องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 691 ท่านแม่ทัพฉีที่คิดแค้นฝังใจ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 691 ท่านแม่ทัพฉีที่คิดแค้นฝังใจ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าประตูไปหาแม่ทัพฉี เดิมทีคิดว่าเขาจะอยู่ที่ห้องซ้อมวิทยายุทธ แต่เมื่อเดินไปดู ข้างในกลับไม่มีใครอยู่
พ่อบ้านรีบวิ่งเข้ามาหาฉีเฟยอวิ๋น “อยู่ในห้องขอรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สีกแปลกใจ “จริงหรือ?”
“ไปหาฮูหยินขอรับ”
“ฮูหยิน?” จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็นึกได้ “ท่านแม่น่ะหรือ?”
“ขอรับ” พ่อบ้านหันไปทางที่เรือน จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินออกไป แต่เธอกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับท่านแม่ของเธอเลย เดิมทีเธอก็ไม่ใช่เจ้าของร่างนี้ อีกอย่างตอนที่เจ้าของร่างเดิมจากไปก็ยังอายุน้อยมาก ยังไม่สามารถจดจำอะไรต่างๆ มากมายได้ ฉะนั้นเธอจึงจำอะไรไม่ได้เลย
แต่พ่อของเธอจะต้องมีความรู้สึกผูกพันกับแม่คนนี้อย่างมาก ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เป็นเช่นนี้
เมื่อไปถึงที่เรือน ฉีเฟยอวิ๋นหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านไม่ได้ตามเข้าไปด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นไปยืนอยู่ที่หน้าประตู ภายในห้องของแม่ทัพฉีไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงผลักประตูและเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าประตูมาฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่พบแม่ทัพฉี จากนั้นจึงเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่งเพื่อไปหาแม่ทัพฉี เมื่อมาถึงหน้าประตูยังไม่ทันที่จะเข้าไปก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากข้างใน “ซูซู เจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่? เมื่อไรเจ้าจะกลับมา?”
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ข้างนอกแทบไม่กล้าหายใจออกมา แม่ทัพฉีพึมพำออกมาจากนั้นจึงดื่มเหล้าเข้าไปหนึ่งแก้ว “ถึงแม้ว่าอวิ๋นอวิ๋นจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของข้า แต่ข้าก็เลี้ยงดูนางเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของข้าเสมอมา ทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งและทำร้ายนาง ให้นาง……”
แม่ทัพฉีดื่มเหล้าเข้าไปอีกแก้วหนึ่ง จากนั้นจึงพูดอีกว่า “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าควรจะพานางติดตามข้าไปด้วย แต่ตอนนี้ข้าจะอธิบายกับเจ้าได้อย่างไร”
“……”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ครู่หนึ่ง เธอรู้สึกหายใจลำบากขึ้นเล็กน้อย แม่ทัพฉีมีสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นจึงเดินมาที่ประตู ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันจะพูดอะไร จู่ๆ ก็ถูกแม่ทัพฉีทุบเข้าที่คอ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าแม่ทัพฉีกำลังเหม่อลอย แม่ทัพฉีรู้สึกตกตะลึง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพมึนเมา แต่เขาก็ปล่อยมือลงทันที
ฉีเฟยอวิ๋นถาม “ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
น้ำเสียงของฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย คนที่พูดออกมากลับไม่ใช่เธอ เธอจ้องมองไปที่แม่ทัพฉีอย่างเป็นกังวล แม่ทัพฉีรู้สึกตกตะลึงเช่นกัน “อวิ๋นอวิ๋น”
แม่ทัพฉีมองออกว่าเป็นลูกสาวในแวบแรก ในใจของฉีเฟยอวิ๋นนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด
เจ้าของร่างเดิมถามว่า “ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วขึ้นมา แต่เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ แม่ทัพฉีตั้งใจสังเกตและพิจารณาฉีเฟยอวิ๋นอย่างละเอียดและสีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านพ่อ ท่านบอกข้าสิ ท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” เจ้าของร่างเดิมร้องไห้ออกมา แม่ทัพฉีหันกลับออกไป จากนั้นเจ้าของร่างเดิมก็เดินตามเข้าไป แม่ทัพฉีนั่งลง
“นางตายไปแล้ว เจ้าไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว”
เจ้าของร่างเดิมไม่เชื่อจากนั้นจึงร้องไห้ขึ้นมา
แม่ทัพฉีจ้องมองดูฉีเฟยอวิ๋นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดและทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าจะรู้ว่าเป็นลูกสาวของเขา แต่เขากลับรู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้
เจ้าของร่างเดิมร้องไห้จากนั้นจึงพูดขึ้นมา “ท่านพ่อ ข้าจะไปหาท่านแม่!”
