องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 712 ท่านมาแล้ว ข้าถึงไม่เสียดายที่ตาย
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 710 ท่านมาแล้ว ข้าถึงไม่เสียดายที่ตาย
หมอหลวงหูตัวสั่นระริกกล่าวว่า“กราบทูลพระพันปี เกรงว่าหรงเต๋อเฟยจะเหลือเวลาไม่มากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”พระพันปีหน้าถอดสี หมอหลวงหูเลยรีบโขกศีรษะก้มลง
“ออกไปเถิด”หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา หมอหลวงหูคล้ายดั่งความหวังสุดท้าย จากนั้นได้ลุกขึ้นแล้วออกไป
มู่เหมียนมองพระพันปี แล้วกล่าวว่า“พระพันปี พระองค์กลับเสียเถิดเพคะ หม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากจะพูดคุยกับพระชายาเย่เพคะ”
พระพันปีถึงได้ลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก
หนานกงเย่ก็เช่นกัน
พอคนไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงร่ำไห้ออกมา กล่าวว่า“เป็นความผิดของข้า ข้าเรียนไม่แจ่มกระจ่าง ก่อนหน้านี้หากว่าข้าศึกษาค้นคว้าการแพทย์แผนจีนอย่างช่ำชอง ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้”
“ไม่ใช่หรอก ข้าอยากจะตาย ต่อให้ท่านจะปกป้องข้าอย่างไร ก็คือเสียแรงเปล่า”มู่เหมียนยิ้มชั่วครู่หนึ่ง แววตาสดใสขึ้นมาก
“ข้าไม่อยากเจอผู้ใดเลย ข้ามีแต่อยากจะเจอเพียงท่านเท่านั้น ฉีเฟยอวิ๋น ข้าชอบอยู่กับท่าน แม้ว่าจะเกรี้ยวกราดอย่างไร แต่ท่านก็ไม่เลวร้าย ท่านก็ไม่ได้ทำร้ายข้า เพราะฉะนั้นข้าชอบท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นมองมู่เหมียน แล้วกล่าวว่า“ท่านอ๋องเย่ได้ยิน น่าจะไม่พอใจแน่”
ไม่รู้ว่าทำไม ฉีเฟยอวิ๋นถึงร้องไห้ไม่ออกอย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเสียใจ เธอเพียงแค่มองมู่เหมียนอยู่อย่างนั้น นอกจากสงสารก็ไม่มีอย่างอื่น
มู่เหมียนลุกขึ้นช้าๆ หยิบขลุ่ยหยกออกมาจากใต้หมอนกล่าวขึ้นว่า“ข้าไม่มีสิ่งใดจะให้ท่าน ขลุ่ยหยกนี้เป็นสิ่งของที่ข้าชื่นชอบที่สุด ข้ามอบแก่ท่าน หากท่านมีใจคิดถึงข้า หยิบออกมาดูบ้างยังดี หากว่าไม่ชื่นชอบแล้ว ทิ้งมันไปเลยยังได้
ข้าใช้ชีวิตเพียงพอแล้ว ข้าอยากไปหาซู่ซู่ แต่ไม่รู้ว่าซู่ซู่นั้นอยู่แห่งในใด?”
มู่เหมียนชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋นแล้วอยากลงจากเตียง ฉีเฟยอวิ๋นจึงประคองนางลงมาจากเตียง ทั้งสองเดินออกมาจากห้อง พระพันปีนั้นยังไม่ได้กลับไป เพียงแค่รออยู่ด้านนอกพระตำหนัก
เวลานี้หวังฮวายเต๋อและชุนหยางจวิ้นจู่มาแล้ว พอเห็นบุตรสาวที่โรยราจะไม่ไหวแล้วจึงได้ร้องไห้โฮออกมา
“หุบปากให้หมด ร้องไห้ทำไมกัน?”
พระพันปีกล่าวตรัสด้วยความโมโห หวังฮวายเต๋อสามีภรรยาเลยอดกลั้นน้ำตาไว้
องค์จักรพรรดิได้รับความประสงค์ถึงได้เดินเข้ามาจากด้านนอก พอเจอมู่เหมียนแล้วถึงกับชะงักงัน ตั้งแต่มู่เหมียนเข้าที่พระตำหนักเย็น ทั้งสองไม่ได้เจอกันอีกเลย และมู่เหมียนเองไม่ยินยอมพบพระองค์ด้วย
มู่เหมียนเห็นองค์จักรพรรดิอวี้ตี้นางเพียงแค่ขมวดคิ้วขึ้น มองอยู่ครู่หนึ่งแต่ทว่ากลับไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ร่างกายของนางอ่อนแอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่นางไม่ได้อยากจะสิ้นใจตายในพระตำหนักเย็น
“เหมียนเอ๋อร์”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เรียกมู่เหมียนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในใจของพระองค์ก็รู้สึกเป็นทุกข์
มู่เหมียนยิ้มกล่าวว่า“ฝ่าบาท ช่วงนี้สบายดีหรือไม่เพคะ?”
“ข้าสบายดี เจ้าไม่สบาย ภายในใจของข้านั้นก็รู้สึกไม่ดี”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เคยเป็นห่วงสงสารมู่เหมียน เห็นมู่เหมียนเป็นเช่นนี้ พระองค์เจ็บปวดใจอย่างที่สุด
นึกถึงความรักไมตรีจิตที่ผ่านมา องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เลยขยับเข้าหา
แต่ทว่ามู่เหมียนกลับกล่าวขึ้นว่า“อย่าเข้ามา มู่เหมียนรับไม่ได้ สิ่งที่ไม่ใช่ของมู่เหมียน มู่เหมียนไม่อยากหวงแห ฝ่าบาทเก็บไว้เถิดเพคะ เก็บไว้ให้เหล่าคนที่ชื่นชอบ”
มู่เหมียนมองฉีเฟยอวิ๋น จ้องมองลึกเข้าไปในหัวใจแล้วกล่าวว่า“ฉีเฟยอวิ๋น ท่านส่งข้า ข้าอยากให้ท่านส่งข้า อย่างน้อยท่านก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า ประคองมู่เหมียนออกไป
บริเวณโดยรอบเงียบสงัดชั่วขณะ หวังฮวายเต๋อตระหนักสิ่งที่บุตรสาวกล่าวพูดได้ทันทีว่า คนที่อยู่ที่แห่งนี้นอกจากฉีเฟยอวิ๋นแล้ว คนอื่นล้วนอยากทำร้ายนาง
ออกมาแล้วมู่เหมียนได้พูดวิธีการเป่าขลุ่ยหยกกับฉีเฟยอวิ๋นว่า“หากท่านเป่าไม่เป็น สามารถให้หนานกงเย่สอนได้ เขาเป่าเป็น ตอนเด็กเขาชอบขลุ่ยหยกของข้า อยากจะเอาไป ข้าบอกว่าหากเขาเป่าเป็นข้าจะให้เขา เขาเคยเอาไปเป่า เสียงอะไรต่างๆล้วนไพเราะดีหมด แต่น่าเสียดายที่ข้าตัดใจให้ไม่ลง อีกทั้งยังปลิ้นปล้อน”
มู่เหมียนกล่าวถึงเรื่องนี้ก็ตลก หัวเราะอย่างมีความสุข ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงครั้งแรกที่เจอมู่เหมียน ที่จริงมู่เหมียนชอบหนานกงเย่ นี่ถึงได้ถามขึ้นว่า“มู่เหมียน ท่านยังชอบท่านอ๋องเย่อยู่ใช่หรือไม่?”
“หากท่านยังถามข้าแบบนี้อยู่ ข้าควรจะพูดว่าใช่หรือไม่ใช่ดีล่ะ?”มู่เหมียนเหลือบมองฉีเฟยอวิ๋น มองฉีเฟยอวิ๋นที่กระอักกระอ่วนแล้ว
ไม่ใช่หรือ จะต้องตอบอย่างไรล่ะ?
“เมื่อก่อนข้าอยากแต่งงานกับหนานกงเย่มาโดยตลอด หนึ่งชอบอย่างแท้จริง สองคือไม่ยินยอม เดิมทีเขาคือสามีของข้า เหตุใดข้าถึงต้องแบ่งครึ่งทางให้ท่านล่ะ
ฉีเฟยอวิ๋น ข้าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านถึงเปลี่ยนไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็เปลี่ยนจนข้าชื่นชอบ
ผู้หญิงอยู่ที่เมืองต้าเหลียง สถานที่แห่งนี้ ต้องเป็นหมากรุกที่เป็นของเล่นในมือผู้ชายตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดมาสูงส่งเพียงใด สุดท้ายก็คือจุดจบอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
ซู่ซู่กับข้าเหมือนกัน ก็เป็นจุดจบเช่นนี้แล
ท่านน่ะหรือ?แตกต่างออกไป เพราะฉะนั้นข้าเลยชอบ เมื่อก่อนหนานกงเย่เกลียดชังท่านมาก วันนี้เอาอกเอาใจหึงหวงท่าน ข้าเป็นหญิงผู้หนึ่งอยู่กับท่าน ข้าอิจฉาริษยาจะตายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชายเลย ข้ามองก็รู้สึกระบายความโกรธ นับว่ามีคนต่อสู้เพื่อพวกเราแล้ว
ท่านดูเมืองต้าเหลียงของพวกเรา แม้จะว่าเป็นพระพันปี เมื่อสมัยนั้นรักใคร่ปรองดองกับกับปฐมกษัตริย์ แต่พอตอนสุดท้ายเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าแต่งพระชายารองหรือ แต่งพระชายารองแล้วอย่างไร ต่อมาหญิงสาวจับกลุ่มก้อนใหญ่โต?
ผู้ชายเห็นผู้หญิงเป็นเสื้อผ้า ผู้หญิงเห็นผู้ชายเป็นที่พึ่งพิง แต่ไม่รู้ว่าที่พึ่งพิงได้โยนเสื้อผ้าทิ้งไป เสื้อผ้ากลับกวัดแกว่งห่างไกลออก
ขมขื่น เกลียดชัง กล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม เศร้าโศกเสียใจ!”
ฉีเฟยอวิ๋นบีบมือมู่เหมียนแน่น กล่าวว่า“ท่านพูดสิ่งนี้ทำไมกันเล่า?”
มู่เหมียนยิ้ม กล่าวว่า“โกรธ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า“ล้วนเป็นข้าที่ไม่ดี หากข้าสามารถทำได้ดี ข้าก็สามารถช่วยท่านได้แล้ว”
“ช่วย? ข้าอยากตาย ผู้ใดก็ไม่สามารถช่วยได้ ตายแล้วข้าก็สงบเงียบ ท่านจำไว้ว่า ไม่ว่าผู้คนด้านนอกจะกล่าวอะไร ก็อย่าไปโต้เถียง ข้าต้องการให้ปุถุชนจำได้ ข้ามู่เหมียนหยิ่งผยอง ทำเรื่องเลวทราม จะต้องถูกคนประนามตลอดไป ผู้ใดก็ไม่สามารถช่วยข้าได้”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า“ท่านยังคิดจะเอาอย่างไร?”
มู่เหมียนทอดถอนหายใจออกมา“รอข้าตาย เผาศพข้า พอไฟสุมเผาอะไรมันก็ล้วนหมดสิ้นแล้ว ให้พวกเขาแต่ละคนมองดูข้าตาย ดูข้ามอดดับเป็นเถ้าถ่าน ข้ากลายเป็นผีก็ต้องการมาคิดบัญชีกับพวกเขา”
“ท่านอยากจะคิดบัญชีก็คิดบัญชีกับคนที่ต้องการจะคิดบัญชีด้วยเหล่านั้น ท่านอ๋องของข้าไม่ได้ทำให้ท่านไม่พอใจ ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างไม่พอใจขึ้น แต่ทว่าภายในใจกลับมีเลือดหยดไหล
มู่เหมียนหัวเราะเหอะๆกล่าวว่า“ได้!”
ฉีเฟยอวิ๋นมองมู่เหมียนแล้วถามว่า“ท่านกล่าวพูดเรื่องของท่าน ท่านไม่ใช่บอกว่าแต่ก่อนยังชอบท่านอ๋องเย่หรือ?”
“ชอบจริง ต่อมาเกิดเรื่องกับซู่ซู่ ข้ารู้ว่าซู่ซู่อยากให้ข้าชอบเฉินอวิ๋นเจี๋ย ข้าก็ชอบเฉินอวิ๋นเจี๋ยแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้ชอบหรอก แต่รู้สึกชื่นชมเขา ข้าเชื่อสายตาของซู่ซู่ ต่อมาได้ถูกบังคับเข้าวัง
ข้าไม่ได้ชอบฝ่าบาทเลย แต่ต่อมา ฝ่าบาทอยู่ร่วมกันกับข้า คิดไม่ถึงว่าในใจของข้ามีความรู้สึกที่แปลกประหลาด แม้ว่าพระองค์จะอายุมากแล้ว แต่กล่าวพูดมาก็แปลก ข้าใส่ใจสนใจแล้วจริงๆ”
ด้านหน้ามีศาลา ทั้งสองเลยไปนั่งลง
มู่เหมียนกอบกุมมือของฉีเฟยอวิ๋น เป็นเวลานานถึงได้กล่าวว่า“ล้วนกล่าวว่าพระองค์ชอบฮองเฮา บางทีพระองค์อาจจะไม่พอใจไม่มีความสุขที่สมัยนั้นฮองเฮาไม่ชอบพระองค์ ในใจของพระองค์เก็บซ่อนคนผู้หนึ่งไว้อยู่แล้ว คนผู้นั้นถึงใช่เป็นคนที่พระองค์ชอบ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไป เธอได้เดาสิ่งที่มู่เหมียนจะพูดออกมาเรียบร้อยแล้ว
มู่เหมียนก้มหน้าลง มองไปทางฉีเฟยอวิ๋น กล่าวว่า“ท่านกับท่านอ๋องเย่ต้องรักปรองดองกัน อยู่กันดีๆเป็นสิ่งที่ดี พระองค์เป็นพี่ชาย ชอบผู้หญิงของน้องชาย สิ่งที่โหดร้ายทำลายกฎเกณฑ์ธรรมชาติของคน สวรรค์ยากที่จะรับได้ อีกอย่างพระองค์เป็นองค์จักรพรรดิ เหตุใดถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้ได้!”
“มู่เหมียน….”
“แม้พระองค์จะไม่ได้ตรัส แต่ข้ารู้ อวิ๋นอวิ๋น…..”
มู่เหมียนจับมือของฉีเฟยอวิ๋นดึงไป ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า“ว่ามาเลย”
“อยู่ใกล้องค์จักรพรรดิก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ อย่าเชื่อคำกล่าวพูดของพระองค์ พระองค์เป็นบุคคลที่หน้าไหว้หลังหลอก ล้วนคิดว่าพระองค์มีความรู้สึกกับฮองเฮา บางทีฮองเฮาก็อาจจะถูกหลอก ฮองเฮากับพระองค์เบื่อหน่ายกันนานแล้ว?
หากพระตำหนักหลังไม่มีคน พระองค์ต้องการทำสิ่งใด ผู้ใดจะรู้?”
“อืม”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า มู่เหมียนกล่าวติดตลกว่า“ร่างกายเบามาก คล้ายดั่งจะโบยบินแล้ว ตายที่แท้เป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง!”
มู่เหมียนอิงซบบนไหล่ของฉีเฟยอวิ๋นเบาๆแล้วหลับตาลงช้าๆ กล่าวว่า“เดิมข้าจะไปตั้งนานแล้ว ข้าหายใจยาวๆเพื่อรอท่านมา ท่านมาข้าถึงลงจากเตียงได้ ถึงเดินออกมาจากสถานที่มืดมิดนั้นได้ ท่านไม่รู้หรอก ตัวคนเดียว ยามค่ำคืนฟังเสียงหนูกัดฟันร้องจิกจั๊กๆ มันน่ากลัวแค่ไหน!”
มือของมู่เหมียนปล่อยวางลงช้าๆ ฟังนางทอดถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย กล่าวว่า“ท่านมาแล้ว ข้าถึงไม่เสียดายที่ตาย!”