องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ - บทที่ 737 ฮั่วหลงตัวปลอม
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 737 ฮั่วหลงตัวปลอม
“จักรพรรดิแห่งปีกใต้ก็ชมชอบจักรพรรดินีแล้วละสิ?” หนานกงเย่ถามอย่างตรงไปตรงมา เอ๋าชิงจึงพยักหน้า
“ใช่แล้ว องค์ชายทั้งสามแห่งปีกใต้มาในฐานะแขกของแคว้นเฟิ่ง ซึ่งในตอนนั้นองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองถึงวัยที่จะพิธีอภิเษกสมรสแล้ว ส่วนจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งเพิ่งจะอายุได้สิบหกเท่านั้น พวกเขาสามคนตกหลุมรักกันและกัน
ทว่าองค์ชายทั้งสองล้วนตกหลุมรักจักรพรรดินีพร้อมกัน แต่จักรพรรดินีกลับมีใจให้กับองค์ชายรองแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ต่อมาองค์ชายใหญ่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้จักรพรรดินีมาครอบครอง ซึ่งจักรพรรดิก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด แต่ระหว่างการเดินทางครั้งหนึ่ง กลับได้ผูกพันกับองค์ชายรอง
เดิมทีทั้งสองมีความปรารถนาจะครองคู่กัน แต่ทั้งสองแคว้นไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ จักรพรรดินีจึงหนีไปพร้อมกับองค์ชายรอง
แต่องค์ชายรองกลับสิ้นใจบนหน้าผา ส่วนจักรพรรดินีก็หายตัวไป
ในตอนที่พวกเราเจอตัวจักรพรรดินีนั้น จักรพรรดินีไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังจากขึ้นครองบัลลังก์ก็ได้พบกับจักรพรรดิแห่งปีกใต้ครั้งหนึ่ง และนั้นคือช่วงเวลาที่โดนกู่พิษ
หลังจากนั้นไม่นาน จักรพรรดินีก็ถูกวางยาพิษ พิษนี้เป็นพิษจากเสด็จลุง เขามีบุตรสาวหนึ่งคน ปรารถนาจะให้เป็นผู้สืบทอดสกุล แต่จักรพรรดินีไม่ยอม พวกเขาจึงต้องทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้”
“วางยาพิษ ปล่อยกู่ ตั้งใจจะทำร้ายถึงตายเลยอย่างนั้นหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ถึงอันตรายสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้
เมื่อเทียบกับแคว้นเฟิ่งแล้ว จักรพรรดิอวี้ตี้เทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ยังมีครอบครัว
“พวกเจ้าพักผ่อนกันก่อนเถอะ ข้ายังไม่วางใจ ว่าจะไปเดินดูรอบ ๆ สักหน่อย” เอ๋าชิงลุกไปยังตำหนักกลาง ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่แวบหนึ่ง ด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่นัก
“รีบพักผ่อนเถอะ”
ในขณะที่หนานกงเย่กำลังพักผ่อนนั้น ทั้งสองก็ได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นผล็อยหลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเจ้าของร่างเดิมความลำบากใจ นางจึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
หนานกงเย่ลุกขึ้นและพานางไปเดินเตร่อยู่ในตำหนักข้าง เมื่อฟ้าสว่างจึงได้กลับมาพักผ่อน
จักรพรรดินีและท่านแม่ทัพฉีได้ปรึกษาหารือกันทั้งคืน เพิ่งจะได้พักผ่อนเมื่อรุ่งอรุณเช่นกัน เอ๋าชิงประกาศพระราชโองการ เนื่องจากเมื่อคืนจักรพรรดินีนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน วันนี้จึงงดออกปฏิบัติราชกิจ
ในราชวังพากันเงียบสงัดไร้เสียงใด แคว้นเฟิ่งคุ้นชินกับเรื่องที่จักรพรรดินีไม่ออกปฏิบัติราชกิจในเช้าตรู่เพราะหลงมัวเมาอยู่ในวังหลัง พวกเขาแค่คิดว่า ขอเพียงที่จักรพรรดินีไม่สร้างผลกระทบต่อบ้านเมืองก็พอแล้ว
ในตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นได้เจอจักรพรรดินีอีกครั้งก็คือบนเตียงของนาง เส้นผมของนางถูกปล่อยสยายลงมา นอนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนนั้น