“พูดจาเหลวไหล แม่ของเจ้าตายไปตั้งนานแล้ว จะหาอะไร ป้ายหน้าหลุมฝังศพก็อยู่ที่นี่?”
แม่ทัพฉีหันไปมองป้ายหน้าหลุมศพของภรรยา บนแผ่นป้ายไม่มีแม้แต่ชื่อของนางด้วยซ้ำ
“ท่านพ่อ ท่านมักจะบอกว่าท่านแม่ตายไปแล้ว แต่ทำไมถึงไม่มีแม้แต่ชื่อเลย?” เจ้าของร่างเดิมร้องไห้ทุรนทุราย แม่ทัพฉีนั่งเงียบอยู่อีกฝั่งโดยไม่พูดอะไร
เป็นเวลานาน จากนั้นแม่ทัพฉีจึงถามว่า “อวิ๋นอวิ๋น พ่อรู้ว่าเจ้าคิดถึงแม่ของเจ้ามาก แต่แม่ของเจ้าตายไปแล้วจริงๆ”
แม่ทัพฉีสัมผัสมือของเจ้าของร่างเดิมและพบว่ามือนั้นเยือกเย็นอย่างมาก เขามองไปที่ลูกสาวด้วยความเจ็บปวด จากนั้นจึงร้องไห้ออกมา
เจ้าของร่างเดิมโถมเข้ามากอดแม่ทัพฉีไว้และร้องไห้ออกมาอย่างทุรนทุราย จากนั้นจึงร้องไห้หมดสติไป
แม่ทัพฉีสังเกตว่าผิดปกติไปจึงผลักฉีเฟยอวิ๋นออก เธอได้เป็นลมหมดสติไป เขาลูบหน้าผากของฉีเฟยอวิ๋นที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
“อวิ๋นอวิ๋น……อวิ๋นอวิ๋น……”
ฉีเฟยอวิ๋นหมดสติ แม่ทัพฉีอุ้มขึ้นมาและพาไปข้างนอก จากนั้นจึงตะโกนเรียกคน “หมอประจำจวน หมอประจำจวน……”
เมื่อแม่ทัพฉีออกมาหนานกงเย่ก็เข้ามาแล้ว เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นที่เป็นลมหมดสติไปจึงรีบพุ่งเข้ามา
“อวิ๋นอวิ๋น!” หนานกงเย่ตตกใจอย่างมาก แม่ทัพฉีอุ้มลูกสาวโดนไม่ยอมปล่อยไปไหน
“หมอประจำจวน!”
“มอบให้ข้าเถอะ”
พ่อบ้านเหงื่อตก นี่มันเวลาไหนกันแล้วยังจะแย่งชิงกันอีก
“ท่านแม่ทัพ รีบวางลงเถอะขอรับ!”
พ่อบ้านเตือนแม่ทัพฉีที่ดูร้อนรนและตกใจอย่างมาก จากนั้นเขาก็ปล่อยมือและโยนเธอลง หนานกงเย่รับไว้ทัน จากนั้นเตรียมที่จะออกไป แต่แม่ทัพฉียื่นมือออกไปคว้าไว้ หนานกงเย่สะบัดไหล่และสะบัดลำตัว และหันไปอุ้มฉีเฟยอวิ๋น “ท่านพ่อตา!”
