องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 706 ถูกหลอก
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 704 ถูกหลอก
ตามหวาชิงไปยังเนินเขาสิบลี้จากนั้นหว่าชิงถามว่า: “เฉินอวิ๋นเอ๋อร์แต่งงานกับอ๋องตวนท่านรู้หรือไม่?”
“รู้” ฉีเฟยอวิ๋นถูกถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จู่ๆถามเรื่องเหล่านี้ไปทำไม
“เฉินอวิ๋นเอ๋อร์แต่งเข้าจวนอ๋องตวนแล้ว ท่านว่าข้าแต่งเข้าจวนอ๋องเย่ได้หรือไม่?” หวาชิงถามจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นหยุดลง ในสมองคิดถึงเรื่องราวของหวาชิงอยู่กับหนานกงเย่
“แม่ทัพน้อย……”
“ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ?” หวาชิงหยุดมองฉีเฟยอวิ๋นจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที
“ชิงเอ๋อร์”
ความรู้สึกที่ถูกคุกคามนั้นไม่ค่อยดี ฉีเฟยอวิ๋นนั้นรู้สึกว่าอึดอัดไปทั้วทั้งร่าง
หวาชิงมือไขว้หลังอย่างจริงจัง: “หากข้ากลายเป็นพระชายารองเย่ก็จะสามารถเจอท่านทุกวันและตามธรรมเนียมข้าต้องน้อมทักทายท่านทุกวัน แน่นอนว่าในเมืองต้าเหลียงเราก็มีภรรยาสองคนที่อยู่กับสามีด้วยกันและสามารถอยู่บนเตียงเดียวกัน
เมืองต้าเหลียงนั้นขณะที่อดีตจักรพรรดิทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เคยมีเรื่องพี่น้องอยู่บนเตียงเดียวกัน ข้าเชื่อว่าท่านนั้นรู้ แม้ว่าท่านจะไม่รู้หนานกงเย่นั้นรู้สินะ? ”
“เช่นนั้นหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เรื่องเหล่านี้จริงๆ แต่หลังจากคิดอย่างละเอียดแล้วในใจของฉีเฟยอวิ๋นก็สับสนวุ่นวาย เป็นเวลาเนิ่นนานจึงได้ยิ้มอย่างจนปัญญาแล้วหันกลับมาเดินไปทางเนินเขาสิบลี้
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดแต่กลับสงบลงแล้ว
หวาชิงตามฉีเฟยอวิ๋นแล้วถามว่า: “ความสัมพันธ์เรื่องสามีภรรยาในห้องนอนของท่านยังดีอยู่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบไปยังหวาชิงด้วยท่าทีเศร้าสร้อย: “ชิงเอ๋อร์ ท่านรู้ไหมว่าสามีภรรยาทำสิ่งใดบนเตียงเดียวกัน? ไม่ใช่แค่จับมือ ท่านดูข้า ท่านมองดูข้ายักคิ้วหลิ่วตากันไปมาเช่นนั้นท่านรู้หรือไม่?”
“ก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำไมหรือ?” หวาชิงทำหน้าราวกับไม่มีสิ่งใด
“หากท่านต้องการแต่งงานกับท่านอ๋องก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินต่อไป หวาชิงพูดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดทางซึ่งฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่ได้สนใจ แต่หวาชิงกลับมีใจยิ่งนักและรื่นเริงบันเทิงเองอย่างพึงพอใจ
ถึงยังเนินเขาของเนินเขาสิบลี้หูของฉีเฟยอวิ๋นถึงได้เงียบสบาย หวาชิงก็ขึงขังขึ้นมา
“ท่านมา ข้าจะแบกท่าน!” หวาชิงเดินไปยังด้านหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเตรียมพร้อมที่จะแบกฉีเฟยอวิ๋นขึ้นเขา ฉีเฟยอวิ๋นมองหวาชิงราวกับมองสัตว์ประหลาดเช่นนั้น
หวาชิงทนรอไม่ไหว: “ขึ้นมา ข้าจะแบกท่านขึ้นไป ท่านอ่อนแอเช่นนี้ขึ้นไปไม่ได้หรอก”
“ไม่จำเป็น ไม่ใช่ว่าข้าจะขึ้นไปไม่ได้ ท่านดูแคลนข้าเกินไปแล้ว ข้าขึ้นไปได้”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อมออกแล้วเดินขึ้นด้านบน หวาชิงตามไป: “หากท่านเดินไม่ไหวก็บอกข้า ข้าแบกท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่ได้สนใจหวาชิงแต่กลับเป็นกังวลว่าหวาชิงจะหลอกนางมา
ทั้งสองเดินขึ้นไปโดยที่ฉีเฟยอวิ๋นเดินอย่างกระฉับกระเฉงหวาชิงรู้สึกงุนงง: “ท่านเติบโตขึ้นมาในเมืองหลวง เหตุใดท่านถึงเดินขึ้นเขาได้ราวกับโบยบิน?”