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น จักรพรรดินีก็ขมวดคิ้วแน่น ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ดูไปแล้วจักรพรรดินีในสภาพนั้นเหมือนกับไม้ที่แห้งตายอย่างไรอย่างนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง ทำการตรวจชีพจรอีกครั้ง
จักรพรรดินีกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า : “หยุดตรวจได้แล้ว ชักจะตรวจเยอะเกินไปแล้วนะ”
“หากไม่มีกู่พิษ หม่อมฉันก็คงจะกำจัดพิษในร่างกายของท่านได้ น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่เข้าใจวิธีการกำจัดกู่” ฉีเฟยอวิ๋นเองก็จนปัญญา
จักรพรรดินีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เอ๋าชิงกลับกล่าวว่า : “ข้ามีวิธีการกำจัดกู่ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่”
“ทำไม่ได้แน่นอน หากทำได้พวกเจ้าคงทำไปตั้งนานแล้ว ข้าว่าเราต้องไปปีกใต้ ไปหาจักรพรรดิแห่งปีกใต้ เขาน่าจะกำจัดได้”
“พวกเราก็ไปหาแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล” เอ๋าชิงกล่าวจากด้านข้าง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกาย : “ท่านอ๋อง ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าเราต้องลองไปดู เช่นนั้นพวกเราก็ไปปีกใต้กันเลยสิ มันจะต้องมีหนทางอย่างแน่นอน”
“ก็ได้ ข้าต้องไปอย่างแน่นอน”
หนานกงเย่รับปาก และหมุนตัวออกไปเตรียมตัวก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังจักรพรรดินีครู่หนึ่ง : “ได้ยินมาว่าที่นั่นเป็นสถานที่แห่งความตาย หม่อมฉันเองก็อยากไปดูเหมือนกัน ไม่ว่าอย่างไรท่านต้องรอหม่อมฉันกลับมานะเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปยังท่านแม่ทัพฉี: “ท่านพ่อ ท่านอยู่นี่เถอะ พวกเราจะไปเอง”
“ระวังตัวด้วย” ท่านแม่ทัพฉีไม่ได้เป็นกังวลมากเพียงนั้น
ตรงกันข้ามกลับเป็นจักรพรรดินีที่เหม่อมองแผ่นหลังของฉีเฟยอวิ๋นจนลับหายไป : “ท่าทางของนาง ช่างคล้ายกับข้าเมื่อครั้งวัยเยาว์จริง ๆ พี่ใหญ่อัน ท่านว่าอย่างไรละ?”
“อือ”
ฉีเฟยอวิ๋นออกจากแคว้นเฟิ่ง ตามหนานกงเย่ไปยังปีกใต้ เฟิงอู๋ชิงไล่ตามพวกเขาสองคนมาอย่างรวดเร็ว และมุ่งหน้าไปยังปีกใต้พร้อมกัน ไร้ซึ่งการตำหนิใด
ใช้เวลาสองสามวัน ในที่สุดก็มาถึงชายแดนแคว้นเฟิ่ง พวกเขาทำการเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของปีกใต้ แล้วมุ่งหน้าไปยังราชวังแห่งปีกใต้ด้วยกัน
เฟิงอู๋ชิงเดินเข้าวังแห่งปีกใต้ได้อย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้ในตอนที่ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ไปถึงนั้นจะต้องปลอมตัวถึงจะเข้าไปได้
ถึงอย่างไรที่นี่ก็ยังมีองค์ชายองค์ที่สามของปีกใต้ ซูมู่หรง
เมื่อทั้งสองเข้าไปในวัง ไม่นานพวกเขาก็เจอกับซูอู๋เฮิ่นจักรพรรดิแห่งปีกใต้ แต่เขาเหมือนยามไม้ใกล้ฝั่ง อีกทั้งดู ๆ ไปแล้วก็ยังมีอายุมากกว่าจักรพรรดินีอีกด้วย
เฟิงอู๋ชิงพาทั้งสองไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิแห่งปีกใต้และนำไปยังตำหนักข้างที่ร้างผู้คน เพื่อปรึกษาหารือกันที่นั่น
“พวกเจ้าพูดเถอะ ต้องทำอย่างไร ข้ายินดีให้ความร่วมมือ”
“กระหม่อมขอตัวออกไปข้างนอก” หนานกงเย่ต้องออกไปตามหาฮั่วหลง จึงต้องขอตัวออกไปก่อน
ฉีเฟยอวิ๋นอยากอยู่ต่อ แต่นางคงตบมือข้างเดียวไม่ดัง ทั้งยังเป็นกังวลว่าจักรพรรดิแห่งปีกใต้พบเข้า และนำพาปัญหาที่ไม่จำเป็นตามมาทีหลัง
“หม่อมฉันจะไปกับท่านอ๋อง”
“อือ”
ทั้งสามคนปรึกษาหารือกันเรียบร้อย จากนั้นก็ออกจากราชวังในยามวิกาล
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นมาถึงเมืองหลวงแห่งปีกใต้ ก็ตามหนานกงเย่ไปยังบ้านหลังนี้ แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็สะดวกสบาย
