องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 721 องค์หญิงใหญ่บีบบังคับ
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 721 องค์หญิงใหญ่บีบบังคับ
เรือนหน้าได้วุ่นวายใหญ่เสียแล้วแต่เรือนหลังกลับวิจิตรงดงาม
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนแรงหนานกงเย่อุ้มนางไปอาบน้ำและกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน จากนั้นทั้งสองคนก็ไปดูแม่ทัพฉีทางโน้นด้วยกัน
ในเวลานี้องค์หญิงใหญ่ทรงโมโหยิ่งนัก: “แม่ทัพฉีท่านอย่าได้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เหล้าคารวะไม่ดื่มดื่มเหล้าลงโทษ ข้าขอร้องให้ท่านอยู่เช่นนี้แต่ท่านยังไม่ยอมอยู่ ท่านต้องการจะกบฏแล้วจริงๆใช่หรือไม่ แม่ทัพผู้สง่างามแห่งเมืองต้าเหลียงท่านจะไปที่ใดกัน?
นอกจากเมืองต้าเหลียงแล้วใครจะยังรับท่านอยู่อีก? ”
แม่ทัพฉีไม่ค่อยคัดค้านองค์หญิงโหญ่แล้วก็ยิ่งไม่ขุ่นเคืองต่อองค์หญิงโหญ่
เรื่องของเขากับองค์หญิงใหญ่เป็นเสมือนกุญแจมือ ทำให้เขาเห็นองค์หญิงโหญ่แล้วราวกับหนูเห็นแมว
แต่วันนี้แม่ทัพฉีไม่มีความสุข: “นางเป็นลูกสาวของข้า ความทุกข์ทรมานที่นางได้รับพวกท่านเคยสนใจเมื่อใดกัน? ขณะที่ข้าไม่อยู่นางอยู่ในเมืองหลวงเพียงลำพัง คนเช่นโจวไท่รังแกนาง ผู้ที่รังแกนางนั้นมีเท่าไหร่?
ข้าเพียงแค่ต้องการออกไปจากที่นี่ ไม่ได้สนใจสอบถามสิ่งต่างๆที่นี่ และไม่ต้องการให้อวิ๋นอวิ๋นทนลำบาก”
“ท่านแม่ทัพ กล่าวเช่นนี้มีเนื่องด้วยยังมีผู้ใดรังแกพระชายาเย่อีกหรือ? ” ฮูหยินกั๋วกงฟังเข้าใจนี่เป็นความไม่พอใจต่อคนบางคน
แน่นอนว่าผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน แต่ผู้ใดจะกล้ากล่าวถึงเรื่องของฝ่าบาทองค์ปัจจุบันมากนักซึ่งก็ยังต้องพึ่งพาองค์หญิงใหญ่ไม่ใช่หรือ?
แน่นอนว่าใบหน้าขององค์หญิงใหญ่ทรงหมองลง แล้วมองไปยังแม่ทัพฉี: “เป็นฝ่าบาทใช่หรือไม่?”
“เป็นผู้ใดก็เหมือนกัน ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วพวกท่านก็อย่าได้สนใจเลย ในเมื่อฝ่าบาทได้คิดที่จะให้หย่ากับอวิ๋นอวิ๋นและพระราชทานการอภิเษกสมรสให้กับอ๋องเย่อีก เช่นนั้นจวนแม่ทัพหวาก็ไม่เลวภายภาคหน้าก็คงจะให้กำเนิดอีกสิบคนแปดคน เพื่อมิให้ถึงเวลาหลานๆเหล่านี้ของข้าถูกรังแกข้าจะให้พวกเขาอยู่ข้างกายข้า”
องค์หญิงใหญ่ทรงฟังออก เป็นปัญหาที่ฝ่าบาททรงสร้างขึ้นมาอีกแล้ว
“แม่ทัพหวา” องค์หญิงใหญ่ทรงหันกลับมามองจนทำให้แม่ทัพหวาตัวสั่นเทา
“องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมอยู่นี่”
“ข้าว่าหวาชิงของครอบครัวเจ้าหาครอบครัวของสามีไม่ได้แล้วหรือ? หวาชิงของครอบครัวเจ้าข้านั้นถูกใจมาตั้งนานแล้ว เดิมทีต้องการให้เป็นภรรยาของเว่ยหลินชวนเพียงแต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาได้แต่งงานแล้ว ให้แยกจากกันก็ไม่เป็นการดีอยู่แล้ว แต่เจ้าก็ไม่ต้องถึงกับต้องรีบร้อนเช่นนี้ เพื่อที่จะเข้าจวนอ๋องเย่ต้องบีบบังคับให้อ๋องเย่หย่ากับพระชายาเย่ เรื่องนี้ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!”
กล่าวถึงเรื่องอันน่าขายหน้าทุกๆคนก็แปลกใจ ในเวลานี้ยังจะสนใจเรื่องขายหน้าหรือไม่อยู่หรือ?
