องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 722 แม่ทัพฉีลาออกจากการเป็นขุนนาง
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 720 แม่ทัพฉีลาออกจากการเป็นขุนนาง
จักรพรรดิอวี้ตี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งราวกับฟังไม่ชัดและถามอีกครั้งหนึ่ง “จือซาน เจ้าว่าอย่างไรนะ? ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ”
แม่ทัพฉีจึงไม่ลังเล “ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของท่านอ๋องเย่และอวิ๋นอวิ๋นเช่นนี้ หลายปีมานี้ที่กระหม่อมจากบ้านไปออกศึกสงครามก็เป็นการละเลยต่อการดูแลใส่ใจอวิ๋นอวิ๋น ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องของโจวไท่ จึงได้รู้ว่าชีวิตของอวิ๋นอวิ๋นที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นราวหมูหมา
กระหม่อมรู้สึกสงสารและเอ็นดู แม่ของนางจากไปเร็วและมอบนางไว้กับกระหม่อม แต่กระหม่อมก็ต้องออกรบต้องดูแลปกป้องอาณาจักรนี้ให้กับฝ่าบาท จึงจำเป็นต้องทิ้งนางไว้ที่บ้าน
กระหม่อมคิดว่าที่อยู่อาศัยอาหารการกินและเสื้อผ้านุ่งห่มนั้นดีกับสำหรับนาง
แต่กระหม่อมไม่รู้เลยว่า แม้นางจะกินอยู่อย่างสุขสบาย แต่ก็กลับถูกคนอื่นรังแก
คนชั่วช้าแบบโจวไท่นั้นยังสามารถรังแกนางได้ กระหม่อมรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
ชื่อเสียงของนางไม่ดีนัก กระหม่อมรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ แม่ของนางเป็นคนเงียบสงบ แต่ทำไมนางถึงเป็นเช่นนั้น?
แต่แล้วกระหม่อมก็เข้าใจ ที่แท้เป็นเพราะนางถูกเข้าใจผิด
คนแบบโจวไท่นั้นยังสามารถมาหานาง หากนางมีชื่อเสียงที่ดี เช่นนั้นก็คงไม่รู้ว่าจะถูกคนอีกเท่าไรมารังแกนาง
เมื่อเทียบกับผู้หญิงทั้งหลายของจวนท่านราชครู จวนกั๋วกงและจวนเสนาบดีแล้ว ก็คงไม่อาจเทียบได้ คนอื่นเขามีคนรักคนเอ็นดูและมีคนคอยปกป้อง แต่อวิ๋นอวิ๋นไม่มี กระหม่อมที่เป็นพ่อก็รู้จักแต่การออกรบและทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย และจึงเป็นเรื่องที่ลำบากใจต่อนาง
มาตอนนี้ก็ได้แต่งงานออกไป แต่ก็ยังต้องเจ็บปวด กระหม่อมที่เป็นพ่อไม่อาจทนดูได้
ฝ่าบาทได้โปรดวางพระทัย รอเมื่อหย่าร้างเรียบร้อยแล้ว กระหม่อมฉีจือซานจะรีบลาออกจากตำแหน่งและออกไปจากเมืองหลวงโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักอีก และขอคืนตราประทับประจำตัวคืนให้กับฝ่าบาท รวมไปถึงกองกำลังทหารทั้งหมด
กระหม่อมจะพาอวิ๋นอวิ๋นออกไปจากเมืองต้าเหลียงและเข้าไปอยู่ในป่าลึกพ่ะย่ะค่ะ”
“จือซาน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ข้าแค่ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำไมเจ้าถึงจริงจังเช่นนี้?” จักรพรรดิอวี้ตี้ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย
ฉีจือซานได้ตัดสินใจไปแล้ว จากนั้นจึงคุกเข่าลงและก้มศีรษะลงกับพื้นคารวะจักรพรรดิอวี้ตี้ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา “กระหม่อมกราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”
เขาหันหลังกลับและเดินออกไป เสี่ยวสวีจื่อรอให้ข้างในทะเลาะกันขึ้นมา จากนั้นเขาจึงสามารถเข้ามาได้ แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงได้แต่ทำสีหน้าเบื่อหน่าย เมื่อประตูถูกผลักออกก็พบว่าแม่ทัพฉีกำลังเดินออกมาและเดินจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่บนเขาและกำลังป้อนเจ้าห้ากินอาหาร การใช้ชีวิตบนภูเขานั้นยากลำบาก แต่เธอก็ไม่สามารถไปไหนได้ในช่วงนี้
แม่ทัพฉีขึ้นเขาไปและมองไปรอบๆ ลูกสาวของเขากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กตัวเล็กๆ และป้อนหลานของเขากินอาหารอยู่
แม่ทัพฉียืนอยู่อย่างนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงเดินเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นทั้งที่อาหารยังเต็มอยู่ในปาก เมื่อเห็นแม่ทัพฉีเข้าก็เกือบสำลักออกมา
“ท่านพ่อ” จากนั้นจึงรีบกลืนอาหารที่อยู่ในปากลง ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น จากนั้นแม่ทัพฉีจึงอุ้มเจ้าห้าไป
“พ่อมีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
แม่ทัพฉีอุ้มเจ้าห้าเดินออกไป ฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงเรื่องที่จะไปหาแม่แท้ๆ ของเจ้าของร่างเดิม
จากนั้นจึงเดินตามไปและรอให้แม่ทัพฉีพูด แม่ทัพฉีลูบเจ้าห้าไปมาและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋น “พ่อได้พูดกับฝ่าบาทแล้ว ให้ฝ่าบาทอนุญาตเรื่องหย่าร้างของเจ้าและท่านอ๋องเย่ เจ้าไปกับข้าและพาเด็กๆ เหล่านี้ไปอยู่ในป่า และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดของเมืองต้าเหลียงอีก”
“……” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกมึนงง พ่อของเธอช่างเป็นคนอารมณ์ร้อน
“ท่านพ่อ ท่านไม่คิดดูก่อนหรือเจ้าคะ?”
