องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 7 การแย่งชิงระหว่างสองท่านอ๋อง
บทที่ 7 การแย่งชิงระหว่างสองท่านอ๋อง
บทที่ 7 การแย่งชิงระหว่างสองท่านอ๋อง
ในมือของอาอวี่ถืออาวุธอยู่ เป็นอาวุธที่ใช้ในสมัยก่อน ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร รู้เพียงแต่ว่ามันเป็นอาวุธประเภทปา สะบัด บิน
“นี่คือสิ่งที่เจ้าติดค้างข้า”
อาอวี่พูดพร้อมกับย่อตัวลง ฉีเฟยอวิ๋นเองไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งๆ นั้นก็พุ่งเข้าเสียบกลางอกของเธอ ฉีเฟยอวิ๋นร้องด้วยความเจ็บปวด จากนั้นอาอวี่ก็ดึงอาวุธสิ่งนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ แล้วพูดกับฉีเฟยอวิ๋นเบาๆ ว่า : ” ไปตายซะ!”
พูดจบเขาก็ถีบฉีเฟยอวิ๋นทันที ด้านหลังเธอเป็นเขา ฉีเฟยอวิ๋นจึงกลิ้งตกลงเขาไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่อยู่ในถ้ำไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ได้เลยว่าเขาแล้งน้ำใจแค่ไหน!
ฉีเฟยอวิ๋นที่กำลังกลิ้งลงไป ความทรงจำก็กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง ในตอนแรกอาอวี่เองมีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง แต่เป็นเพราะฉีเฟยอวิ๋นสงสัยว่าน้องสาวของอาอวี่คิดไม่ซื่อกับหนานกงเย่ จึงสั่งคนไปจับตัวน้องสาวของอาอวี่มา ตอนนั้นน้องสาวของอาอวี่ตื่นตระหนกตกใจกลัวมาก ในขณะที่กำลังหลบหนีก็ไปชนเข้ากับรถม้า จนเสียชีวิตกลางถนน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาอวี่ก็เกลียดฉีเฟยอวิ๋นเข้าไส้
อาอวี่กลับเข้าไปยังถ้ำ รายงานการปฏิบัติภารกิจกับท่านอ๋องเย่ : “กราบทูลท่านอ๋อง ข้าน้อยได้จัดการปลิดชีพนางแล้วขอรับ”
หนานกงเย่ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว กำมือแน่นอย่างไม่รู้สึกตัว เงียบงันอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ข้าแค่ให้เจ้าทำให้นางสลบ แต่ช่างปะไร ผู้หญิงแบบนี้ ตายเสียได้ก็ดี”
อาอวี่พูดอย่างไม่มั่นใจว่า : “บางทีนางอาจจะยังไม่ตาย แต่เพียงแค่ตกเขาไปขอรับ”
หนานกงเย่หลับตาลง แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืด
อาอวี่รู้สึกสงสัยว่าวันนี้ตัวเขาเองได้ทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้น ถอนลมหายใจ การเกิดใหม่ในร่างของผู้อื่น ทำไมถึงได้ซวยอะไรแบบนี้
แต่เป็นแบบนี้ก็ดีไปอีกอย่าง คิดว่าเธอตายไปแล้ว เธอจะได้พักฟื้นอยู่ที่นี่
ผ่านไปคืนหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นราวกับได้ชีวิตใหม่ เพียงแต่รู้สึกว่าร่างกายของเธอเหมือนมีอะไรบางอย่างจะออกมา แต่กลับถูกกดเอาไว้
ดีที่มียาชีวภาพร่างกายของเธอจึงฟื้นฟูได้เร็ว พักไปหนึ่งคืน ก็สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นจากพื้น กวาดตามองไปรอบๆ หาจุดที่สามารถปีนขึ้นไปได้ แล้วจึงค่อยๆ ปีนขึ้นไป
เมื่อเธอขึ้นไปถึงด้านบนก็ปาไปเที่ยงวัน จะว่าไปก็ถือว่าซวยซ้ำซ้อน เพิ่งขึ้นมาถึงก็เจอเฉินอวิ๋นเอ๋อร์และพรรคพวกกำลังผ่านมาพอดี
แต่รอบนี้คนน้อยกว่ารอบที่แล้ว
มีแค่พี่เลี้ยงเพียงไม่กี่คนที่ติดตามมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะมีเรื่อง จึงรอให้พวกเขาผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคนพวกนั้นจะหยุดเดินเพื่อชมวิว และเห็นเธอเข้าในที่สุด