“ข้าไม่มีสิ่งใดทำก็ชื่นชอบออกมาปีนเขาดังนั้นจึงไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้ร่างกายของข้าไม่ค่อยดี หากเป็นเมื่อก่อนจะเดินได้เร็วกว่าเจ้า”
“ช่างโม้!”
ใบหน้าหวาชิงแดงขึ้น พอยิ้มขึ้นมานั้นราวกับเด็กคนหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นเลิกคิ้วมองไปแล้วชาไปทั่วร่าง
ทั้งสองเดินไม่ช้า ฉีเฟยอวิ๋นนั้นไม่นานนักก็เดินไม่ไหวแล้ว พอเดินไปถึงครึ่งทางฉีเฟยอวิ๋นก็พิงต้นไม้ใหญ่พักผ่อน
หวาชิงยังคงผ่อนคลายนัก: “ข้าแบกท่าน?”
“ไม่ต้อง ข้าขึ้นไปได้ ท่านแน่ใจหรือว่าด้านบนมีคนอาศัยอยู่ ครั้งที่แล้วขณะที่ข้ามาข้าเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ลงไปแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นหายใจเหนื่อยหอบจึงได้นั่งลง
หวาชิงเหลือบมองไปยังแต่ละทิศทาง: “ใกล้จะถึงแล้ว หากท่านเหนื่อยพวกเราพักกันครู่หนึ่ง”
“พักครู่หนึ่งเถอะ ท่านอย่าได้เดินไปเรื่อยเปื่อย ที่นี่มีแมงป่องและตะขาบอยู่ ท่านอย่าให้ถูกกัดนะ”
“ข้าไม่กลัว!”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นมองหวาชิงราวกับมองท่าทางอันซื่อบื้อ
หวาชิงจึงได้นั่งลงและพิงอยู่ข้างๆฉีเฟยอวิ๋น ศีรษะเอนลงมาพิงบนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นด้วยท่าทางอันมีความสุข
ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยมากจริงๆจึงพิงต้นไม้อยู่ครู่หนึ่ง
หวาชิงก็หลับไปแล้ว ไม่เคยหลับสบายเช่นนี้มาก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นหวาชิงก็ไม่อยู่แล้วและท้องฟ้ามืดเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นแล้วตามหาหวาชิงไปทั่วทุกทิศ ในเวลานี้ต้นหญ้าและต้นไม้ฟื้นตัว วัชพืชบนพื้นดินเริ่มงอก ฝนตกกระหน่ำรอบหนึ่งทำให้เกิดหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมามากมาย ยิ่งเป็นบนเขาอันมีแสงแดดเพียงพอ
หญ้าและต้นไม้เติบโตจนถึงครึ่งหนึ่งของความสูงของคน ท้องฟ้าค่ำมืดฉีเฟยอวิ๋นมองสิ่งใดไม่เห็นเลย
“หวาชิง หวาชิง……”
ฉีเฟยอวิ๋นตะโกนไปโดยรอบแต่ไม่มีใครตอบฉีเฟยอวิ๋นจึงเดินไปรอบๆ
ในเวลานี้หวาชิงกำลังกลับมาจากที่ไม่ไกลนัก จับไก่ตัวหนึ่งเพื่อเตรียมย่างกิน นางถือถุงผ้าเล็กๆซึ่งทำด้วยเส้นไหมเงินและด้านในของถุงผ้านั้นมีสว่างอยู่
นางเห็นตรงด้านฉีเฟยอวิ๋นมีคนขยับเขยื้อน พอฟังแล้วก็นึกสิ่งใดออกแล้วหยิบงูทุ่งหญ้าตัวหนึ่งที่เตรียมจะนำมากินออกมาจากกระเป๋า บีบหัวของงูทุ่งหญ้าทำให้งูทุ่งหญ้ากัดนางทีหนึ่ง
“โอ๊ย!”