“วางนางลงเดี๋ยวนี้” แม่ทัพฉีจ้องมองด้วยความโมโห
หนานกงเย่มีสีหน้าเย็นชาอย่างมาก “ร่างกายของอวิ๋นอวิ๋นป่วยลง ต้องการการพักผ่อน”
ดวงตาของแม่ทัพฉีที่จ้องมองหนานกงเย่นั้นราวกับดาบแหลมคม “หากไม่ใช่เป็นเพราะแต่งงานไปกับจวนท่านอ๋องเย่ ทั้งหมดก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าควรจะตบเจ้าให้ตายไป หากไม่ใช่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของฝ่าบาท เจ้าและท่านอ๋องตวนจะต้องตาย!
แม่ทัพฉีโมโหจนแทบคลั่ง พ่อบ้านตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้และรีบถอยออกไป “ท่านอ๋องขอรับ ท่านแม่ทัพมีอาการป่วยที่ไม่สามารถถูกกระตุ้นได้ขอรับ”
บอกว่าไม่สามารถถูกกระตุ้นได้ คงพูดขึ้นมาเพื่อข่มขู่คนอื่นเสียมากกว่า คิดหรือว่าก่อเรื่องขึ้นแล้วฝ่าบาทจะทรงปล่อยไปง่ายๆ
คนนอกไม่รู้ แต่หนานกงเย่กลับรู้ดี
แม่ทัพฉีก้าวเข้ามาใกล้ “คืนอวิ๋นอวิ๋นให้กับข้า”
“ท่านพ่อตา นี่ไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก!” หนานกงเย่ทำสีหน้าไม่พอใจ แต่แม่ทัพฉีก็ไม่ยอมและเดินก้าวเข้ามาเรื่อยๆ
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นและหันหลังจะเดินออกไป แม่ทัพฉีรีบตามไป หนานกงเย่เตรียมจะหันตัวและเห็นหวาชิงกำลังเขา้มาจากหน้าประตูด้วยความรวดเร็ว
“ท่านไปก่อน ข้าจะขวางท่านแม่ทัพฉีไว้เอง” หวาชิงรู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางชนะแม่ทัพฉีได้ แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของแม่ทัพหวาผู้อาวุโสแล้ว แม่ทัพฉีก็คงไม่กล้าทำอะไรลงไปได้
หนานกงเย่ตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “ถอยไป!”
หนานกงเย่มีหรือจะไม่รู้แผนการของหวาชิง หนานกงเย่หันหลังกลับไปมอง เมื่อมองออกไปแม่ทัพฉีและหวาชิงกำลังต่อสู้กันอยู่ จากนั้นหนานกงเย่จึงต้องเข้าไปห้ามปราม
แต่แม่ทัพฉีได้ลงมืออย่างจริงจังเหี้ยมโหด หวาชิงมีหรือจะสู้ได้ เพียงครู่เดียวหวาชิงก็ถูกตบกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับกำแพง เมื่อตกลงตกมายังพื้นกระดูกก็แทบแตกเป็นเสี่ยงๆ
พ่อบ้านตกใจอย่างมากและกล้าเข้าไปช่วย ทำให้เพียงวิ่งหนีออกไป
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นไว้โดยไม่ยอมมือ ดวงตาของเขาราวกับเปลวเพลิงจ้องมองไปที่แม่ทัพฉี “ท่านพ่อตา ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้?”