ทันใดนั้นเอง โจวเหม่ยก็ชี้มือไปที่ฉีเฟยอวิ๋น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูนั่น ทุกคนรีบมาดูเร็ว นั่นพระชายาเย่นี่นา! ทำไมถึงไม่อยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
คนทั้งกลุ่มพากันอุทานด้วยความแปลกใจ เพียงครู่เดียว ทุกคนก็พากันไปยืนอยู่ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นที่หลบไม่ได้แล้ว จึงทำได้แค่เดินขึ้นมาด้านบน ฉีเฟยอวิ๋นจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองพร้อมกับมองไปที่เฉินอวิ๋นเอ๋อร์
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์มองออกว่าฉีเฟยอวิ๋นพักอยู่ในเขาทั้งคืน รวมถึงเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ จึงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาในใจ
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์พูดขึ้นเสียงดัง : “ข้าก็นึกว่าใครไปทำอะไรไม่ดีไม่งามอยู่ข้างล่างนั่น ที่แท้แล้วก็เป็นพระชายาเย่นี่เอง พระชายาเย่ขี้เล่นขนาดนี้เชียว?”
“คุณหนูเฉิน เจ้าเกิดปีจอหรือ? เห็นคนเป็นต้องไล่กัดไปทั่ว?” ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบก็เดินไปข้างหน้า โดยไม่ได้สนใจอะไรต่อ
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์กำมือไว้แน่น : “ฉีเฟยอวิ๋น ถ้าเจ้ายังไม่กลับมาขอโทษข้า ข้าจะให้เจ้าสูญเสียทุกอย่างแม้แต่เกียรติภูมิและชื่อเสียงเรียงนาม แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ฉีเฟยอวิ๋นหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คุณหนูเฉินเองยังไม่กลัวว่าลิ้นตัวเองจะเน่า แล้วข้าจะกลัวทำไม?”
พูดจบฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่สนใจไยดีเฉินอวิ๋นเอ๋อร์อีก เธอสาวเท้าเดินออกไปทันที เฉินอวิ๋นเอ๋อร์โมโหจนกระทืบเท้าไม่หยุด
ฉีเฟยอวิ๋นที่เดินไปไกลแล้ว ก็แอบหัวเราะขึ้นเบาๆ เจ้าของร่างเดิมทำไมถึงไปแพ้ให้กับคนแบบนั้นได้!
เมื่อกลับถึงจวนบัญชาการทหาร ฉีเฟยอวิ๋นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนอนพักผ่อน
แต่วันเวลาดีๆ ไม่เคยยืนยาว ไม่นาน ก็มีคนปล่อยข่าวโคมลอยที่ฉีเฟยอวิ๋นทำเรื่องไม่ดีไม่งาม จนเรื่องบานปลายไปกันใหญ่
ข่าวคราวเรื่องนี้ดังไปถึงพระกรรณองค์จักรพรรดิ
เวลานี้องค์จักรพรรดิสูงสุดทรงพระราชดำริว่าจะทำอย่างไรให้หนานกงเย่ส่งฉีเฟยอวิ๋นกลับไปยังจวนบัญชาการทหาร เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็ทรงรับสั่งให้องค์รัชทายาทไปหาวิธีจัดการทันที
“อวิ๋นอวิ๋น ฝ่าบาททรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า” นายพลฉีที่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็รีบวิ่งไปหาฉีเฟยอวิ๋นทันที
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเหมือนว่ากำลังเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้น
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามนายพลฉีเข้าวังไป
เมื่อเปรียบเทียบกับการเข้าวันของรอบที่แล้ว ครั้งนี้ถึงว่าง่ายขึ้นมากแล้ว เมื่อลงจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นก็ประคองนายพลฉีแล้วเดินเข้าวันไปพร้อมกัน
เวลานั้นเอง ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นเข้ากับรถม้าที่งดงามจอดอยู่หน้าประตูทางเข้าวัง ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามขึ้นอย่างสงสัย : “ท่านพ่อ รถม้าที่หน้าประตูใหญ่เป็นของใครกัน ดูแล้วคุ้นตาจัง”
“เรื่องมันยาว ข้าจำไม่ได้แล้ว!”