หวาชิงขว้างงูทุ่งหญ้าทิ้งและนั่งอยู่บนพื้น ฉีเฟยอวิ๋นเห็นหวาชิงก็ตะโกนและวิ่งไปหาหวาชิง หวาชิงมีไฟซึ่งทำให้ฉีเฟยอวิ๋นหาหวาชิงพบได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อไปตรวจดูตรงหน้า มือของหวาชิงถูกกัด
ฉีเฟยอวิ๋นดูดพิษให้นางทันทีและใส่ยาให้นาง
หวาชิงจ้องไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “งูไม่มีพิษ เป็นงูทุ่งหญ้า”
ฉีเฟยอวิ๋นถุยเลือดออก: “ข้ารู้ แต่ก็ต้องจัดการ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้คิดสิ่งใดมากนำผ้าขาวมาพันให้หวาชิงและให้หวาชิงกินยาเม็ดหนึ่ง
“ร่างกายของงูไม่สะอาด มีพยาธิอยู่มากมายเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะติดเชื้อหรือไม่ จัดการสักหน่อยจะดีกว่า”
“แล้วท่านหล่ะ ท่านไม่กลัวหรือ?”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าสามารถถอนพิษได้ น่าจะสามารถป้องกันได้”
พยุงหวาชิงลุกขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบไก่บนพื้นขึ้นมาและจับใต้ต้นไม้ใหญ่ที่หวาชิงอยู่ก่อนหน้านี้
หวาชิงก็รู้สึกเกรงใจจึงไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ฉีเฟยอวิ๋นจัดการกับไก่และย่างไก่ด้วยวัสดุตรงนั้น หวาชิงนั่งงุนงงอยู่ตรงนั้น: “ท่านทำเป็นทุกอย่างใช่หรือไม่ ไก่ขอทานท่านก็ทำเป็น?”
“ก็ใช้ได้” ฉีเฟยอวิ๋นนำไก่ส่งให้ตรงหน้าหวาชิงและนั่งลงกินด้วยกัน
หวาชิงกล่าวว่า: “ข้าหลอกท่าน ข้าใช้งูกัดตนเอง”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เงยหน้าขึ้น: “ที่นี่สตรีมีชีวิตอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ทำร้ายตนเองเช่นนี้ แต่งงานกับฝ่าบาท ท่านอ๋อง ล้วนไม่ใช่ทางออก ด้วยฐานะเช่นนี้ของท่านควรจะหาผู้ที่ชื่นชอบถึงจะเป็นการที่สุด”
หวาชิงกัดเนื้อไก่คำหนึ่ง: “ข้าจะแต่งงานกับฉีเสี่ยวฮวน เขาจะยอมแต่งกับข้าไหม?”
“หากว่าเขามีภรรยาและลูกหล่ะ?”
“ข้าไม่สนใจ ข้ายอมเป็นน้อย”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีสิ่งใดจะกล่าวและกินไก่ของนาง
ที่จริงแล้วเวลานี้นางจะต้องเปลี่ยนยา แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อในร่างกายแต่อย่างน้อยก็บรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่ตอนนี้ข้อมือของนางเจ็บปวดยิ่งนัก
กินเสร็จฉีเฟยอวิ๋นก็ลุกขึ้น: “เพื่อนของท่านผู้นั้น ยังต้องไปไกลอีกแค่ไหน พวกเราขึ้นไปกันเถอะ”
“ขึ้นไปตอนนี้ ก้อนหินขวางทางอยู่จะเกิดเรื่องเอาได้ง่ายๆ” หวาชิงอยากพักผ่อนซึ่งนางไม่รีบร้อนกลับ
ฉีเฟยอวิ๋นยืนกรานที่จะขึ้นไป: “พยายามขึ้นไปหน่อย”
“ข้าเหนื่อยแล้ว!”
“ข้าจะแบกเจ้า!”
ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาแน่วแน่ หวาชิงกรอกตาขาวมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างดูแคลน: “ไปกันเถอะ”
หวาชิงเดินก้าวย่างขึ้นเขาจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็เดินตามไป
เนื่องจากความเจ็บปวดฉีเฟยอวิ๋นเหงื่อออกเป็นหยดๆบนหน้าผากและไม่ได้กล่าวเลยตลอดทาง ใบหน้าเย็นชาจนน่าหวาดกลัว หวาชิงพูดหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากฉีเฟยอวิ๋น รู้สึกเองว่าทำให้ฉีเฟยอวิ๋นโกรธก็ไม่เป็นการดีนางจึงไม่พูดจาเช่นกัน
เมื่อพวกเขาไปถึงยังยอดเขา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปโดยรอบไม่เห็นผู้ใดก็รู้ว่าถูกหวาชิงหลอก
“อยู่ที่ใดกัน?” ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้ว ค่ำมืดแล้วนางปวดจนทนไม่ไหวแล้ว
หวาชิงลังเล: “ข้า……ข้าหลอกท่าน!”
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นโกรธหวาชิงนั้นไร้ซึ่งความกล้าหาญจริงๆ
ฉีเฟยอวิ๋นด้วยความโมโหจึงหันหลังกลับลงจากเขา
ในเวลานี้ ผู้คนกลุ่มหนึ่งรีบเร่งมาถึงเนินเขาสิบลี้