แม่ทัพหวารู้สึกว่าใบหน้านั้นเร่าร้อนจริงๆและก็ช่างน่าขายหน้านัก
ดังนั้นแม่ทัพหวาจึงก้มศีรษะลงและด้วยความขลาดจึงไม่กล่าวสิ่งใด
“แม่ทัพหวา ข้าว่าให้หวาชิงของครอบครัวเจ้าไปออกบวชเถอะ อยู่ก็จะสร้างปัญหาอยู่ตลอด”
“ห๊า?”
แม่ทัพหวาตื่นตกใจ:”องค์หญิงใหญ่ ชิงเอ๋อร์ยังเด็กจะให้เข้าสู่ร่มกายสวภัคได้เช่นไร……”
องค์หญิงใหญ่สีหน้าไม่พอใจ: “ในเมื่อรู้ว่าไม่ได้ก็อย่าได้ออกมาสร้างปัญหา หวาชิงของครอบครัวเจ้ามีฐานะอะไรถึงจะเป็นฮองเฮาก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ตอนนี้ต้องการแย่งชิงตำแหน่งของพระชายาผู้หนึ่ง พูดออกไปแล้วไม่ขายหน้าหรือ?
เจ้าก็เหมือนกัน เป็นพ่อคนแล้วหลักการแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ
จะแต่งงานก็ต้องแต่งงานกับคนอย่างเว่ยหลินชวน อย่างน้อยในชีวิตนี้เขาก็จะมีหญิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าดูอวิ๋นหลัวฉายก็เป็นเช่นนี้
หญิงเช่นนั้นถึงจะมีความสุข หากแต่งงานกับผู้ที่สามารถแต่งอนุได้ตลอดเวลา แต่งงานไปก็ต้องเป็นทุกข์
นางไม่เข้าใจแล้วเจ้าก็ไม่รู้หรือ?”
แม่ทัพหวาถูกองค์หญิงใหญ่สั่งสอนโดยไม่พูดจาเลยสักคำ หน้าผากนั้นเกิดเหงื่อไหลไคลย้อยแล้วก็พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
องค์หญิงใหญ่ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วทรงกล่าวว่า: “พวกเจ้าทั้งหลายดูแม่ทัพฉีไว้ หากว่าเขากล้าออกไปก็ขวางหลานชายทั้งหลายของเขาเอาไว้ เขาผู้เดียวไม่สามารถสนใจสิ่งใดมากนัก แล้วค่อยตัดแขนตัดขาของเขาลงมาก็พอ”
แม่ทัพฉีมองไปด้วยสายตาโมโหซึ่งจ้องกันไปมา “ท่านกล้าหรือ?”
“ฮึ่ม ฉีจือซานท่านไม่ได้ท้าทายมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ตอนนี้ท่านท้าทายเช่นนี้ข้าชอบนัก เพียงแต่ว่าท่านรอข้าก่อน เรื่องที่ท่านคิดการณ์กับฝ่าบาทนั้นฝ่าบาทไม่ถือสาท่านแต่ข้าไม่ปล่อยไปหรอกนะ
ดูเขาเอาไว้! ”
องค์หญิงใหญ่หันหลังออกมาจากด้านในแล้ว คู่สามีภรรยาหนานกงเย่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูพอดี
องค์หญิงใหญ่ทรงเหลือบมองทั้งสองคนแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “มานี่ซิ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบก้มศีรษะลง รอองค์หญิงใหญ่จากไปทั้งสองก็เดินตามไป ทั้งสามคนขึ้นรถม้า องค์หญิงใหญ่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นราวกับมีดเช่นนั้น มองแล้วก็ไม่ได้สนใจ
ฉีเฟยอวิ๋นสงสัยว่าไม่ได้ไปเยี่ยมเป็นเวลาหลายวันแล้ว องค์หญิงใหญ่ทรงไม่พอใจเสียแล้ว
แต่นางรู้ได้เช่นไรว่าอวิ๋นหลัวฉายกำลังจะคลอดบุตรในช่วงเวลานี้ องค์หญิงใหญ่เป็นห่วงทางด้านของอวิ๋นหลัวฉาย โกรธจนไม่ต้องการเป็นกังวลกับเรื่องราวไม่ดีของฉีเฟยอวิ๋น
ถึงหน้าประตูวัง ทหารองครักษ์ได้ขอให้องค์หญิงใหญ่ลงจากรถ องค์หญิงใหญ่เปิดม่านรถม้าขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอกแล้วถามอย่างใจร้อนว่า: “ลงรถอะไรกัน จะให้ฝ่าบาทมานำข้าลงรถหรือ?”
ตูไห่ตกใจจนรีบถอยหลังออกไปแล้วรถม้าก็เข้าไปเลยโดยตรง
ฉีเฟยอวิ๋นถอนหายใจอย่างโล่งอก: “เมื่อไหร่ข้าสามารถเข้าวังได้อย่างมีอำนาจเช่นนี้ก็จะเป็นการดี”
องค์หญิงใหญ่มองไปและกรอกตามองฉีเฟยอวิ๋นอย่างดูแคลน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้เก็บอาการ องค์หญิงใหญ่ลงจากรถม้าแล้วทรงถามขันทีน้อยว่า: “ฝ่าบาทอยู่ที่ใด?”
“อยู่ที่ตำหนักจิ่นซิ่วพะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ หนานกงเย่กลอกตาใส่นางจากนั้นจูงมือนางแล้วกล่าวว่า: “ข้าจะไม่เป็นเช่นนั้น”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ?”
หนานกงเย่ไม่ตอบแต่แววตาได้แสดงชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ที่บอกอยู่เสมอว่ารักฮองเฮาแต่กลับอาศัยอยู่ในตำหนักจิ่นซิ่ว
องค์หญิงใหญ่ทรงเดินตรงไปยังตำหนักจิ่นซิ่วและตอนนี้ในวังก็ไม่มีคนที่สอง เหลือเพียงแต่พระสนมเอกเซียวเท่านั้นแล้ว
และพระสนมเอกเซียวก็อาการดีขึ้นทุกวัน ดูแลองค์หญิงน้อยเป็นอย่างดีทุกวัน
มาถึงตำหนักจิ่นซิ่วองค์หญิงใหญ่ผลักประตูเข้าไปโดยที่ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่รออยู่ด้านนอก
ไม่นานนักด้านในก็จุดไฟขึ้นจึงได้มีคนเรียกทั้งสองคนเข้าไป
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพะย่ะค่ะ”
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ชำเลืองมองสองคนเบื้องล่างอย่างไม่พอพระทัยนักแล้วทรงตรัสว่า: “เหตุใดทั้งสองคนถึงได้เชิญองค์หญิงใหญ่มา องค์หญิงใหญ่อายุปูนนี้พวกเจ้าทำให้ลำบากได้หรือ?”
“กราบทูลฝ่าบาทเป็นองค์หญิงใหญ่ที่เรียกพวกเรามาพะย่ะค่ะ” หนานกงเย่ยังคงเย่อหยิ่งดังเดิม องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เห็นแล้วจะไม่โกรธได้เช่นไร
ในเวลานี้องค์หญิงใหญ่นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า: “ฝ่าบาท พระองค์ทรงยุยงให้ผู้อื่นหย่าภรรยาของเขา เพราะเหตุใดหรือ?”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกถูกปรักปรำ: “องค์หญิงใหญ่ข้าต้องการให้อ๋องเย่แต่งงานกับพระชายารองแต่ก็ถามพระชายาเย่แล้ว ข้าไม่ได้ให้อ๋องเย่หย่ากับภรรยา ในเวลานี้ทั้งสองคนอยู่องค์หญิงใหญ่สามารถถามได้?”
“ไม่จำเป็น ไม่ว่าด้วยเหตุใดวันนี้ที่ข้ามาก็ไม่ได้มาเพื่อทั้งสองคน ข้ามาเพื่อแม่ทัพฉี ฝ่าบาททรงลืมเรื่องราวในตอนนั้นแล้วหรือ?”
“คือ……” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงรู้สึกลำบากพระทัย มาอีกแล้วหรือ
“องค์หญิงใหญ่ ข้าได้อธิบายเรื่องนี้หลายครั้งแล้วเหตุใดองค์หญิงใหญ่ถึงไม่เชื่อ?”
“เชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ผ่านไปแล้ว ที่มาวันนี้ต้องการให้พระองค์ทรงมีพระราชโองการว่าไม่ให้ทั้งสองคนเลิกรากันและยิ่งไม่ให้ทั้งสองคนสนใจในตัวผู้อื่นโดยเฉพาะอ๋องเย่ ห้ามมิให้ไปทำเจ้าชู้กับคนภายนอกและห้ามแต่งอนุ นอกจากฉีเฟยอวิ๋นแล้วหญิงผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เขามี หากว่ากล้าขัดราชโองการก็ให้ม้าแยกร่างเลย”
“ห๊า?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พระพักตร์งุนงง นี่ต้องการข่มขู่เขาหรือว่าอ๋องเย่
“องค์หญิงใหญ่เรื่องนี้รอจนกว่า……”
“ไม่ต้องรอแล้ว ฉายเอ๋อร์ของข้าจะให้กำเนิดบุตรในไม่กี่วันนี้ แม่ทัพฉีเรียกร้องจะจากไป หากไม่ให้ความมั่นใจเขาจะไม่มีทางอยู่ เรื่องไม่ดีในวังของพระองค์ข้าไม่สนใจถึงจะทำให้คนตาย หากในวันนี้พระองค์ยังกล้าก่อเรื่องวุ่นวายต่อไป เสด็จแม่ของพระองค์ไม่จัดการข้าจะจัดการเอง!
จะทรงมีพระราชโองการหรือไม่พระองค์ทรงพิจารณาเองเถอะ ข้าจะดูว่าฝ่าบาทจะทรงบรรทมได้อย่างไร! ”