นายพลฉีไม่สะดวกจะพูดมาก จึงกลืนคำพูดลงคอไป
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ เดินตามนายพลฉีเข้าไปในพระตำหนักเฟิ่งอี๋
เมื่อถึงหน้าประตูพระตำหนักเฟิ่งอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นก็มองเห็นคนคนหนึ่ง อายุต่างจากเธอไม่มาก ใส่ชุดสีเหลืองห่าน เสื้อคลุมถูกปักด้วยขนนกจำนวนมาก สีผมดำสนิท คางเชิดสูง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่สง่างาม
จู่ๆ ฉีเฟยอวิ๋นก็หยุดเดิน เมื่อมองดูแผ่นหลังของคนผู้นี้แล้ว เหมือนจะมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นในใจเธอ
เพียงครู่เดียวความทรงจำบางอย่างก็พุ่งเข้ามาในหัวของฉีเฟยอวิ๋น ท่านอ๋องเย่หนานกงเย่มีคู่หมั้นหมายตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะเป็นการหมั้นหมายในวัยเด็ก แต่เพราะอยู่ใกล้ชิดกันมานาน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงดีขึ้นเรื่อยๆ
และจะแต่งงานเมื่อทั้งคู่เติบโตแล้ว แต่เพราะความพัวพันของฉีเฟยอวิ๋น งานแต่งงานที่วาดฝันไว้ของหนานกงเย่ก็ยุติลง จึงมีความเกลียดชังเหมือนเช่นทุกวันนี้
และผู้หญิงที่สวมเสื้อคลุมขนนกสีแดงตรงหน้าเธอนี้ ก็คือคู่หมั้นหมายในวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันของหนานกงเย่ จวินฉูฉู่
เสียดายผู้หญิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้ เป็นเพราะการปรากฏตัวของฉีเฟยอวิ๋น จึงไปแต่งงานกับท่านอ๋องตวน หนานกงเหยี่ยน
องค์จักรพรรดิสูงสุดมีโอรสทั้งหมดสามองค์ พระโอรสคนโตเป็นองค์รัชทายาท (องค์จักรพรรดิอวี้ตี้คนปัจจุบัน) ส่วนโอรสคนรองคือท่านอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยน และโอรสคนเล็กก็คือท่านอ๋องเย่หนานกงเย่
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ (องค์รัชทายาท) กับหนานกงเย่มีพระมารดาเป็นองค์เดียวกัน เป็นโอรสของพระพันปี ส่วนท่านอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยนเป็นโอรสของพระมเหสีคนก่อนตำหนักทิศตะวันตก
ที่น่าแปลกก็คือ โอรสขององค์จักรพรรดิสูงสุดมีเพียงสามพระองค์เท่านั้นที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ในปัจจุบัน พระพันปีได้กำเนิดองค์รัชทายาทตั้งแต่พระนางยังทรงพระเยาว์ โอรสที่เหลือได้สิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว
เหลือเพียงหนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยน ที่พระชนม์ชีพต่างกันมาก องค์หนึ่งถือกำเนิดก่อน และอีกองค์หนึ่งถือกำเนิดให้หลัง
องค์รัชทายาทร่างกายบอบบาง ไม่เกียจคร้านผัดวันประกันพรุ่ง และดูแลหนานกงเย่กับหนานกงเหยี่ยนเอาสองพระองค์เป็นอย่างดี