“ไม่คิดอะไรแล้ว เมื่อก่อนเจ้าก็ลำบากมามากแล้ว พ่อคิดดีแล้ว ชีวิตนี้พ่อได้ทำเพื่อฝ่าบาทมาเยอะแล้ว ต่อไปนี้พ่อจะทำเพื่อเจ้าบ้าง”
“แต่ท่านพ่อ ข้าและท่านอ๋อง”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าตั้งใจทำให้ฝ่าบาทเห็น แต่ฝ่าบาทก็ไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ พ่อพาพวกเจ้าหนีไป หากเขายอมก็ให้เขาตามมา พ่อจะไม่ขัดขวาง”
แม่ทัพฉีพูดจบจากนั้นจึงอุ้มเจ้าห้าเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นยังมีเรื่องต้องทำ จึงทำได้เพียงรอให้ถึงเวลาดึก
เธอกลับไปในตอนกลางคืน หน้าจวนท่านแม่ทัพมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งและองค์หญิงใหญ่ก็มาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นโคลงเคลงไปมาอยู่ในรถม้าและมีฝุ่นเต็มตัว เธอลงมาจากเขาก็เป็นเช่นนี้ เมื่อลงมาถึงก็เดินไม่ไหว ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นดิน
องค์หญิงใหญ่และผู้คนตรงนั้นเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกแปลกใจ “ทำไมพระชายาเย่ถึงเป็นเช่นนี้ล่ะ?”
“หม่อมฉันไปทำไร่นาอยู่บนเขา ฝ่าบาทได้มอบทุ่งนาแก่ท่านอ๋องไม่น้อย เมื่อไม่กี่วันก่อนตั้งใจจะเก็บค่าเช่าถึงได้รู้ว่าเป็นที่รกร้าง หม่อมฉันจึงต้องการทำเป็นที่ปลูกพืชสมุนไพร สำหรับทำยา เพื่อมารักษาคนไข้เพคะ” คำพูดที่ฉีเฟยอวิ๋นพูดออกมา ทำให้ผู้คนต่างพากันหยุดนิ่ง
พระชายามีจิตใจที่ดีและมีความเมตตา ขนาดเป็นที่ดินของตัวเองก็ยังนึกถึงการรักษาคนป่วย ไม่เหมือนกับใครบางคนที่มีตำแหน่งสูงส่งและอำนาจยิ่งใหญ่ แม้จะยืนอยู่บนที่สูงแต่กลับไม่สนใจไยดีประชาชน และเอาแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
องค์หญิงใหญ่กล่าวว่า “เข้าไปข้างในเถอะ แม่ทัพฉีไม่พบแขกเลย เจ้าช่วยเข้าไปรายงานหน่อย”
“เพคะ เสด็จอาใหญ่รอเดี๋ยวเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นบัดฝุ่นบนตัวออกจากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าไปข้างใน เมื่อเดินเข้าประตูมาก็พบกับพ่อบ้านที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย
“ท่านพ่อบ้าน ท่านพ่อล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถาม จากนั้นพ่อบ้านก็ยิ่งเศร้า
“อยู่ข้างในขอรับ ท่านแม่ทัพได้เตรียมเก็บของที่อยู่ในบ้านแล้วเพื่อจะไปจากที่นี่”
“จริงหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปดูแม่ทัพฉี อวิ๋นจิ่นนำคนมาอุ้มเด็ก สวีกงกงก็กำลังพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ข้างๆ จะไปเฉยๆ เช่นนี้ไม่ได้
แม่ทัพฉีไม่ฟังอะไรทั้งนั้น และจัดการเก็บของอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป อวิ๋นจิ่นและทุกคนจึงพากันออกไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถาม “ท่านพ่อเป็นอะไรกันแน่? ต่อให้ต้องหย่าร้าง เช่นนั้นก็รอให้หนังสือหย่าร้างออกมาก่อนสิเจ้าคะ”
“กระดาษแผ่นเดียวไม่มีค่าอะไรหรอก หนีไปจากเมืองต้าเหลียง ที่ไหนก็สามารถมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขได้ สถานที่แห่งนี้พ่อไม่ชอบ” เมื่อแม่ทัพฉีโมโหขึ้นมา ต่อให้วัวสิบตัวก็ไม่สามารถฉุดรั้งไว้ได้ และตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกตกใจ พ่อของเขาต้องการจะไปจริงๆ
