องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 684 คน ๆ เดียวกัน
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 682 คน ๆ เดียวกัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากกล่าวมากความ บุตรสาวคนนี้ของเขาไม่มีทางยอมฟังใครโดยง่าย
การแสดงออกคือคำตอบ ใครเล่าจะรู้ว่าในใจนางคิดอะไร?
ท่านแม่ทัพฉีกล่าวว่า : “เจ้าไม่เชื่อก็ดี เชื่อก็ดี แต่ฝ่าบาทสำหรับพ่อแล้ว เขาคือฝ่าบาทที่ดีที่สุด”
“ข้าก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดีเสียหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงตอบแบบขอไปที
ท่านแม่ทัพฉีตอบ อื้อ คำเดียว ราวกับยอมรับ
จากนั้นท่านแม่ทัพฉีก็กล่าวว่า : “หากเจ้าอยากเข้าใจปากท้องประชาชนของเมืองต้าเหลียง เจ้าไปถามท่านอ๋องตวน เขาเข้าใจดียิ่งกว่าใคร”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยความแปลกใจ : “เพราะเหตุใด? เขาเป็นท่านอ๋อง ทำไมถึงได้เข้าใจปากท้องของประชาชนมากเพียงนี้? แล้วทำไมท่านอ๋องเย่ถึงไม่เข้าใจละ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ เมื่อวานก็เคยถาม เขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจปากท้องของประชาชนเสียด้วยซ้ำ
ท่านแม่ทัพฉีกล่าวอย่างลังเล : “ลูกเขยนั้นไม่เหมือนกัน แค่เข้าใจการต่อสู้ทำสงครามก็มากพอแล้ว เจ้าเคยได้ยินว่าท่านอ๋องตวนออกรบหรือไม่ละ?”
“….ท่านพ่อ…..”
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจในทันที คนหนึ่งก็เป็นคนถูกเลือกให้เป็นจวิ้นอ๋อง อีกคนก็จับดาบในมืออย่างชำนาญ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ที่นั่นย่อมเป็นที่ฝึกประสบการณ์
หนานกงเย่ในสายตาของประชาชนเหมือนคนที่ผ่านการฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ส่วนท่านอ๋องตวนคือคนที่เปิดคลังเก็บเสบียงอาหารบริจาคแก่ชาวบ้าน เมื่อเปรียบเทียบกันชัดเจนก็เข้าใจมากขึ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง เตรียมจะเดินออกจากเรือน
เมื่อมาถึงหน้าประตูก็ถูกหวาชิงเรียกไว้เสียก่อน ฉีเฟยอวิ๋นในชุดคลุมยาวแขนกว้างสีม่วงอ่อน ได้หมุนตัวไปมองหวาชิง
วันนี้หวาชิงแต่งกายเป็นบุรุษ เกล้าผมสูงเป็นหางม้า มีห่วงรัดอยู่ด้านบน แทรกด้วยปิ่นกลัดผมสีทองหนึ่งชิ้น
ชุดแม่ทัพสีน้ำเงินสดใสทั้งตัว สวมเสื้อคลุมไม่มีแขนไว้บนไหล่
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นหวาชิงเหมือนวีรบุรุษ แต่ถึงกระนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากลับยังโกหกได้
หวาชิงเดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น : “เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพบว่า หวาชิงไม่ได้เกรงใจนางแล้ว คำเรียกก็เปลี่ยนไป
ลางสังหรณ์ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนก็พลันปรากฏขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “แม่ทัพน้อยมีเรื่องอันใดหรือ?”