แม้ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะทรงยังอยู่ในวัยหนุ่ม แต่กลับไม่มีโอรสและธิดา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้คนในเมืองต้าเหลียงไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเลย ด้วยเหตุนี้ฮองเฮาคนปัจจุบันเฉินอวิ๋นชูจึงได้รับเกียรติที่จักรพรรดินีองค์อื่นไม่ได้รับ องค์จักรพรรดิจึงเอาใจพระนางเป็นพิเศษเพียงคนเดียว
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว มีความลับที่ผู้อื่นไม่รู้ ซ่อนอยู่ภายใต้สัตว์เลี้ยงตัวเพียงเดียว
จักรพรรดิไม่มีบุตร ดังนั้นมรดกของบัลลังก์ก็จะตกอยู่กับพี่น้องขององค์จักรพรรดิ แต่มีพี่น้องของจักรพรรดิกลับมีไม่มาก มีหนานกงเย่กับหนานกงเหยี่ยนเพียงสององค์
แล้วอำนาจการปกครองจะตกเป็นของใครกัน มองเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าการอยู่ใกล้ชิดและห่างไกลนั้นย่อมมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน
ประวัติครอบครัวของจวินฉูฉู่ ท่านปู่ของพระนางเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน บิดาของพระนางเป็นนายพลใหญ่เจิ้นหย่วน ส่วนน้าสาวสมรสกับพี่ชายของเฉินอวิ๋นชูฮองเฮาคนปัจจุบัน ความสัมพันธ์แบบนี้ไม่มีที่ไหนอีกแล้ว
ในตอนแรก ภูมิหลังของฉีเฟยอวิ๋นเองก็ใหญ่พอควร ถ้าคิดจะสู้เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ ก็เพียงแค่ต้องแต่งงานในร่างเจ้าของเดิม
แต่หากเปรียบเทียบแบบนี้ เจ้าของร่างเดิมจะมีมลทินทันที
ไม่เหมือนจวินฉูฉู่ที่ความเป็นจริงกำลังใกล้เข้ามาเต็มที
ความประหลาดใจวนเวียนอยู่ในหัวของฉีเฟยอวิ๋น ถ้าหากไม่มีเจ้าของร่างเดิม หนานกงเย่ก็ได้แต่งงานกับจวินฉูฉู่ จักรพรรดิองค์ต่อไปก็คงจะเป็นหนานกงเย่
ถึงแม้ว่านายพลฉีจะไม่ได้เข้าข้างและสนับสนุนหนานกงเย่ แต่ด้วยความสัมพันธ์ของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน นายพลฉีจึงจำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม
เพียงแต่วันนี้ ถึงแม้ว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะทรงประสงค์จะให้หนานกงเย่เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ เกรงว่าคณะเสนาบดีและเหล่าขุนนางคงจะไม่เห็นด้วย
เมื่อเข้าใจถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เข้าใจในความเกลียดชังของหนานกงเย่ที่มีต่อเธอ
แยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม เจ้าของร่างเดิมได้เสียชีวิตไปแล้ว
และเธอเองก็แค่ซวย ที่ต้องมาแบกรับมันต่อ
เมื่อเดินมาจนถึงหน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นและนายพลฉีถึงหยุดลง จวินฉูฉู่หมุนตัวมาเจอฉีเฟยอวิ๋นพอดี นางก้มหน้าลงเล็กน้อย
ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูง มิน่าล่ะหนานกงเย่ถึงได้หลงนางขนาดนี้ ผู้หญิงแบบนี้หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนึกในใจ เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย
ยังจะดันทุรังขนาดนั้น!
**********************