ในคืนคนของปีกทิศใต้ก็ทยอยกันปรากฏตัว ต่างก็ไม่ร่วมมือกับแคว้นเฟิ่ง คนของปีกใต้ล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น ราวกับต้องการให้เรื่องดำเนินไปอย่างราบรื่น ถึงอย่างไรปีกใต้ก็ไม่ร่วมมือกับแคว้นเฟิ่ง ผู้หญิงของปีกใต้มีฐานะต่ำต้อย ถ้าจัดผู้หญิงออกไป ก็คงจะไม่เป็นปัญหาอะไร
ฮั่วหลงมาแล้ว เป็นชายหนุ่มที่เจ้าชู้ไม่ค่อยตามกฎ
เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นฮั่วหลงอยู่ในนั้นก็อึ้งงันไปชั่วขณะ หน้าตาเขาก็พอไปวัดไปวาได้ เพียงแต่แววตาของเขากลับไม่กล้าสบตากับหนานกงเย่ตั้งแต่เดินเข้ามา เป็นคนแปลกยิ่งนัก
ฮั่วหลงแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีม่วง ในมือถือฮู่หยกขาว
“ขอคารวะท่านอ๋อง” ผู้มาเยือนสะบัดชายเสื้อคลุมและคุกเข่าข้างหนึ่ง จากนั้นก็โน้มตัวคำนับ
หนานกงเย่กำลังจะดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าเขากำลังจะดื่มมัน จึงเอื้อมมือออกไปกดแขนของหนานกงเย่ หนานกงเย่จึงได้วางถ้วยชาลง
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮั่วหลง: “ท่านก็คือฮั่วหลง ครั้งที่แล้วที่เราพบกันท่านไม่ใช่เช่นนี้ ท่านรู้จักข้าหรือไหม ข้าจำท่านไม่ได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นถามเขา ฮั่วหลงกล่าวว่า : “ข้าไม่รู้จักพระชายา และข้าไม่เคยเจอท่านมาก่อนด้วย”
“นั้นสินะ เช่นนั้นข้าคงจำผิดเอง” ฉีเฟยอวิ๋นหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ แล้ววางลงตรงหน้าของหนานกงเย่ หนานกงเย่จึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
ฉีเฟยอวิ๋นเคาะศีรษะเล็กน้อย : “ท่านอ๋อง หม่อมฉันง่วงแล้วเพคะ”
“พักผ่อนเถอะ” หนานกงเย่ลุกขึ้น ประคองฉีเฟยอวิ๋นไปยังเตียง ฮั่วหลงที่อยู่ข้างหลังรีบพุ่งเข้าไปหาหนานกงเย่อย่างฉับพลัน หนานกงเย่โอบเอวของฉีเฟยอวิ๋น หลบเลี่ยงในพริบตาเดียว
ฮั่วหลงหยุดนิ่ง : “หนานกงเย่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเคลื่อนไหวได้เร็วเพียงนี้ แต่ยิ่งเจ้าเร็วเพียงใด ก็ยิ่งตายเร็วเพียงนั้น ข้าวางยาในชานั้นแล้ว เจ้าอยู่ไม่พ้นคืนนี้หรอก”
หนานกงเย่มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่สลบอยู่ในอ้อมกอดของตน ก่อนจะมองไปยังฝ่ายตรงข้าม : “พูดเช่นนี้ เจ้าคือคนวางยาอย่างนั้นสิ?”
“เจ้าหูหนวกหรือ ข้าก็ต้องเป็นผู้วางยาแน่นอน ที่นี่คือปีกใต้นะ ปีกใต้ของเราเป็นที่เลื่องลือเรื่องพิษ ทั้งยังเป็นพิษที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ”
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้าไม่ใช่ฮั่วหลง”
อีกฝ่ายหัวเราะแปลกประหลาดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฉีกหนังหน้าออก ผู้ชายที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันก็ปรากฏขึ้น เขาโบกฮู่ที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ฟาดลงบนตัวของหนานกงเย่ ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นและสาดเข็มสามเล่มไปบนหน้าผากของอีกฝ่าย
ร่างของอีกฝ่ายสั่นสะท้าน ฮู่ที่อยู่ในมือก็ร่วงหล่นลงบนพื้น
หนานกงเย่โน้มตัวลงไปแตะ ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยทันที “อย่า!”
หนานกงเย่จึงดึงมือกลับ ในขณะนี้ ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ท่านอ๋อง ไปหาไฟมาเดี๋ยวนี้”
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” ใบหน้าของฮั่วหลงตัวปลอมซีดเผย แสดงสีหน้าหวาดกลัว
หนานกงเย่นำคบเพลิงเข้ามา จากนั้นก็โยนไปทางฮู่ กระทั่งได้ยินเสียงจี๊ด ๆ ราวกับเสียงหนู ควันสีดำกลุ่มหนึ่ง ก็ค่อย ๆ ลอยวนขึ้นมาราวกับงู จากนั้นก็หายวับไป
ฮั่วหลงตัวปลอมก็กรีดร้อง ดวงตาแตกร้าว ลูกตาดำกลายเป็นของเหลวเหนียวหนืด เลือดสดสีแดงฉานทะลักออกมา!