงหน้าประตูและถูกหนานกงเย่เรียก ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า
จากนั้นจึงหันกลับมาบอกว่า “หากเด็กคนนั้นเป็นที่รักของพ่อแม่ สำหรับมู่เหมียนก็เป็นเรื่องที่ดี แต่กลับไม่ใช่เช่นนั้น
เมื่อนึกถึงว่าฝ่าบาทไม่ชอบ จึงเป็นกังวล”
“ไปเถอะ” หนานกงเย่ก็ไม่อยากพูดอะไรมาก ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปและเดินไปหาเฟิงอู๋ชิง
เสี่ยวเฉียวเดินตามอยู่ข้างหลัง ฉีเฟยอวิ๋นจูงมือของเสี่ยวเฉียวไว้
เสี่ยวเฉียวถาม “ท่านแม่ ฝ่าบาทเป็นคนดีหรือคนไม่ดีเจ้าคะ?”
“สำหรับทุกคนแล้วฝ่าบาทเป็นคนดี สำหรับเจ้าและข้านั้นฝ่าบาทไม่นับว่าเป็นคนดี แต่คำถามแบบนี้ห้ามถามอีก และไม่ต้องพูดออกไป รู้ในใจก็พอแล้ว”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ”
สองแม่ลูกเดินไปหาเฟิงอู๋ชิง เมื่อผลักประตูเข้าไปเฟิงอู๋ชิงก็กำลังนอนอยู่ นางมีสีหน้าซีดเซียว และมีทีท่าหยิ่งยโสไม่อยากชำเลืองมองแม้แต่นิด
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น นางก็รู้ว่าคนที่มาหาคือใคร
ฟังจากเสียงเท้าก็รู้ว่าเป็นใคร
ฉีเฟยอวิ๋นพาเสี่ยวเฉียวเดินไปตรงหน้าของเฟิงอู๋ชิง จากนั้นจึงนั่งลงเพื่อตรวจชีพจรให้กับเขา การเต้นของหัวใจของเฟิงอู๋ชิงนั้นอ่อนแอ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เป็นเรื่องดี
กำลังภายในได้ทำร้ายดวงตาและหัวใจก็ได้รับความเสียหายไปด้วย
ก่อนหน้านี้ฉีเฟยอวิ๋นได้รักษาร่างกายให้เฟิงอู๋ชิงจนเกือบหายดีแล้ว แต่วันนี้เขากลับแทบเอาชีวิตไม่รอด
ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินอวิ๋นจิ่นเล่าว่าเขาถูกพ่อของเขาทำร้าย แต่ตอนนั้นคือไม่มีทางเลือกอื่น
อวิ๋นจิ่นโมโหและบอกว่าไม่เช่นนั้นคนที่จะเจ็บตัวก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาเม็ดออกมาและมอบให้กับหมอเทวดา “หนึ่งครั้งสองเม็ด ละลายกับน้ำแล้วค่อยให้เขากิน วันละสองครั้ง เช้าและเย็น
อาการของเขาตอนนี้ต้องพักรักษาตัวสักสามถึงห้าวันก็จะหายดี”
“สามถึงห้าวัน?”
หมอเทวดาตกใจ ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดอธิบาย
เมื่อดูอาการเสร็จก็เดินออกไป
เฟิงอู๋ชิงลืมตามาดูฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังจากไปและถอนหายใจ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง หมอเทวดาเดินตามมาถึงหน้าประตู “ท่านอาจารย์ ท่านเจ้าหอกล้ามเนื้อแตกหักทั้งร่างกาย หัวใจก็ได้รับความเสียหายไปด้วย ยาอะไรหรือที่กินเข้าไปก็จะหายภายในสามสี่วัน?”
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมองหมอเทวดา “นี่ก็นับว่าช้าไปแล้ว หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าข้าติดธุระ วันเดียวเขาก็จะหายดี”
“ท่านอาจารย์ ท่านสอนให้กับข้าได้หรือไม่?”
“วันอื่นแล้วกัน”
“ได้ ได้!”
หมอเทวดากลัวว่าฉีเฟยอวิ๋นจะกลับคำจึงรีบตอบตกลงฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นพาเสี่ยวเฉียวเดินจากไปและเตรียมตัวเดินกลับ หวาชิงปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้ามาจากภายนอกเรือนจวินจื่อ ในมือถือดาบอยู่ด้ามหนึ่ง
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นจึงหยุดลง และมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น
“ไปกันเถอะ ไปหาใครคนหนึ่งกับข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองเสี่ยวเฉียว “เสี่ยวเฉียวเจ้ากลับไปอยู่กับน้องๆ ก่อน แม่มีธุระเดี๋ยวกลับมา”
“เจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปเปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาดสะอ้านและสวยงาม เตรียมตัวที่จะออกไปกับหวาชิง สีหน้าของหวาชิงไม่มีความสุขนัก “ทำไมหรือ เจ้าไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าของผู้ชายเลยหรือ? ออกไปหาคน แต่กลับใส่ชุดล่อตาล่อใจเช่นนี้?”
“……ข้าเป็นถึงพระชายาเย่ จะให้ใส่แบบเจ้าได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าการปลอมตัวเป็นผู้ชายนั้นสะดวกกว่ามาก แต่เธอก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าเธอคืออันเสี่ยวฮวน?
“ช่างน่ารำคาญเสียจริง เช่นนั้นได้โปรดพระชายาเย่เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของผู้ชาย เพื่อไม่ให้เสียเรื่อง” หวาชิงพูดออกไปอย่างแน่วแน่ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่พอใจนัก
“ข้าเป็นถึงพระชายาเย่ ข้าไม่มีทางใส่เสื้อผ้าผู้ชายเด็ดขาด อีกอย่างข้าก็ไม่มีด้วย เสื้อผ้าของท่านอ๋องเย่ข้าก็ใส่ไม่ได้”
“ข้ามี”
หวาชิงจูงมือของฉีเฟยอวิ๋นไปที่เรือนของนาง แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมและสะบัดมือออก “เหลวไหล”
เมื่อพูดจบ ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดอีกว่า “ข้าไม่รู้ว่าอันเสี่ยวฮวนดีแค่ไหน แต่ผู้หญิงหนึ่งคนที่ยังไม่แต่งงานก็กลับไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ เป็นการขายหน้าอย่างมากไม่ใช่หรือ?”
หวาชิงหันกลับ ฉีเฟยอวิ๋นพูดต่อ “เจ้าเป็นถึงหญิงสาวของตระกูลหวา และมีพระมเหสีหวาเป็นแบบอย่างที่ดี เจ้าต้องเรียนรู้ความสง่างามจากพระมเหสีหวา เจ้ากลับมาจากการออกรบและเข้าพบฝ่าบาท และได้เข้าวังหลวงแล้ว แถมยังได้รับพระราชทานรางวัลอีกด้วย เจ้าก็ควรกลับไปดูจวนหวา แล้วค่อยไปหาอันเสี่ยวฮวนก็ยังไม่สาย
เจ้าดึงข้าไปมาเช่นนี้ ยังไม่รีบกลับไปดู หรือเจ้าเกิดมาจากหินกันหรืออย่างไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ และจับมือของหวาชิงไว้แน่น จากนั้นจึงลากนางไปที่ประตู และสั่งให้คนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางกลับเป็นเสื้อผ้าผู้หญิง!