“หลายวันนี้เจ้าออกไปทำธุระข้างนอกหรือ?” หวาชิงไม่ตอบแต่ถามกลับ ฉีเฟยอวิ๋นจึงแย้มยิ้ม
“ไม่มีอะไร”
“ความเคยชินของเจ้าไม่ดีนัก ฉีเสี่ยวฮวนก็เป็นเช่นนี้ ไม่พูดแต่กลับวิ่งหนี แต่เจ้าแตกต่างจากฉีเสี่ยวฮวน ฉีเสี่ยวฮวนหนีไปโดยที่ข้าไม่ต้องตาม เจ้าหนีไปและให้ท่านอ๋องเย่ไปตามกลับมา”
หวาชิงเดินเข้ามาใกล้ แววตาที่สะท้อนออกมาช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม : “คนที่ชอบหาเรื่องมักเป็นเช่นนี้ เอะอะก็วิ่งหนี ข้าก็ยังดูหมิ่นตนเองเลย”
หวาชิงกระตุกมุมปากจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม : “ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ดีนะ แต่ในเมื่อเจ้าคิดหนี ก็ควรจะทำแบบเดียวกับฉีเสี่ยวฮวน หนีไปแล้วอย่าย้อนกลับ หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น”
“แม่ทัพน้อย เจ้าไร้มารยาทกับพระชายาเช่นนี้ได้อย่างไร?” อาอวี่ไม่พอใจ จึงได้เอ่ยเตือน
สีหน้าของหวาชิงเคร่งขรึมลง พลางมองไปทางอาอวี่ : “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องพูดมาก วันนี้ข้าจะไปเป็นเพื่อนพระชายาเอง เจ้าถอยไปเถอะ”
“ไม่ต้อง คุ้มกันพระชายาเป็นเรื่องภายในของข้า ไม่ต้องรบกวนแม่ทัพน้อยหรอก” อาอวี่ไม่ยอม
ฉีเฟยอวิ๋นปวดหัวกับการทะเลาะ จึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ขืนถ่วงรั้งกันไปเช่นนี้คงทำให้เสียเวลาเป็นแน่
“ช่างเถอะ อาอวี่ เจ้าอยู่ในจวน ท่านอ๋องกลับมาก็รายงานท่านอ๋องด้วย ว่าข้ากับแม่ทัพน้อยออกไปจวนอ๋องตวน”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวเดินนำไปก่อน อาอวี่ไม่กล้าชักช้าจึงรีบตรงไปหาหนานกงเย่ทันที
เวลานี้หนานกงเย่ยังไม่ออกมาจากในวัง กำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องของซูมู่หรงองค์ชายสามแห่งปีกใต้
จักรพรรดิอวี้ตี้เอามือไขว้หลัง เดินไปเดินมาอยู่บนบัลลังก์
“เขามาทำอะไรในเมืองต้าเหลียงของเรา?” จักรพรรดิอวี้ตี้สับสน
“กระหม่อมก็ไม่ทราบ อวิ๋นอวิ๋นและกระหม่อมทะเลาะกันอย่างรุนแรง จึงหนีออกจากบ้าน ระหว่างทางถูกเขาปล้นสะดม กระหม่อมตั้งใจจะฆ่าซูมู่หรง แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกหญิงชุดแดงเข้ามาช่วยเหลือไว้”
“หญิงชุดแดง?”
ท่านอ๋องตวนประหลาดใจ
หนานกงเย่และจักรพรรดิอวี้ตี้หันไปมองท่านอ๋องตวนโดยไม่ได้นัดหมาย ท่านอ๋องตวนได้หันไปมองจักรพรรดิอวี้ตี้ : “ฝ่าบาท ในตอนที่อ๋องเย่ไปเมืองอู๋โยว มีคนกลุ่มหนึ่งมาเยือนจวนอ๋องเย่ พยายามฆ่าคนของจวนอ๋องเย่ กระหม่อมอยู่ในจวนอ๋องเย่ฝ่าบาทจำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า : “จำได้สิ เจ้ายังได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย?”
“หนานกงเซวียนเกือบต้องตายด้วยน้ำมือของเฟิงอู๋ชิง แต่ตอนนั้นมีผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่ง นางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่แปลกตา ทั้งยังตะโกนเรียกว่านายท่าน ทำให้หนานกงเซวียนหนีรอดไปได้” ท่านอ๋องตวนกล่าวขึ้น
หนานกงเย่มองไปทางท่านอ๋องตวน : “หญิงชุดแดงมีผิวที่ขาวเนียนละเอียด เพียงแต่มีท้องคิ้วที่ค่อนข้างลึก นางมีหน้าตาละหม้ายคล้ายคลึงกับคนในเมืองซือโฉวเล็กน้อยใช่ไหรือไม่?”