“ข้าไม่ใช่พ่อตาของเจ้า คนที่อยู่ในอ้อมกอดของเจ้าก็ไม่ใช่อวิ๋นอวิ๋นของข้า” แม่ทัพฉีพูดจบก็รีบจู่โจมเข้ามา หนานกงเย่มีสีหน้าเย็นชาและกอดฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับต่อสู้กับแม่ทัพฉี เขาไม่สามารถใช้มือทั้งสองได้จึงใช้เท้าแทน
แม่ทัพฉีไม่ใช่คนธรรมดาเลย ทุกท่วงท่าของเขานั้นราวกับจะเอาชีวิตของคนอื่นให้ได้ หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นเพื่อหลบ
“ท่านพ่อตาร่างกายของอวิ๋นอวิ๋นต้องได้รับการรักษา!” หนานกงเย่สู้ไม่ได้จึงโมโห
แม่ทัพฉีตะโกนด้วยความโกรธ “วางนางลง ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า!”
หนานกงเย่กระชับมือแน่น “ไม่มีทาง!”
แววตาของแม่ทัพฉีเฉียบคม “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหาว่าข้าใจดำ”
แม่ทัพฉีตบฝ่ามือออกไปเต็มๆ ศีรษะของหนานกงเย่ เพื่อต้องการให้หนานกงเย่ตาย
“ฉีจือซาน!”
แม่ทัพฉีต้องการจะฆ่าหนานกงเย่ให้ตาย ท่านอ๋องตวนพุ่งเข้ามาจากหน้าประตู จากนั้นจึงยกกระถางดอกไม้ขึ้นมาและโยนเข้ามา แม่ทัพฉียกมือขึ้นมาปัดป้อง หนานกงเย่พาฉีเฟยอวิ๋นขยับตัวไปข้างๆ ท่านอ๋องตวน
ราชครูจวินตกตะลึง “พวกเจ้ากำลังทำอะไรหรือ?”
แม่ทัพฉีมองออกไป “พอดีเลย วันนี้พวกเจ้าสองคนพี่น้องจะต้องตาย”
ท่านอ๋องตวนมองไปที่หนานกงเย่ “พวกเจ้ากำลังไร้สาระอะไรกันอยู่?”
“เป็นการเข้าใจผิดต่างหาก” ใบหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าที่แม่ทัพฉีเกรี้ยวกราดเช่นนี้ เกรงว่าจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของอวิ๋นอวิ๋นเสียแล้ว
เมื่อสักครู่ฉีจือซานต้องการจะฆ่าคน
ท่านอ๋องตวนขัดขวางหนานกงเย่ “เจ้าออกไปก่อน”
“ไม่ได้ เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก” หนานกงเย่ส่งฉีเฟยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมแขนให้กับท่านอ๋องตวน “ประคองไว้ อย่าไปไหน อย่าห่างจากตัวข้าไปไกล คนนอกห้ามเข้าใกล้อวิ๋นอวิ๋นแม้แต่ก้าวเดียว พี่รองเจ้าอยู่ที่นี่ แค้นครั้งนี้แม่ทัพฉีอยากจะชำระมานานแล้ว วันนั้นข้าและเจ้าได้ทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นที่ในวังหลวง เขาคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด หลังจากที่อวิ๋นอวิ๋นหายดีเขาก็ไม่คิดล้างแค้นเจ้าและข้า แต่มาวันนี้เรื่องของโจวไท่ได้ไปกระตุ้นเขา เขาจึงต้องการฆ่าเจ้าและข้าเพื่อระบายความเกลียดชังนี้”
ท่านอ๋องตวนขยับริมฝีปาก “ไร้สาระ มีลูกแล้วตั้งเท่าไร พวกเจ้ายังจะทะเลาะกันอีก แม่ทัพฉียังคิดแค้นเช่นนี้อีกหรือ?”
“เจ้าไม่เข้าใจ!”
หนานกงเย่ส่งฉีเฟยอวิ๋นให้กับท่านอ๋องตวน และมองด้วยความเป็นกังวล “อวิ๋นอวิ๋น เจ้ารีบฟื้นขึ้นมาสิ!”
เมื่อพูดจบหนานกงเย่ก็หันกลับไปประจันหน้ากับฉีจือซานและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตัดสินความเป็นความตาย