พูดดีๆ ก็พูดไปแล้ว เกลี้ยกล่อมก็เกลี้ยกล่อมแล้ว จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นจึงสั่งให้คนพาองค์หญิงใหญ่และคณะเข้ามา
ทุกคนต่างพากันพูดเกลี้ยกล่อมแม่ทัพฉี แต่ไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ
หนานกงเย่มาถึงในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังเดินไปมาอยู่ในเรือน เฟิงอู๋ชิงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอยู่ในเรือน
เขาไม่ได้ไปไหน แต่เขาอยู่เพื่อรอดูเรื่องสนุกที่เกิดขึ้น
หนานกงเย่เดินเข้าไปและรีบเข้าไปหาฉีเฟยอวิ๋น “อวิ๋นอวิ๋น ท่านพ่อตาหมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านพ่อต้องการจากไป หม่อมฉันก็ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ของต่างๆ ก็เก็บเป็นระเบียบแล้ว ดูแล้วจะต้องไปจริงๆ เพคะ”
“เช่นนั้นแล้วหนังสือหย่าร้างล่ะ?”
“นั่นก็เป็นความต้องการของท่านพ่อ เมื่อสักครู่ยังพูดว่าก้เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น หากไม่หย่าร้างก็สามารถไปก่อนได้”
หนานกงเย่จูงมือของฉีเฟยอวิ๋นและเดินไปที่ห้องของแม่ทัพฉี แต่ถูกฉีเฟยอวิ๋นดึงไว้ “ท่านมากับหม่อมฉัน”
หนานกงเย่ถูกลากเข้าไปในห้อง ฉีเฟยอวิ๋นหยิบกลองออกมากล่องหนึ่ง ข้างในโสมพันปีอยู่จำนวนหนึ่ง
หยิบออกมาสามชิ้นและใส่ลงไปในน้ำ “ท่านอ๋องดื่มก่อนเพคะ”
“นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะบำรุงร่างกายอีกหรือ?” หนานกงเย่ต้องการจะออกไป เขากลัวว่าแม่ทัพฉีจะหนีไปและพาภรรยาและลูกของเขาไป
ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ไว้ “ท่านอ๋องปวดหลังไม่ใช่หรือเพคะ ท่านอ๋องเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเช่นนี้จะไม่ปวดได้อย่างไร?”
หนานกงเย่หันกลับมาและนั่งลงดื่มชา
“ได้ผลหรือ?” หนานกงเย่ขมวดคิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม
“ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง โดยเฉพาะโสมพันปี แต่ร่างกายของท่านอ๋องนั้นไม่สามารถดื่มเยอะได้ หากดื่มเยอะจะทำให้โกรธง่ายเพคะ”
หนานกงเย่ดื่มชาโสม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชานี้หรือไม่ จู่ๆ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
จากนั้นจึงจ้องมองเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋น หนานกงเย่ดื่มชาอีกครั้งและลุกขึ้นไปกระชากสายรัดเสื้อผ้าของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตื่นตระหนก “ยังไม่อาบน้ำเลยเพคะ?”
“ข้าก็ยังไม่อาบ ประเดี๋ยวข้าจะไปอาบ ตอนนี้ข้ารู้สึกร้อนเหลือเกิน หรืออาจจะเป็นเพราะดื่มเยอะไปหน่อย หากเก็บกลั้นไว้ก็คงไม่ดีแน่”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างอารมณ์ดี “ท่านพูดจาไร้สาระอะไรกัน เรื่องเช่นนี้ก็ต้อง……”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบร่างกายก็รู้สึกตกใจ ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าหนานกงเย่ก็ขึ้นมาอยู่บนเรือนร่างแล้ว