“ใช่”
ท่านอ๋องตวนและหนานกงเย่เข้าใจกันโดยบังเอิญ ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางจักรพรรดิอวี้ตี้โดวยไม่ได้นัดหมาย
ทั้งสามคนเงียบไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางหนานกงเย่ : “ดูท่า หนานกงเซวียนและปีกใต้จะมีความเกี่ยวข้องกันแล้ว”
“กระหม่อมได้ออกคำสั่งให้ทหารเข้าไปตรวจสอบแล้ว มีข่าวก็คงแจ้งกลับบมา”
จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า : “ก็คงต้องตามนี้ หากปีกใต้ทำสงครามกับเมืองต้าเหลียงของเรา ครานี้ข้าก็หมดหนทางแล้ว”
จักรพรรดิอวี้ตี้โบกมือไปมา บอกให้หนานกงเย่และท่านอ๋องตวนถอยออกไปก่อน
ทั้งสองคนเพิ่งจากไป
บนถนนในวันนี้ค่อนข้างคึกคักมาก ท่านอ๋องเย่เพิ่งจะชนะสงคราม บรรยากาศที่เต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีสันในเมืองหลวงยังไม่หายไปไหน เหล่าราษฎรมักจะชอบออกมาเดินเล่นมากกว่าปกติเสียอีก
หลังจากออกมาจากจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นฝูงชนที่ขวักไขว่บนท้องถนน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คึกคักไม่น้อยไปกว่าบรรยากาศในการจุดโคมไฟเลย
ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่เข้าใจ จึงเดินไปยังทิศทางของจวนอ๋องตวน พลางแปลกใจ แค่ชนะสงครามกลับมา ผู้คนต้องออกมารวมตัวกันมากมายเพียงนี้เลยหรือ
หวาชิงกล่าวว่า :” เจ้าแปลกใจใช่หรือไม่?”
“อะไร?” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงไม่เข้าใจ
หวาชิงอธิบายว่า : “ชนะสงครามมาก็ต้องดีใจสิ ฝ่าบาททรงพระราชทานอภัยโทษ บางคนจึงออกมาจากคุกได้ ทุกครอบครัวได้มารวมตัวกัน ไม่น่าดีใจหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของการอภัยโทษในครานี้ จึงไม่กล่าวสิ่งใด
ทั้งสองคนเดินออกจากอีกด้านไปยังจวนอ๋องตวน หวาชิงจึงได้กล่าวถามขึ้น : “ฉีเสี่ยวฮวนสบายดีหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นอึดอัดใจอย่างมาก ไม่ละความพยายามเลยจริง ๆ
“ฉีเสี่ยวฮวนสบายดีหรือไม่นั้นข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่รู้จักเขา และไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใดด้วย” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมรับหัวชนฝา
หวาชิงยังคงกล่าวว่า :” ข้าคิดไว้แล้ว ที่เขาไม่อยากแต่งกับข้าต้องมีเหตุผลเป็นแน่ หากเขาบอกข้า ข้าจะไม่ขวางเขาอีกเลย เรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว ข้าทูลต่อฝ่าบาทแล้ว ไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับเขา”
“แม่ทัพน้อยพูดถูก”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยไปบอกเขาให้ข้าด้วย ข้าอยากเจอเขาอีกสักครั้ง” หวาชิงหยุดถามต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นกลับกล่าวว่า : “ข้าก็อยากช่วยนะ แต่ข้าไม่รู้จะช่วยอย่างไร ข้าไม่รู้ว่าฉีเสี่ยวฮวนอยู่ที่ใดจริง ๆ ไม่สู้เอาแบบนี้ แม่ทัพน้อยวาดภาพของฉีเสี่ยวฮวนขึ้นมาหนึ่งภาพ จากนั้นก็ไปติดประกาศตามหาเขา หาเจอก็ดีไป หากไม่เจอแม่ทัพน้องก็อย่าได้เป็นกังวลเกินไป
ชายที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ก็ต้องแล้วแต่โชคชะตา มีโชคชะตาร่วมกันก็คงสมหวัง”
“โชคชะตาคำ ๆ นี้พูดยากนะ พระชายาเย่และท่านอ๋องเย่มีโชคชะตาร่วมกันหรือ?”
“แม่ทัพน้อยหมายความว่าอย่างไร?” ได้ยินหวาชิงกล่าวอย่างเย็นชา ฉีเฟยองวิ๋นจึงยิ่งไม่เข้าใจ
หวาชิงแย้มยิ้ม : “เมืองหลวงเกรงว่าไม่มีใครไม่รู้จัก ในตอนที่พระชายาเย่ต้องอภิเษกสมรสกับท่านอ๋องเย่ยังคัดค้านหัวชนฝาเพียงใด ส่วนท่านอ๋องเย่ในครานั้นก็ถูกอำนาจของท่านแม่ทัพฉีบีบบังคับจนต้องตกลงแต่ง คนที่อยู่ในดวงใจของท่านอ๋องเย่ในตอนนั้นใครบ้างเล่าจะไม่รู้ว่าเป็นจวินฉูฉู่?”
หากนี่เป็นโชคชะตา เช่นนั้นข้าก็ได้นะสิ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางหวาชิง หลังจากมองแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา และหมุนตัวเดินจากไป
หวาชิงยืนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น ก่อนจะตามนางไป
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรกันอีก หวาชิงมองใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเป็นครั้งคราว ซึ่งมักจะทับซ้อนกับใบหน้าของฉีเสี่ยวฮวน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน