องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 711 มีการจัดเตรียมการของตนเอง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 711 มีการจัดเตรียมการของตนเอง
ฉีเฟยอวิ๋นหรี่กระพริบตา น้ำตาหลั่งรินลงมา เธอมองมู่เหมียนที่อยู่ข้างกาย มู่เหมียนได้จากไปแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นลูบสัมผัสใบหน้าของมู่เหมียนอย่างแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า“ข้ายังมีคำที่อยากจะกล่าวพูด เหตุใดท่านถึงไปแล้วล่ะ?คนมีดวงวิญญาณ ท่านยังไม่ได้ไปใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของมู่เหมียนซีดเผือด เพราะว่าผอมจนเกินไป คล้ายดั่งคนอายุสี่สิบห้าสิบปี ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้กล่าวว่า“ข้าคิดว่าจะเอาท่านออกไปอย่างไร คิดว่าไม่กี่วันนี้จะมาเยี่ยมท่าน ฉวนเอ๋อร์บอกกับข้าว่าให้หวาชิงมา ข้าดื้อรันไม่ยอมคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเช่นนี้”
หนานกงเย่เดินมาจากที่ไม่ไกลนัก เห็นมู่เหมียนเป็นเช่นนั้น ได้กล่าวว่ารับสั่งว่า“หรงเต๋อเฟยสวรรคตแล้ว”
…….
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับไปมอง หนานกงเย่สายตาเย็นชา กล่าวว่า“ทหาร มาเอาหรงเต๋อเฟยออกไป”
ชั่วประเดี๋ยวเดียวฉีเฟยอวิ๋นได้รีบร้อน กอดมู่เหมียนไว้แน่น กล่าวว่า“อย่าเข้ามา ออกไปให้หมด”
ดวงตาคู่นั้นของหนานกงเย่อึมครึม สาวเท้าก้าวเดินเข้าหาฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ด้วยแววตาเดือดดาล กล่าวขึ้นว่า“ท่านอ๋องออกไป”
หนานกงเย่เอื้อมมือไป กดจุดของฉีเฟยอวิ๋น ตรงหน้าเธอหนักอึ้ง แล้วล้มลงไปอีกด้าน จากนั้นได้มีคนมายกหามมู่เหมียนออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นมา ก็อยู่ที่ตำหนักข้างของพระพันปีแล้ว เธอจึงลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงวิ่งออกไป
พระพันปีกำลังยืนอยู่ด้านนอกพระตำหนัก ข้างกายมีคนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งเปลือยเท้าออกมา พระพันปีได้หันกลับไปมอง เห็นว่าเธอไม่สวมใส่รองเท้า เลยกล่าวตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า“ทำอะไรกัน เตรียมรองเท้าให้พระชายา”
ไห่กงกงเป็นคนไปรับรองเท้าให้เอง จากนั้นเอากลับมาวางแล้วกล่าวว่า“เชิญพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นสวมใส่รองเท้า แล้วรีบไปถามว่า“เสด็จแม่ มู่เหมียนล่ะเพคะ?”
“เจ้าอยากไปก็ไปเถิด นางนับว่าตายในพระตำหนักเย็น ขันทีน้อยที่อยู่ข้างกายนางกล่าวว่า นางอยากเผาศพ เวลานี้ได้เผาแล้ว อยู่ทางด้านพระตำหนักเย็น”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบวิ่งไปพระตำหนักเย็น พระพันปีมองไปทางพระตำหนักเย็น และอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
ไห่กงกงเลยรีบกล่าวว่า“พระพันปี ลมแรงมาก พวกเรากลับเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีส่ายหน้ากล่าวว่า“ยืนสักครู่หนึ่ง มู่เหมียนเติบโตอยู่กับข้า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาข้าเห็นนางเป็นบุตรสาวของตนเอง ไม่สามารถไปส่งนางครั้งสุดท้ายได้ ก็มองนางอยู่ทางนี้เถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
พระตำหนักหวาหยาง
ท่านอ๋องตวนกับอวิ๋นหลัวฉวนเข้าพระราชวัง อวิ๋นหลัวฉวนร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ เพราะจะไปส่งมู่เหมียนครั้งสุดท้าย พระมเหสีหวาไร้ความสุขอย่างมาก นั่งมองบุตรสะใภ้ผู้นี้อยู่บนเก้าอี้ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้เป็นเรื่องที่ก้าวข้ามเขตแดนมาโดยตลอด พวกนางนี่ดีจริงเหมือนกับแม่กับลูกนั่นแล จึงดูนางร่ำไห้
พระมเหสีหวามองอ๋องตวนด้วยความหงุดหงิด ยังไม่เอาออกไปอีก
“ฉวนเอ๋อร์ หมู่เฟยออกหน้าไปก็ไม่ดี หากหมู่เฟยออกหน้าแล้ว ชัดเจนว่าไปดูความครึกครื้น เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ทำร้ายร่างกาย ทำให้ครรภ์ไม่สงบก็ไม่ดี หากเจ้ารู้สึกเจ็บปวดอย่างแท้จริง ก็ไปดูอยู่ด้านนอกพระตำหนักเสีย”
เพื่อหลบเลี่ยงอวิ๋นหลัวฉวน พระมเหสีหวาเลยไปที่พระตำหนักเฉาเฟิ่ง
พอมาถึงพระตำหนักเฉาเฟิ่ง พระมเหสีหวาได้ถวายความเคารพแก่พระพันปี จากนั้นเดินไปอยู่ข้างกาย แล้วกล่าวว่า
“เสด็จพี่หญิงเสียใจด้วย โปรดระงับความเศร้าโศกเพคะ”
“เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพระพันปีนั้นไม่ชอบพระมเหสีหวา ถึงอย่างไรก็ยังไม่ชอบ
“อยากมาอยู่เป็นเพื่อนเสด็จพี่หญิงเพคะ”พระมเหสีหวากล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง
พระพันปีมองไปแล้วยิ้มอย่างเยือกเย็นตรัสว่า“หรือว่าฉวิ๋นเอ๋อร์ไปแล้ว ร้องไห้คร่ำครวญอยากจะไปดูหรือ?”
“เสด็จพี่หญิงฉลาดหลักแหลมเพคะ”
พระมเหสีหวาไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง พระพันปีเหลือบมองแล้วตรัสว่า“ต่อสู้แย่งชิงตลอดชีวิต ไม่มีสิ่งที่เจ้าไม่หวงแหน ตอนที่ปฐมกษัตริย์อยู่ เพียงแต่ข้ามีเจ้าก็ต้องการ วันนี้ลูกสะใภ้คนเดียวเจ้าก็ยังจะต่อสู้ เจ้านี่แย่จริงๆ”
“พวกนางมีความคิดที่ไม่ดีเหมือนกัน จะเป็นความผิดของน้องได้อย่างไรเพคะ?”
“เช่นนั้นเป็นความผิดของข้าหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ”
พระมเหสีหวาทำหน้าตาแบบไม่ทะเลาะกับคนที่มีความรู้น้อยกว่า ทั้งสองพระตำหนักต่างมองไปทางพระตำหนักเย็น เห็นเป็นสีแดงเพลิงแล้ว เลยสงบลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“น่าเสียดายความรักลึกซึ้งของมู่เหมียน”พระมเหสีหวานึกถึงตนเองเมื่อสมัยนั้น ได้ถูกทำร้ายอย่างไร้ความปราณี
นึกถึงสิ่งเหล่านี้ ยังรู้สึกว่าปฐมกษัตริย์ดีอยู่อย่างงั้น
พระพันปียิ้ม กล่าวว่า“เจ้าเคยคิดที่จะให้หวาชิงเข้าวังหรือไม่?”
พระมเหสีหวามองไป กล่าวด้วยสีหน้าไม่มีความสุขว่า“ไม่คิดเพคะ”
“อ้อ?”
พระพันปีกล่าวอย่างตลกขบขันว่า“หากข้าคิดอยากล่ะ”
“เช่นนั้นมิสู้กับเสด็จพี่หญิงสังหารน้อง เช่นนั้นถึงสบายใจเพคะ”
พระมเหสีกล่าวจบแล้วจึงหมุนตัวเดินไป พระพันปีมองแล้วทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก
พระพันปีหันกลับมา ไห่กงกงกล่าวถามว่า“พระพันปี แม่ทัพน้อยหวาจะเข้าวังจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ได้ยินที่พระมเหสีหวากล่าวหรือ ไม่ได้”
พระพันปีก็เหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะสนใจดูแลเรื่องราวในพระราชวังอีก
ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งมาถึงพระตำหนักเย็น ด้านในเผาไฟมอดไหม้ ร่างกายของมู่เหมียนถูกเผาแล้ว
“มู่เหมียน……”
ฉีเฟยอวิ๋นจะกระโจนเข้าไป หนานกงเย่อยู่ฝั่งตรงข้าม รับสั่งให้ไปรั้งไว้ เลยมีคนรั้งฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นถูกพามาตรงหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่สวมกอดเธอ เวลานี้ไฟได้ลุกกระพือ แผดเผาคนจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
อวิ๋นหลัวฉวนรอพระมเหสีหวาไปแล้วก็มา เห็นไฟโหมกระพือตรงหน้าถึงกับชะงักงัน
อวิ๋นหลัวฉวนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ รู้เร็วกว่านี้ก็ให้มู่เหมียนไปที่จวนอ๋องตวนแล้ว
อ๋องตวนกอบกุมมือของอวิ๋นหลัวฉวนแน่น ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรกับนางเป็นดี
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งอยู่อีกด้าน จนถึงตอนที่แสงไฟเลือนหาย บนพื้นเหลือเพียงเศษผงเถ้าถ่าน
จากนั้นพระองค์จึงได้ลุกขึ้น เหลือบมองหนานกงเย่และอ๋องตวนกับคนอื่นๆ แล้วกลับออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นผละออกจากหนานกงเย่ไปดูเถ้าถ่าน พอลมพัดมันลอยล่องขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นหันมองหนานกงเย่ จากนั้นกล่าวว่า“เก็บขึ้นมา หาสถานที่ฝังเถอะเพคะ?”
“ทหาร รวบรวมเอาเถ้าถ่านบนพื้นขึ้นมา”
คนของพระราชวังรีบเก็บโกยขึ้น ทิ้งไว้บางส่วนอย่างเสียไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นเลยเอาเถ้าถ่านออกนอกพระราชวัง
หนานกงเย่พาฉีเฟยอวิ๋นมาที่ฝังศพของป้าซี แล้วเอาเถ้าถ่านฝังลงอีกด้าน
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขลุ่ยหยกมาแล้วเป่าขึ้น
หนานกงเย่มองไป คิดไม่ถึงว่าจะไพเราะน่าฟังอย่างเหลือล้น
หลังจากที่ฉีเฟยอวิ๋นแสดงความเคารพเสร็จได้ลงมาจะเขา ฟ้ามืดมัวแล้ว อ๋องตวนแบกอวิ๋นหลัวฉวนถึงตีนเขาจากนั้นพากันขึ้นรถม้ากลับจวนกั๋วกง
มองรถม้าที่ไกลออกไป ฉีเฟยอวิ๋นมองไปแล้วกล่าวว่า“ว่ามาเถิด มู่เหมียนล่ะเพคะ?”
หนานกงเย่ชะงักงัน เป็นเวลานานถึงได้กล่าวว่า“มู่เหมียนไม่ได้อยู่บนเขาหรือ?”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเป็นอย่างไรหม่อมฉันไม่รู้หรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเห็นมู่เหมียนตายรู้สึกเจ็บช้ำอย่างมาก แต่มู่เหมียนเพิ่งจะตายเขาก็แยกพวกนางจากกัน นางเป็นลมได้ไม่นานเท่าไหร่ ลุกขึ้นมาศพถูกเผาแล้ว มันไม่สมเหตุสมผล
แม้เธอจะไม่รู้ว่าทำไมหนานกงเย่ทำเรื่องอย่างนี้ได้ แต่ทว่ากลับมีความสงสัย
คนที่ถูกเผาศพไม่จำเป็นต้องเป็นมู่เหมียนเสมอไป ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นเพื่อจะปิดหูปิดตาคน
หนานกงเย่จับมือฉีเฟยอวิ๋น กล่าวขึ้นว่า“มีอวิ๋นอวิ๋นอยู่ ข้าล้วนต้องอกสั่นขวัญแขวน ข้ากลัวจริงๆว่าวันหนึ่งอวิ๋นอวิ๋นไม่มีความสุขแล้วจะกบฎ พอถึงเวลานั้นข้ากลัวว่าแม้แต่โอกาสที่จะมีชีวิตรอดนั้นล้วนไม่มี”
“ท่านอ๋องรู้ว่าไม่มีก็ดีเพคะ”ในใจของฉีเฟยอวิ๋นไม่มีความกดดัน จิตใจสงบมาก กล่าวถามหนานกงเย่ว่า“มู่เหมียนล่ะเพคะ?”
“กลับก่อนเถอะ สองวันนี้ยังเจอนางไม่ได้ รอสองวันค่อยหาโอกาส แน่นอนว่าจะได้เจอ”
“อือ”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่ามู่เหมียนมีชีวิตอยู่ ก็วางใจแล้ว
เมื่อก่อนเธอก็คิดที่จะเอามู่เหมียนออกไป ดีที่สุดคือแกล้งตาย คิดไม่ถึงว่าหนานกงเย่จะทำก่อนแล้ว
ระหว่างทางกลับฉีเฟยอวิ๋นถามว่า“เหตุใดเวลาเช่นนี้ท่านอ๋องถึงได้ทำเรื่องนี้เพคะ ก่อนเหตุการณ์ก็ไม่ได้ปรึกษาหารือกับหม่อมฉันด้วย”
“ก่อนเกิดเหตุการณ์มาปรึกษาหารือ แน่นอนว่าอวิ๋นอวิ๋นจะต้องร้องไห้ไม่สมจริง อีกอย่างเวลานี้ร่างกายของอวิ๋นอวิ๋นค่อนข้างมีความจำเพาะ ไม่เหมาะที่จะช่วยคน แล้วก็ช่วยไม่ได้ พอดีกับเป็นโอกาสนี้”
หนานกงเย่กล่าวพูดมีเหตุผล ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ถามอะไรมาก